สรุปเนื้อหา บทที่ 511.4 ผู้อาวุโสข้ายอมให้ท่านสามหมัดก็แล้วกัน – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บท บทที่ 511.4 ผู้อาวุโสข้ายอมให้ท่านสามหมัดก็แล้วกัน ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ก่อนหน้าพวกเขาเดินขึ้นเขาไปด้วยกันช้าๆ ตามคำบอกของชาวบ้านในพื้นที่ ช่วงนี้บนภูเขาลูกนั้นมีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาจึงอยากจะลองไปดูสักหน่อย
บนถนนภูเขาที่เงียบสงบ พวกเขาเจอกับเหล่าผู้กล้าในยุทธภพที่ควบม้าร่ำสุราด้วยความฮึกเหิม พูดคุยกันเสียงดังว่าต้องสังหารภูตตัวนั้นให้ได้ ชื่อเสียงจึงจะระบือไปแปดทิศ
ไม่รู้ว่าเหตุใด ตอนนั้นบัณฑิตชุดขาวที่เดินอยู่กลางทางถึงไม่ได้เบี่ยงตัวหลบ จากนั้นเขาก็ถูกม้าตัวสูงใหญ่ตัวหนึ่งพุ่งชนจนลอยกระเด็นออกไป พวกคนที่อยู่บนหลังม้าพากันแผดเสียงหัวเราะดังลั่น ฝีเท้าม้าควบดังค่อยๆ ห่างไกลออกไป
แต่ตอนนั้นนางกลับไม่ได้กังวลนัก
นั่นคือเซียนกระบี่คนหนึ่งที่สังหารบรรพจารย์ชุดคลุมเหลืองให้ตายได้เชียวนะ
อีกทั้งตอนนั้นเขาก็ไม่ได้เรียกกระบี่บินออกมาจากในน้ำเต้าด้วย
แต่นางกลับรู้สึกโกรธมาก
ตอนนั้นนางทนไม่ไหวแสยะปากออกกว้าง ผลกลับถูกบัณฑิตชุดขาวที่มายืนอยู่ด้านข้างจับศีรษะนางไว้เบาๆ เขายิ้มพูดว่าไม่เป็นไร
ภายหลังพวกเขาสองคนก็ได้มาเห็นว่าชาวยุทธในยุทธภพกลุ่มนั้นถูกภูตเขี้ยวแหลมคมสูงสองจั้งตัวหนึ่งขวางทางเอาไว้ ตอนนั้นในปากของมันยังเคี้ยวแขนข้างหนึ่งอยู่ ส่วนในมือก็กำศพของบุรุษที่เลือดโชกท่วมร่าง
แม่นางน้อยชุดดำพอจะมองออกได้คร่าวๆ ว่าคนที่ตายก็คือเจ้าคนเลวที่ขี่ม้าชนบัณฑิตชุดขาวก่อนหน้านี้
สุดท้ายนางหลบอยู่ด้านหลังบัณฑิตชุดขาว ส่วนเขาก็ใช้พัดพับที่หุบเข้าด้วยกันชี้ไปยังภูตประหลาดร่างกำยำดุร้ายที่กำลังกินคน แล้วยิ้มกล่าวว่า “เจ้ากินอาหารมื้อสุดท้ายนี่ให้อิ่มก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ภูตที่มาขวางทางตัวนั้นโยนศพในมือทิ้งไปโดยตรง หมายจะหนีเข้าไปในป่าลึก
เหล่าคนในยุทธภพที่ก่อนหน้านี้กินอิ่มว่างงานไม่มีอะไรทำจึงขึ้นเขามาสังหารปีศาจก็เริ่มคุกเข่าโขกหัวร้องวิงวอนขอชีวิต
แม่นางน้อยไม่ค่อยชื่นชอบเรื่องราวในยุทธภพที่เป็นเช่นนี้
ตั้งแต่ต้นจนจบ นางล้วนไม่ค่อยชอบเท่าใดนัก
