อ่านสรุป บทที่ 545 ทุกคนที่อยู่บนเรือล้วนอาจกลายเป็นศัตรู จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บทที่ บทที่ 545 ทุกคนที่อยู่บนเรือล้วนอาจกลายเป็นศัตรู คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
ร่างของเทพหญิงชุดขาวและองค์เทพชุดเขียวสององค์ต่างก็สลายหายไปแล้ว
อีกห้าวันต่อมา ม่านน้ำจะยังปรากฏขึ้นอีกครั้ง
หากผ่านไปสิบวันแล้วสถานที่แห่งนี้ยังมีคนเหลือเกินห้าคน ก็จะมีทัณฑ์สวรรค์เยื้องกรายลงมาสังหารทุกคน
หวนอวิ๋นค้นพบว่ายันต์ที่ตัวเองซ่อนไว้ในฝ้าเพดานแหลกสลายไปแล้ว เห็นได้ชัดว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำของที่แห่งนี้ได้ปิดทางออกจวนเซียนไปแล้ว
ทางฝั่งของสะพานโค้งหยกขาว ผู้ฝึกยุทธและผู้ฝึกตนจากฝ่ายต่างๆ ที่เป็นดั่ง ปลาและมังกรปะปนกันหันมามองหน้ากันเอง
ก่อนหน้านี้กว่าที่หวนอวิ๋นจะรวบรวมใจคนที่แตกแยกให้เป็นหนึ่งเดียวได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เวลานี้ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเดิมในเสี้ยววินาทีอีกครั้งแล้ว
กลับมาเป็นทรายกระจัดกระจายถาดหนึ่ง
ต่อให้เป็นคนทั้งหกก็ยังพากันชักเท้าถอยหนี ทิ้งระยะห่างจากคนข้างกายพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
มีเพียงป๋ายปี้ที่ยืนเคียงไหล่กับจานชิง สื่อสารกันอยู่เงียบๆ
ทันใดนั้นฟ้าดินก็เงียบสงัด หากมีเข็มสักเล่มตกลงพื้นก็คงได้ยินกันทั่ว
ชายหนุ่มหญิงสาวของนครเหนือเมฆอารมณ์หนักอึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ
หญิงสาวถามว่า “ศิษย์พี่ เจินเหรินผู้เฒ่าหวนจะปกป้องพวกเราได้หรือไม่?”
บุรุษยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “บางทีการที่เจินเหรินผู้เฒ่าไม่ยินดีฆ่าพวกเราก็ถือว่า มีคุณธรรมมากแล้ว”
หญิงสาวหน้าเผือดสีทันใด
บุรุษกล่าวอย่างจนใจว่า “ถึงอย่างไรหวนอวิ๋นก็ไม่ใช่คนบ้านเดียวกับเรา ตอนนี้คนที่พวกเราสามารถเชื่อใจได้มีเพียงผู้ถวายงานสวี่เท่านั้นแล้ว”
ครู่หนึ่งต่อมาคนทั้งสองก็ร่วมกันพิจารณาถึงสถานการณ์ที่เป็นดั่งทางตัน พยายามจะฝ่าสถานการณ์ตายตอนนี้ไปให้ได้ น่าเสียดายที่ยังไม่อาจหาวิธีการที่เหมาะสมได้เจอ
ผู้ถวายงานขอบเขตประตูมังกรที่มีท่าทางเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ผู้ปกป้องมรรคาที่แท้จริงของพวกเขาสองคน พลิ้วกายมาหยุดข้างกายคนทั้งสอง พูดเนิบช้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ไม่สู้มอบกระบอกพู่กันหยกขาวให้ข้า ข้าจะช่วยดึงดูดความสนใจไปจากทุกคนเอง”
บุรุษมอบวัตถุฟางชุ่นชิ้นนั้นออกไปอย่างไม่ลังเล พูดอย่างซาบซึ้งว่า “รบกวน ผู้ถวายงานสวี่แล้ว”
ผู้ถวายงานเฒ่าเก็บกระบอกพู่กันหยกขาวไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง แล้วทะยานจากไป
หญิงสาวมีสีหน้าประหลาดใจ
บุรุษส่ายหน้า บอกเป็นนัยแก่นางว่าไม่ต้องพูดอะไร
แม้จะบอกว่าสตรีไม่รอบคอบและสุขุมได้เท่าศิษย์พี่ของนาง แต่การที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากเจ้าเมืองเสิ่นเจิ้นเจ๋อตลอดมา จะดีจะชั่วนางก็ยังพอรู้ว่าการส่งมอบวัตถุฟางชุ่นออกไปตอนนี้ต้องไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่นอน
บุรุษใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “หากเมื่อครู่ไม่มอบมันให้เขา ตอนนี้พวกเราก็กลายเป็นสองศพแล้ว อีกห้าวันต่อมา หากพวกเราและผู้ถวายงานสวี่คนนี้ล้วนสามารถมีชีวิตรอดจนถึงวันนั้น ก็รอไปก่อนเถอะ วัตถุฟางชุ่นต้องกลับคืนสู่เจ้าของเดิมเป็นแน่”
สตรีเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “รอให้ม่านน้ำหายไปก่อน แล้วค่อยไปแย่งกลับมา?”
