กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 511

ก่อนหน้าพวกเขาเดินขึ้นเขาไปด้วยกันช้าๆ ตามคำบอกของชาวบ้านในพื้นที่ ช่วงนี้บนภูเขาลูกนั้นมีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาจึงอยากจะลองไปดูสักหน่อย

บนถนนภูเขาที่เงียบสงบ พวกเขาเจอกับเหล่าผู้กล้าในยุทธภพที่ควบม้าร่ำสุราด้วยความฮึกเหิม พูดคุยกันเสียงดังว่าต้องสังหารภูตตัวนั้นให้ได้ ชื่อเสียงจึงจะระบือไปแปดทิศ

ไม่รู้ว่าเหตุใด ตอนนั้นบัณฑิตชุดขาวที่เดินอยู่กลางทางถึงไม่ได้เบี่ยงตัวหลบ จากนั้นเขาก็ถูกม้าตัวสูงใหญ่ตัวหนึ่งพุ่งชนจนลอยกระเด็นออกไป พวกคนที่อยู่บนหลังม้าพากันแผดเสียงหัวเราะดังลั่น ฝีเท้าม้าควบดังค่อยๆ ห่างไกลออกไป

แต่ตอนนั้นนางกลับไม่ได้กังวลนัก

นั่นคือเซียนกระบี่คนหนึ่งที่สังหารบรรพจารย์ชุดคลุมเหลืองให้ตายได้เชียวนะ

อีกทั้งตอนนั้นเขาก็ไม่ได้เรียกกระบี่บินออกมาจากในน้ำเต้าด้วย

แต่นางกลับรู้สึกโกรธมาก

ตอนนั้นนางทนไม่ไหวแสยะปากออกกว้าง ผลกลับถูกบัณฑิตชุดขาวที่มายืนอยู่ด้านข้างจับศีรษะนางไว้เบาๆ เขายิ้มพูดว่าไม่เป็นไร

ภายหลังพวกเขาสองคนก็ได้มาเห็นว่าชาวยุทธในยุทธภพกลุ่มนั้นถูกภูตเขี้ยวแหลมคมสูงสองจั้งตัวหนึ่งขวางทางเอาไว้ ตอนนั้นในปากของมันยังเคี้ยวแขนข้างหนึ่งอยู่ ส่วนในมือก็กำศพของบุรุษที่เลือดโชกท่วมร่าง

แม่นางน้อยชุดดำพอจะมองออกได้คร่าวๆ ว่าคนที่ตายก็คือเจ้าคนเลวที่ขี่ม้าชนบัณฑิตชุดขาวก่อนหน้านี้

สุดท้ายนางหลบอยู่ด้านหลังบัณฑิตชุดขาว ส่วนเขาก็ใช้พัดพับที่หุบเข้าด้วยกันชี้ไปยังภูตประหลาดร่างกำยำดุร้ายที่กำลังกินคน แล้วยิ้มกล่าวว่า “เจ้ากินอาหารมื้อสุดท้ายนี่ให้อิ่มก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

ภูตที่มาขวางทางตัวนั้นโยนศพในมือทิ้งไปโดยตรง หมายจะหนีเข้าไปในป่าลึก

เหล่าคนในยุทธภพที่ก่อนหน้านี้กินอิ่มว่างงานไม่มีอะไรทำจึงขึ้นเขามาสังหารปีศาจก็เริ่มคุกเข่าโขกหัวร้องวิงวอนขอชีวิต

แม่นางน้อยไม่ค่อยชื่นชอบเรื่องราวในยุทธภพที่เป็นเช่นนี้

ตั้งแต่ต้นจนจบ นางล้วนไม่ค่อยชอบเท่าใดนัก

ระเบียงชมทัศนียภาพมุมนั้นบนชั้นสองของเรือก็มีผู้คนมากมายที่มารวมกลุ่มกันเช่นเดียวกัน

หลังจากเห็นว่าบัณฑิตชุดขาวสกัดการโจมตีนั้นเอาไว้ได้ ผู้คนก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรให้น่าดูอีก

ยอมให้หนึ่งเด็กหนึ่งคนโตนั่นไปก็แล้วกัน

ส่วนบัณฑิตชุดขาวผู้นั้นก็ไม่กล้าพอจะซักไซ้เอาเรื่อง ราวกับว่าจะแกล้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้น

