กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 538

เฉินผิงอันออกจากจวนน้ำ แล้วเดินทางไกลไป ‘เยี่ยมเยือนภูเขา’ เขายืนอยู่ตรงตีนเขาที่ลักษณะคล้ายพื้นที่มงคลแห่งหนึ่ง แหงนหน้ามองภูเขาที่มีเมฆห้าสีล้อมเวียนวนลูกนั้น ตัวภูเขาเหมือนไอหมอกที่เข้มข้น พื้นผิวภายนอกเป็นสีเทาเข้ม ยังคงให้ความรู้สึกเป็นดั่งมายาล่องลอยแก่คนมอง ภาพปรากฎการณ์ของตัวภูเขาด้อยเกินกว่าจะเทียบจวนน้ำที่ไปเยือนก่อนหน้านี้ได้ติด

โชคดีที่ตรงตีนเขามีทัศนียภาพที่ก้อนหินสีขาวส่องประกายแวววาว เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับภูเขาทั้งลูกที่ใหญ่โตโอฬารแล้ว พื้นที่เล็กๆ ที่มีประกายแสงสีขาวหิมะระยิบระยับนี้ยังคงมีน้อยจนน่าสงสาร แต่นี่กลับถือว่าเป็นผลเก็บเกี่ยวจากการฝึกตนอย่างยากลำบากตลอดทางหลังจากที่เฉินผิงอันออกมาจากท่าเรือของแคว้นลวี่อิงแล้ว

เฉินชิงตูผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มีสายตาเฉียบคม เขาเอ่ยอย่างมั่นใจว่าหากเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอันไม่แตก ก็จะมีคุณสมบัติของเซียนดิน

เทพเซียนพสุธาในความหมายของคนบนโลก ผู้ฝึกตนโอสถทองใช่ ก่อกำเนิดก็ใช่ ล้วนเป็นเซียนดิน

แต่ในสายตาของผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่แล้ว สองอย่างนี้อาจไม่มีอะไรแตกต่างกัน

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงทั้งไม่หลงลำพองในตัวเอง แล้วก็ทั้งไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อย

เฉินผิงอันรู้ดีอยู่แก่ใจว่า เป็นจวนน้ำและศาลภูเขาเหมือนกัน หากเปลี่ยนมาเป็นของผู้มีพรสวรรค์ที่บนร่างแบกโชคชะตาของหนึ่งแคว้นไว้อย่างแท้จริงเช่นฉีจิ่งหลง ภาพปรากฎการณ์มีแต่จะยิ่งใหญ่มากกว่านี้

แต่ถึงอย่างไรผู้ฝึกตนบนโลกที่เป็นผู้มีพรสวรรค์ก็มีน้อย คนปกติมีมาก หากแม้แต่เรื่องนี้เฉินผิงอันยังไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ถ้าอย่างนั้นบนเส้นทางของการฝึกวรยุทธ ความมั่นใจของเขาก็คงหดหายไปตั้งแต่ตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว ส่วนในด้านของการฝึกตนก็ยิ่งต้องถูกโจมตีจนสภาพจิตใจแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดีครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ได้ดีไปกว่าการที่สะพานแห่งความเป็นอมตะขาดสะบั้นเลย ว่ากันด้วยเรื่องของฐานกระดูกของผู้ฝึกลมปราณ ยกตัวอย่างเช่นเฉินผิงอันที่มีคุณสมบัติของเซียนดิน นี่ก็คือ ‘ถ้วยข้าวเหล็ก’ ที่มีมาตั้งแต่กำเนิดใบหนึ่ง ทว่าก็ยังต้องพูดถึงคุณสมบัติกันสักหน่อย ซึ่งคุณสมบัตินั้นยังแบ่งได้อีกนับพันนับหมื่นอย่าง สามารถหาวิธีการฝึกตนที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุดได้เจอ เดิมทีก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว

แก่งแย่งแข่งขันกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นด้านพละกำลังหรือด้านเหตุผล ก็มักจะต้องมีจุดที่ต้องพ่ายแพ้ให้คนอื่นอยู่เสมอ ยากที่จะสมบูรณ์แบบไปได้ชั่วชีวิต

แต่ประชันขันแข่งกับตัวเอง กลับมีผลประโยชน์ยาวไกล การสั่งสมทีละเล็กทีละน้อยล้วนสามารถกลายมาเป็นกำลังทรัพย์ของตัวเองได้

ทุกครั้งที่ทำความผิด ขอแค่รู้จักเปลี่ยนแปลงแก้ไข หันกลับไปมองเส้นทางที่เคยทำผิดพลาดในอดีตพวกนั้นอีกครั้ง ก็จะเหมือนกับท้องน้ำที่ธารน้ำไหลริกๆ หรือแม่น้ำที่กระแสน้ำไหลเชี่ยว ต่อให้จะยังลบออกไปจากเส้นทางในหัวใจม่ได้ แต่ท้องน้ำกลับคงอยู่ยาวนาน ไม่ต้องหวาดกลัวว่าน้ำจะท่วมจนกลายเป็นอุทกภัย นี่ก็คือการฝึกจิตใจ ผู้ฝึกตนที่เก็บออมกำลังเอาไว้ ต่อให้พบเจอกับอุปสรรคและหายนะที่ใหญ่แค่ไหน ขอแค่ตัวคนยังไม่ตาย จิตแห่งมรรคาก็ไม่มีทางล่มสลาย ใช้สภาพจิตใจมาสำรวจตน ต่อให้บนผิวกระจกจะมีรอยร้าว ทว่าคนถือกระจกที่มองคนซึ่งอยู่ในกระจกจะคิดว่าใบหน้าของตัวเองไม่สมบูรณ์แบบจริงๆ หรือ ไม่ถึงขนาดนั้น

เฉินผิงอันเคยกลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นคนบนภูเขา ก็เหมือนกับที่กลัวว่าตนกับกู้ช่านจะกลายเป็นคนที่เคยรังเกียจที่สุดในอดีต ยกตัวอย่างเช่นคนที่ปีนั้นเคยเกือบซ้อมหลิวเสี้ยนหยางตายในตรอกหนีผิง หรือชายเมาเหล้าที่เคยถีบเข้าที่หน้าท้องของกู้ช่าน รวมไปถึงคนอย่างฝูหนันหัว วานรย้ายภูเขา หรือคนอย่างหลิวจื้อเม่า เจียงซ่างเจินที่พบเจอในภายหลัง

เฉินผิงอันถึงขั้นกลัวว่าทฤษฎีเส้นสายของเจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋าที่ตัวเองนำมาใช้ชั่งน้ำหนักเรื่องราวทางโลกและจิตใจคนครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายแล้ววันใดวันหนึ่งมันจะกลบทับทฤษฎีลำดับขั้นตอนของอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งไปโดยที่เขาไม่รู้ตัว

ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อเท้าเหยียบยืนลงบนพื้นได้อย่างมั่นคงแล้วเดินไปทีละก้าว หลักการเหตุผลบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นของสามลัทธิหรือร้อยสำนัก อันที่จริงล้วนไม่เคยน่ากลัว ที่น่ากลัวก็คือตัวเองไม่เข้าใจ แต่กลับคิดว่าตัวเอง ‘รู้แล้ว’

เมื่อลืมตาขึ้นจริงๆ จึงมองเห็นแสงสว่าง

ประโยคนี้เป็นประโยคที่เฉินผิงอันคิดได้ตอนที่หลับตานอนอยู่บนยอดเขาแล้วลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ไม่เพียงแต่คิดประโยคนี้ได้เท่านั้น เฉินผิงอันยังแกะสลักมันลงบนแผ่นไม้ไผ่อย่างจริงจังด้วย

บนแผ่นไม้ไผ่เฉินผิงอันแกะสลักบทกลอนและบทกวีจนแทบจะใกล้เคียงกับคำว่ายิบย่อย แต่ประโยคที่ตัวเองบรรลุมาได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังสลักลงบนแผ่นไม้ไผ่อย่างจริงจังนั้นกลับมีน้อยจนนับนิ้วได้

เฉินผิงอันออกมาจาก ‘ศาลภูเขา’ ห้าสีลูกนั้น แล้วไปที่ด่านแห่งหนึ่ง

ปราณกระบี่พุ่งทะยานดุจสายรุ้ง ประหนึ่งม้าเหล็กบุกเยือนหน้าด่าน ดุจดั่งกระแสน้ำขึ้นที่พลังอำนาจเชี่ยวกรากน่าเกรงขาม แต่กลับไม่อาจบุกโจมตีนครที่แข็งแกร่งมิอาจทำลายแห่งนั้นให้แตกออกได้เสียที

นี่ก็คือด่านสุดท้ายของปราณกระบี่สิบแปดหยุด

เฉินผิงอันยืนอยู่บนยอดเขาด้านข้างจุดที่ม้าเหล็กคุมเชิงอยู่กับหน้าด่าน เขานั่งขัดสมาธิ ยกมือเท้าคาง ครุ่นคิดอยู่นาน

แล้วก็เดินไปยัง ‘เนินกระบี่’ สองเนินซึ่งเป็นสถานที่หล่อหลอมของชูอีกับสืออู่

กระบี่บินสองเล่มที่เมื่อปรากฏตัวแก่สายตาคนบนโลกล้วนมีขนาดเล็กจิ๋วกะทัดรัด ทว่าเมื่ออยู่ในช่องโพรงลมปราณสองแห่งของเฉินผิงอัน ตัวกระบี่กลับใหญ่ราวขุนเขา ลอยนิ่งห้อยหัวอยู่บนเนินเขาขนาดมหึมาแต่กลับราบเรียบสองลูกนี้ ปลายกระบี่ค้ำยันอยู่บนแท่นหินราบเรียบซึ่งเป็นภาพจำแลงของแท่นสังหารมังกร สะเก็ดไฟแตกกระเด็นไปสี่ทิศ ตลอดทั้งช่องโพรงลมปราณล้วนเกิดภาพปรากฎการณ์อันยิ่งใหญ่ที่สะเก็ดไฟพร่างพราวดุจสายฝน ต่อให้เฉินผิงอันเคยเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนนานแล้ว แต่ทุกครั้งที่ได้เห็น จิตวิญญาณก็ยังแกว่งไกวได้ทุกครั้ง

พอจะจินตนาการได้เลยว่า หากกระบี่บินทั้งสองเล่มออกไปจากฟ้าดินขนาดเล็กอย่างช่องโพรงลมปราณนี้ กลับคืนสู่ใต้หล้าศาลอีกครั้ง หากยังมีภาพปรากฎการณ์เช่นนี้อยู่ ยามที่ต่อกรกับศัตรูของตนจะให้ความรู้สึกเช่นไร?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!