บุรุษยิ้มกล่าว “ไม่อย่างนั้นจะทำยังไงเล่า?”
สตรีน้ำตาร่วงดุจดอกสาลี่ถูกพรมด้วยสายฝน
บุรุษช่วยเช็ดน้ำตาให้นางด้วยท่าทางอ่อนโยน ไม่ได้เอ่ยอะไร
ไม่ใช่ว่าไม่อยากพูด แต่เป็นเพราะไม่มีอะไรจะให้พูดต่างหาก
ใต้ต้นไผ่เขียวด้านหลังภูเขา ตี๋หยวนเฟิงสีหน้าเคร่งเครียด เงยหน้าชำเลืองตามอง ไม่มีความคิดจะหาเรื่องผู้เฒ่าชุดดำแม้แต่น้อย แต่คิดว่าจะไปหลบให้ได้ไกลเท่าไร ก็ยิ่งดี
ตี๋หยวนเฟิงวิ่งตะบึงลงภูเขาไปอย่างไม่ลังเล แล้วก็เลือกที่จะอ้อมตำหนักแห่งนั้นไป
เฉินผิงอันไถลตัวลงมาจากต้นไผ่ ตอนที่เดินผ่านสิ่งปลูกสร้างลักษณะเหมือนพระราชวังก็พบว่าหวงซือไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
นักพรตซุนปลดห่อสัมภาระน้อยใหญ่สองใบวางไว้ข้างเท้า
เขาไม่กล้าทิ้งห่อสัมภาระแล้วเผ่นหนี ด้วยกังวลว่าจะถูกคนปล่อยหมัดสะเปะสะปะต่อยตาย ถึงเวลานั้นต่อให้ตนมีร้อยปากก็ยากจะแก้ตัว เขาเป็นผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่ง ไม่มีฝีมือมากพอจริงๆ
นักพรตซุนได้แต่เดิมพันว่าคนกลุ่มถัดไปที่จะมาพบเขา เมื่อได้ของไปแล้วจะยอมเลิกรา เอาแค่ทรัพย์สินไม่เอาชีวิตกัน
เวลานี้ต่อให้เขาเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของเรือนเทพสายฟ้าภูเขาอิงเอ๋อร์จริงๆ จะมีประโยชน์หรือ? มีประโยชน์กะผายลมอะไร
เฉินผิงอันเห็นภาพนี้แล้ว ในใจก็คิดว่าในที่สุดนักพรตเฒ่าก็ทำตัวฉลาดได้สักที ไม่คิดจะทิ้งสมบัติแล้วชักเท้าเผ่นหนี
นักพรตซุนน้ำตาคลอ ท่าทางน่าสงสาร มองสหายเฉินที่ยืนอยู่บนกำแพงแล้ว โบกมือ “ไปเถอะๆ หนีไปได้ไกลเท่าไรก็ยิ่งดี”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “รักษาตัวด้วย”
เพียงแต่ว่าก่อนจะจากไปได้โยนยันต์สามแผ่นส่งไปให้อีกฝ่าย ล้วนเป็นยันต์แบกศิลา ที่ใช้อำพรางตัวทั้งสิ้น
มอบยันต์โจมตีให้ ไม่มีความหมายสักเท่าไร
หลังจากใช้เสียงในใจบอกประโยชน์ของยันต์ชนิดนี้แก่นักพรตซุนแล้ว เฉินผิงอัน ก็วิ่งตะบึงลงจากภูเขาไป
นักพรตซุนรับยันต์มาแล้ว พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง บนกำแพงก็ไม่เหลือร่องรอยของสหายเฉินผู้นั้นอีก แล้วเขาก็ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังว่า “ความจริงใจ มักพบเจอในยามยากจริงๆ”
เฉินผิงอันแค่หวังว่านักพรตซุนที่ยอมสละสมบัติและโชควาสนาที่ได้มาจะสามารถรักษาชีวิตน้อยๆ ของตัวเองไว้ได้ชั่วคราว
หลังจากนั้น อันที่จริงก็คือโอกาสรอดเสี้ยวหนึ่ง
พื้นที่มงคลดอกบัวในปีนั้นก็มีสภาพการณ์ที่ไม่ต่างกันสักเท่าไร หลังจากที่ต่อสู้กันจนฟ้ามืดดินมัวแล้ว ปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานผู้นั้นที่ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ ก็ไม่เพียงแต่ มีชีวิตรอดมาจนถึงท้ายที่สุด หากไม่เป็นเพราะไม่สามารถขึ้นไปบนหัวกำแพงได้ ตรงตามเวลา ไม่อย่างนั้นก็ยังจะได้โชควาสนาในการบินทะยานสู่ใต้หล้าไพศาลไป เสียเปล่าๆ ด้วยซ้ำ