ระเบียงชมทัศนียภาพมุมนั้นบนชั้นสองของเรือก็มีผู้คนมากมายที่มารวมกลุ่มกันเช่นเดียวกัน
หลังจากเห็นว่าบัณฑิตชุดขาวสกัดการโจมตีนั้นเอาไว้ได้ ผู้คนก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรให้น่าดูอีก
ยอมให้หนึ่งเด็กหนึ่งคนโตนั่นไปก็แล้วกัน
ส่วนบัณฑิตชุดขาวผู้นั้นก็ไม่กล้าพอจะซักไซ้เอาเรื่อง ราวกับว่าจะแกล้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้น
ผู้คนที่อยู่ตรงระเบียงชมทัศนียภาพตรงจุดนี้หัวเราะครืนเสียงดัง
ไม่หวาดเกรงที่จะให้หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กคู่นั้นรู้ว่าใครเป็นคนลงมือแม้แต่น้อย
ลูกจ้างบนเรือข้ามฟากคนหนึ่งแข็งใจเดินไปข้างกายบัณฑิตชุดขาว เขาไม่ได้กังวลว่าผู้โดยสารบนเรือข้ามฟากคนนี้จะตำหนิ แต่กังวลว่าการที่ตัวเองถูกผู้ดูแลเรือบีบบังคับให้มาที่นี่ จะทำให้พวกผู้โดยสารบนชั้นสองพานรังเกียจตน แล้วการเดินทางไปเยือนสวนน้ำค้างวสันต์หลังจากนี้ ตนก็คงจะไม่ได้รับเงินรางวัลแม้แต่ครึ่งเหรียญ
ลูกจ้างหนุ่มยืนอยู่เบื้องหน้าบัณฑิตชุดขาวด้วยสีหน้าบึ้งตึง ถามว่า “เจ้าเอะอะโวยวายอะไร? ดวงตาสุนัขข้างไหนของเจ้าที่มองเห็นว่ามีคนร้าย?”
บัณฑิตชุดขาวพลันหันหน้าไปมองทางแม่นางน้อยชุดดำ “เป็นเขาหรือที่ขายรายงานข่าวให้เจ้า ทั้งยังโน้มน้าวผู้โดยสารคนนั้นว่าอย่าซ้อมเจ้าจนตาย แสร้งทำราวกับว่าตัวเองเป็นคนดีนักหนา?”
นางส่ายหน้า
เป็นอีกคนหนึ่งที่อายุมากกว่า
บัณฑิตชุดขาวใช้พัดพับเคาะไปที่หัวใจ พูดพึมพำกับตัวเอง “ผู้ฝึกตนต้องฝึกฝนจิตใจให้มาก ไม่อย่างนั้นเดินขาเป๋ไปตลอดทางก็คงไม่มีทางเดินได้ถึงจุดที่สูงที่สุด”
แม่นางน้อยชุดดำกระตุกชายแขนเสื้อของเขา มือข้างหนึ่งป้องไว้ข้างปาก แหงนหน้าพูดกับเขาเบาๆ ว่า “ห้ามโมโหนะ ไม่อย่างนั้นข้าจะโมโหเจ้าแล้ว ข้าดุมากเลยนะ”
บัณฑิตชุดขาวมองไปทางชั้นสอง “ไม่ได้ ข้าต้องใช้เหตุผลสักหน่อย คราวก่อนที่อยู่ในทะเลสาบชางอวิ๋นยังใช้เหตุผลได้ไม่เยอะพอ”
ลูกจ้างหนุ่มคนนั้นยื่นมือออกมาเตรียมจะผลักบัณฑิตชุดขาวที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ให้ขวางหูขวางตา แสร้งทำเป็นอวดภูมิมีความรู้อะไรอยู่ได้ “เจ้ายังไม่ยอมหยุดใช่ไหม? ไสหัวกลับไปอยู่ในห้องเจ้าเลย!”