ผู้คนที่อยู่ตรงระเบียงชมทัศนียภาพตรงจุดนี้หัวเราะครืนเสียงดัง

ไม่หวาดเกรงที่จะให้หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กคู่นั้นรู้ว่าใครเป็นคนลงมือแม้แต่น้อย

ลูกจ้างบนเรือข้ามฟากคนหนึ่งแข็งใจเดินไปข้างกายบัณฑิตชุดขาว เขาไม่ได้กังวลว่าผู้โดยสารบนเรือข้ามฟากคนนี้จะตำหนิ แต่กังวลว่าการที่ตัวเองถูกผู้ดูแลเรือบีบบังคับให้มาที่นี่ จะทำให้พวกผู้โดยสารบนชั้นสองพานรังเกียจตน แล้วการเดินทางไปเยือนสวนน้ำค้างวสันต์หลังจากนี้ ตนก็คงจะไม่ได้รับเงินรางวัลแม้แต่ครึ่งเหรียญ

ลูกจ้างหนุ่มยืนอยู่เบื้องหน้าบัณฑิตชุดขาวด้วยสีหน้าบึ้งตึง ถามว่า “เจ้าเอะอะโวยวายอะไร? ดวงตาสุนัขข้างไหนของเจ้าที่มองเห็นว่ามีคนร้าย?”

บัณฑิตชุดขาวพลันหันหน้าไปมองทางแม่นางน้อยชุดดำ “เป็นเขาหรือที่ขายรายงานข่าวให้เจ้า ทั้งยังโน้มน้าวผู้โดยสารคนนั้นว่าอย่าซ้อมเจ้าจนตาย แสร้งทำราวกับว่าตัวเองเป็นคนดีนักหนา?”

นางส่ายหน้า

เป็นอีกคนหนึ่งที่อายุมากกว่า

บัณฑิตชุดขาวใช้พัดพับเคาะไปที่หัวใจ พูดพึมพำกับตัวเอง “ผู้ฝึกตนต้องฝึกฝนจิตใจให้มาก ไม่อย่างนั้นเดินขาเป๋ไปตลอดทางก็คงไม่มีทางเดินได้ถึงจุดที่สูงที่สุด”

แม่นางน้อยชุดดำกระตุกชายแขนเสื้อของเขา มือข้างหนึ่งป้องไว้ข้างปาก แหงนหน้าพูดกับเขาเบาๆ ว่า “ห้ามโมโหนะ ไม่อย่างนั้นข้าจะโมโหเจ้าแล้ว ข้าดุมากเลยนะ”

บัณฑิตชุดขาวมองไปทางชั้นสอง “ไม่ได้ ข้าต้องใช้เหตุผลสักหน่อย คราวก่อนที่อยู่ในทะเลสาบชางอวิ๋นยังใช้เหตุผลได้ไม่เยอะพอ”

ลูกจ้างหนุ่มคนนั้นยื่นมือออกมาเตรียมจะผลักบัณฑิตชุดขาวที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ให้ขวางหูขวางตา แสร้งทำเป็นอวดภูมิมีความรู้อะไรอยู่ได้ “เจ้ายังไม่ยอมหยุดใช่ไหม? ไสหัวกลับไปอยู่ในห้องเจ้าเลย!”

จากนั้นเขาก็ต้องปากอ้าตาค้าง

เหตุใดฝ่ามือของตนอยู่ห่างจากเบื้องหน้าคนผู้นั้นหนึ่งชุ่นก็ไม่อาจยื่นไปข้างหน้าได้อีกแล้ว?

บัณฑิตชุดขาวไม่แม้แต่จะชายตามองเขา เพียงยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “กดขอบเขตไว้ที่ขอบเขตสี่ ก็คิดว่าข้าเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่จริงๆ งั้นหรือ”

ลูกจ้างหนุ่มพลันโค้งเอว กุมหมัดยิ้มเอ่ย “ผู้โดยสารเชิญท่านชมทัศนียภาพต่อไป ข้าน้อยไม่รบกวนท่านแล้ว”

ไม่พูดพร่ำทำเพลง หันตัวได้ก็เผ่นหนีทันที

แล้วเขาก็หนีรอดมาได้จริงๆ

วิ่งไปถึงหัวเรือ หันหน้ากลับมามองครั้งหนึ่ง ไม่มีเงาของบัณฑิตชุดขาวอยู่แล้ว เหลือเพียงแค่แม่นางน้อยชุดดำที่ยืนขมวดคิ้ว