จากนั้นเขาก็ต้องปากอ้าตาค้าง
เหตุใดฝ่ามือของตนอยู่ห่างจากเบื้องหน้าคนผู้นั้นหนึ่งชุ่นก็ไม่อาจยื่นไปข้างหน้าได้อีกแล้ว?
บัณฑิตชุดขาวไม่แม้แต่จะชายตามองเขา เพียงยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “กดขอบเขตไว้ที่ขอบเขตสี่ ก็คิดว่าข้าเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่จริงๆ งั้นหรือ”
ลูกจ้างหนุ่มพลันโค้งเอว กุมหมัดยิ้มเอ่ย “ผู้โดยสารเชิญท่านชมทัศนียภาพต่อไป ข้าน้อยไม่รบกวนท่านแล้ว”
ไม่พูดพร่ำทำเพลง หันตัวได้ก็เผ่นหนีทันที
แล้วเขาก็หนีรอดมาได้จริงๆ
วิ่งไปถึงหัวเรือ หันหน้ากลับมามองครั้งหนึ่ง ไม่มีเงาของบัณฑิตชุดขาวอยู่แล้ว เหลือเพียงแค่แม่นางน้อยชุดดำที่ยืนขมวดคิ้ว
ระเบียงชมทัศนียภาพมุมหนึ่งบนชั้นสองของเรือข้ามฟากที่ห่างจากพวกเว่ยป๋ายไปไม่ไกลเท่าใดนัก
ผู้ฝึกตนชายหญิงเจ็ดแปดคนที่จับกลุ่มกันมาหาประสบการณ์พร้อมใจกันก้าวถอยหลัง
เบื้องหน้าพร่าลายไปแวบหนึ่ง แล้วอยู่ดีๆ บัณฑิตชุดขาวที่ก่อนหน้านั้นต้านรับลูกธนูปราณวิญญาณได้อย่างเปลืองแรงก็มายืนอยู่บนราวระเบียง เขาที่ยืนอยู่ตรงนั้นเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งโบกพัดเบาๆ หลุบตาลงต่ำมองพวกเขาจากที่สูง
ขณะที่คนผู้หนึ่งคิดจะเปิดปากพูด การโคจรปราณวิญญาณในร่างก็พลันหยุดชะงัก รู้สึกเหมือนแบกภูเขาทั้งลูกไว้บนหลัง ใบหน้าแดงก่ำ พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
บัณฑิตชุดขาวยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยามที่ข้าใช้เหตุผล พวกเจ้าแค่ฟังอย่างเดียวก็พอแล้ว”
เสียงพรึ่บดังหนึ่งครั้ง พัดพับหุบเข้าหากัน แล้วตวัดขึ้นเบาๆ
ผู้ฝึกลมปราณที่เป็นคนลอบโจมตีถูกหิ้วตัวลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนที่บัณฑิตชุดขาวจะคว้าจับศีรษะของเขาแล้วเหวี่ยงทิ้งไปด้านหลังอย่างไม่ใส่ใจ จับเขาโยนออกไปนอกเรือข้ามฟากโดยตรง
พัดพับตวัดขึ้นอีกครั้งก็มีคนอีกคนหนึ่งลอยตัวกลางอากาศสูงเหมือนถูกรัดคอกระชากขึ้น แล้วถูกตบออกไปนอกเรือด้วยการโบกชายแขนเสื้อเพียงครั้งเดียวของคนผู้นั้น
ทุกคนล้วนถูกคนผู้นั้นจับโยนเหมือนโยนเกี้ยวลงหม้อต้ม
บนระเบียงชมทัศนียภาพแถบนั้นว่างเปล่า เหลือเพียงบัณฑิตชุดขาวที่ตรงเอวห้อยกาเหล้าสีชาดอยู่คนเดียวเท่านั้น
เขาทิ้งตัวหงายไปด้านหลัง บินหันหลังตามออกไปนอกเรือข้ามฟากเช่นกัน ชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวหิมะสองข้างสะบัดเสียงดั่งฟึ่บฟั่บ พริบตาเดียวร่างก็ทิ้งดิ่งลงไปเบื้องล่าง มองไม่เห็นเงาอีก
ครู่หนึ่งต่อมา
เขาก็มาปรากฏตัวอยู่บนราวระเบียงของเรือข้ามฟากอีกครั้ง แหงนหน้ามองไปยังระเบียงชมทัศนียภาพของห้องอักษรตัวเทียน ยิ้มตาหยี ไม่เอ่ยอะไร
เว่ยป๋ายกระตุกมุมปาก “อาจารย์เลี่ยว ว่าอย่างไร?”
ผู้เฒ่าร่างบึกบึนก้าวยาวๆ ตรงไปเบื้องหน้า ใช้พายุหมัดดีดเจ้าพวกเศษสวะบนภูเขาล่างภูเขากลุ่มนั้นที่ดีแต่จะคุยโวประจบสอพลอให้พ้นทาง ผู้เฒ่าเพ่งตามองไปยังบัณฑิตชุดขาว พูดเสียงหนักว่า “บอกได้ยาก”
เว่ยป๋ายหันหน้าไปชำเลืองตามองชายฉกรรจ์ในยุทธภพที่สีหน้าซีดขาวน้อยๆ คนนั้น พอดึงสายตากลับมาแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นจะไม่ยุ่งยากหรือ?”
คราวนี้บัณฑิตชุดขาวผู้นั้นก็น่าจะร่างระเบิดไปโดยตรง อย่างน้อยที่สุดก็ควรถูกหนึ่งหมัดต่อยให้ร่างทะลุหัวเรือออกไป ร่วงหล่นลงบนพื้นดินแล้วกระมัง?
เปล่าเลย
ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น
คนผู้นั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิม มือข้างหนึ่งถือพัดอยู่เหมือนเดิม ก็แค่ยกมือข้างที่เดิมไพล่หลังไว้ออกมาต้านรับเท่านั้น
คราวนี้เปลี่ยนเป็นผู้เฒ่าร่างกำยำที่ต้องถอยหลังกรูดออกไปบ้าง จิตวิญญาณของเขาแกว่งไกวไม่หยุด
บัณฑิตชุดขาวยืนนิ่งอยู่นาน จากนั้นก็ร้องโอ้ยออกมาหนึ่งครั้ง ขาสองข้างไม่ขยับเขยื้อน แต่เรือนกายด้านบนกลับแสร้งโยกโงนเงนอยู่สองสามที “วิชาหมัดของผู้อาวุโสดั่งวิชาเทพ น่ากลัวๆ โชคดีที่ผู้อาวุโสเหลืออีกแค่หมัดเดียว ใจข้ายังหวาดผวาไม่หาย โชคดีที่ผู้อาวุโสเกรงใจกัน ไม่ยอมรับปากข้าที่บอกว่าให้เจ้าออกหมัดทีเดียวห้าครั้งรวด ตอนนี้ข้ารู้สึกเสียใจภายหลังมากๆ แล้ว”
ผู้โดยสารทุกคนบนเรือใกล้จะบ้าตายเต็มที
มารดามันเถอะ ตลอดชีวิตที่ผ่านมานี้ยังไม่เคยเจอใครที่เห็นชัดๆ ว่าเล่นละครเก่ง แต่กลับไม่ตั้งใจเล่นขนาดนี้มาก่อน!
ผู้เฒ่าร่างกำยำผู้นั้นหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นก็หมัดสุดท้าย!”
สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง
พายุหมัดแกร่งกร้าวทั่วกายของผู้เฒ่าก็ปะทุดันชุดคลุมยาวของเขาให้พองโป่ง
นาทีถัดมา ภาพเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็พลันบังเกิดขึ้น
ผู้เฒ่าที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองของจวนเถี่ยชางผู้ยิ่งใหญ่ กลับไม่ได้ปล่อยหมัดใส่บัณฑิตชุดขาวโดยตรง แต่เบี่ยงวิถีการโคจรไประหว่างทาง หันไปหาแม่นางน้อยชุดดำที่ยืนตัวตรงอยู่ข้างราวระเบียง ทุกครั้งที่นางเห็นว่าบัณฑิตชุดขาวปลอดภัยดีจะต้องขึงหน้าตึงกลั้นยิ้ม แอบยกมือเล็กๆ ทั้งสองข้างขึ้นปรบเข้าด้วยกันเบาๆ นางปรบมืออย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมา น่าจะเป็นเพราะจงใจไม่ให้ฝ่ามือทั้งสองตีโดนกัน
เสี้ยววินาทีถัดมา
ราวกับว่าแม่น้ำแห่งกาลเวลาหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น
เห็นเพียงว่าคนชุดขาวมายืนอยู่ข้างกายแม่นางน้อย นิ้วทั้งห้าของมือซ้ายงอเป็นตะขอจิกอยู่ที่ลำคอของปรมาจารย์วิถีวรยุทธแห่งจวนเถี่ยชาง ทำให้ฝ่ายหลังที่ร่างโน้มเอียงมาด้านหน้าไม่อาจขยับเขยื้อนมาอีกได้แม้แต่นิดเดียว ลำคอของฝ่ายหลังมีเลือดสดทะลัก มือหนึ่งของบัณฑิตชุดขาวถือพัด เขาคลายนิ้วมือออก ผลักไปที่หน้าผากของผู้เฒ่าเบาๆ เสียงปังดังหนึ่งครั้ง ร่างของผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่ผ่านการเข่นฆ่าบนสนามรบมาก่อนก็กระแทกท้ายเรือร่วงตกจากเรือข้ามฟากไป
บนระเบียงของชั้นสอง เว่ยป๋ายไม่ได้เอ่ยคำใด หญิงชราก็ไม่พูดไม่จาเหมือนกัน
ครู่หนึ่งต่อมา
ทุกคนต่างก็ได้ยินเสียงทำนองเดียวกันจากจุดที่ห่างไปไกล
ด้านท้ายของเรือข้ามฟากมีจุดแสงสีทองจุดหนึ่งระเบิด จากนั้นแสงกระบี่ก็พุ่งมาถึง คนขี่กระบี่ผู้หนึ่งที่มีลักษณะเป็นเด็กหนุ่ม ปักปิ่นสีทองบนมวยผมมองมาทางราวระเบียง ถามว่า “เป็นเจ้าที่ใช้หนึ่งกระบี่ผ่าบ่อสายฟ้าของตำหนักจินอูข้าใช่หรือไม่?”
บัณฑิตชุดขาวสีหน้าเหลอหรา ถามว่า “เจ้าพูดอะไรน่ะ?”
เซียนกระบี่เด็กหนุ่มยิ้มอย่างจนใจ “พอไปถึงสวนน้ำค้างวสันต์เมื่อไหร่ ข้าจะเลี้ยงน้ำชาเจ้า”
แล้วแสงกระบี่ก็จากไปไกล
ไม่รู้ว่าเหตุใดแม่นางน้อยชุดดำถึงพลันรู้สึกว่าเรื่องราวบนภูเขาประเภทนี้ช่างเป็นวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ชวนให้ฮึกเหิม แต่นางกลับดีใจไม่ออก นางก้มหน้าลง เดินไปหยุดอยู่ข้างกายบัณฑิตชุดขาว กระตุกชายแขนเสื้อของเขาเบาๆ “ขอโทษนะ”
คนผู้นั้นทรุดตัวลงนั่งยอง ใช้มือสองข้างดึงแก้มของนางเบาๆ จากนั้นก็ทำหน้าทะเล้นใส่นาง พูดกลั้วหัวเราะด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “อะไรกันๆ”
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!