ระเบียงชมทัศนียภาพมุมหนึ่งบนชั้นสองของเรือข้ามฟากที่ห่างจากพวกเว่ยป๋ายไปไม่ไกลเท่าใดนัก

ผู้ฝึกตนชายหญิงเจ็ดแปดคนที่จับกลุ่มกันมาหาประสบการณ์พร้อมใจกันก้าวถอยหลัง

เบื้องหน้าพร่าลายไปแวบหนึ่ง แล้วอยู่ดีๆ บัณฑิตชุดขาวที่ก่อนหน้านั้นต้านรับลูกธนูปราณวิญญาณได้อย่างเปลืองแรงก็มายืนอยู่บนราวระเบียง เขาที่ยืนอยู่ตรงนั้นเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งโบกพัดเบาๆ หลุบตาลงต่ำมองพวกเขาจากที่สูง

ขณะที่คนผู้หนึ่งคิดจะเปิดปากพูด การโคจรปราณวิญญาณในร่างก็พลันหยุดชะงัก รู้สึกเหมือนแบกภูเขาทั้งลูกไว้บนหลัง ใบหน้าแดงก่ำ พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว

บัณฑิตชุดขาวยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยามที่ข้าใช้เหตุผล พวกเจ้าแค่ฟังอย่างเดียวก็พอแล้ว”

เสียงพรึ่บดังหนึ่งครั้ง พัดพับหุบเข้าหากัน แล้วตวัดขึ้นเบาๆ

ผู้ฝึกลมปราณที่เป็นคนลอบโจมตีถูกหิ้วตัวลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนที่บัณฑิตชุดขาวจะคว้าจับศีรษะของเขาแล้วเหวี่ยงทิ้งไปด้านหลังอย่างไม่ใส่ใจ จับเขาโยนออกไปนอกเรือข้ามฟากโดยตรง

พัดพับตวัดขึ้นอีกครั้งก็มีคนอีกคนหนึ่งลอยตัวกลางอากาศสูงเหมือนถูกรัดคอกระชากขึ้น แล้วถูกตบออกไปนอกเรือด้วยการโบกชายแขนเสื้อเพียงครั้งเดียวของคนผู้นั้น

ทุกคนล้วนถูกคนผู้นั้นจับโยนเหมือนโยนเกี้ยวลงหม้อต้ม

บนระเบียงชมทัศนียภาพแถบนั้นว่างเปล่า เหลือเพียงบัณฑิตชุดขาวที่ตรงเอวห้อยกาเหล้าสีชาดอยู่คนเดียวเท่านั้น

เขาทิ้งตัวหงายไปด้านหลัง บินหันหลังตามออกไปนอกเรือข้ามฟากเช่นกัน ชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวหิมะสองข้างสะบัดเสียงดั่งฟึ่บฟั่บ พริบตาเดียวร่างก็ทิ้งดิ่งลงไปเบื้องล่าง มองไม่เห็นเงาอีก

ครู่หนึ่งต่อมา

เขาก็มาปรากฏตัวอยู่บนราวระเบียงของเรือข้ามฟากอีกครั้ง แหงนหน้ามองไปยังระเบียงชมทัศนียภาพของห้องอักษรตัวเทียน ยิ้มตาหยี ไม่เอ่ยอะไร

เว่ยป๋ายกระตุกมุมปาก “อาจารย์เลี่ยว ว่าอย่างไร?”

ผู้เฒ่าร่างบึกบึนก้าวยาวๆ ตรงไปเบื้องหน้า ใช้พายุหมัดดีดเจ้าพวกเศษสวะบนภูเขาล่างภูเขากลุ่มนั้นที่ดีแต่จะคุยโวประจบสอพลอให้พ้นทาง ผู้เฒ่าเพ่งตามองไปยังบัณฑิตชุดขาว พูดเสียงหนักว่า “บอกได้ยาก”

เว่ยป๋ายหันหน้าไปชำเลืองตามองชายฉกรรจ์ในยุทธภพที่สีหน้าซีดขาวน้อยๆ คนนั้น พอดึงสายตากลับมาแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นจะไม่ยุ่งยากหรือ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!