ส่วนที่บอกว่าสุดท้ายแล้วจะมีคนรอดชีวิตห้าคน และยังมีโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้า มาเยือน ถูกยอดฝีมือขอบเขตบินทะยานอะไรนั่นรับเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดและลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ เฉินผิงอันไม่เชื่อแม้แต่น้อย
บนเส้นทางของการฝึกตน สิ่งที่มองดูเหมือนเป็นโชควาสนา เนื่องจากเกี่ยวพันกับสมบัติอาคม ส่วนใหญ่มักจะล่อลวงใจคนได้ดีที่สุด ตรงไปตรงมามากที่สุด ดูเหมือนว่าใครที่ได้โชควาสนาไปมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นตัวอ่อนในการฝึกตนมากเท่านั้น
แต่เฉินผิงอันพอจะแน่ใจได้คร่าวๆ แล้วว่า ยิ่งเป็นผู้บรรลุมรรคาที่ขอบเขต สูงเท่าไร ก็จะยิ่งมองฐานกระดูก คุณสมบัติ นิสัยใจคอ โชควาสนาของลูกศิษย์ไม่ให้ขาดไปแม้แต่อย่างเดียวมากเท่านั้น
การรับลูกศิษย์ของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานยุคบรรพกาลคนหนึ่ง โดยเฉพาะลูกศิษย์ผู้สืบทอด มีหรือจะดูแค่ที่ว่าสมบัติที่คนรุ่นหลังได้ไปจากภูเขา ของเขามีมากหรือน้อย
สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยปราณสังหารในทุกหนทุกแห่ง หากบอกว่าการช่วงชิงสมบัติและโชควาสนาก่อนหน้านี้เหมือนกับว่าทุกคนเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่อยู่บนเส้นทางการฝึกตน ต่างคนต่างมีรางลูกคิดเป็นของตัวเอง ก็ยังถือว่าพอจะสมเหตุสมผล ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่าดินและลมของที่แห่งนี้ถูกต้องเที่ยงตรงหรือไม่ ถ้าอย่างนั้นสถานการณ์ในตอนนี้ก็เท่ากับว่าบีบให้ทุกคนต้องเข่นฆ่ากันเอง ราวกับว่าทุกคนที่อยู่ข้างกายล้วนสมควรตายทั้งหมด
นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าคนที่เฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้ไม่ใช่คนดีอะไร มีความเป็นไปได้ว่า จงใจล่อลวงจิตใจคน ปล่อยให้คนสี่สิบกว่าคนที่เหลืออยู่นี้เข่นฆ่ากันเอง คนผู้นั้นจะได้เป็นเฒ่าประมงที่รับผลประโยชน์ไปครอง
แล้วยังมีการระเบิดแตกกะทันหันของกระพรวนเจดีย์วิเศษของนักพรตซุนที่ปู เป็นพื้นฐาน เฉินผิงอันจึงถึงขั้นเดาออกเลยว่าคนที่อยู่เบื้องหลังสถานที่แห่งนี้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นปีศาจใหญ่ตนหนึ่ง เพียงแต่ติดที่กฎเกณฑ์เก่าแก่บางอย่างจึงไม่อาจกระทำการได้ตามใจปรารถนา ก็เหมือนการดำรงอยู่ของปราณกระบี่ที่แหลมคมเสี้ยวนั้น ที่มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าก็คือพันธนาการและการงัดข้ออย่างหนึ่ง
เฉินผิงอันพลันนึกถึงบนสนทนาระหว่างเขากับชุยฉานบนขั้นบันไดของภูเขาลั่วพั่ว ในปีนั้นขึ้นมา
ชุยฉานแน่ใจในสถานการณ์ใหญ่ของใต้หล้าอย่างถึงที่สุด ตอนนั้นเฉินผิงอัน ก็อยากถามราชครูของต้าหลีแล้วว่า เหตุใดถึงไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกแก่คนบางคน หรือป่าวประกาศให้ใต้หล้ารับรู้ไปโดยตรง เพียงแต่ว่าตอนนั้นเฉินผิงอันไม่ได้ถามออกไป จากนั้นตัวเขาเองก็มีคำตอบให้กับตัวเอง
พูดไปแล้วก็ไม่มีคนฟัง ฟังไปแล้วก็ไม่มีใครเชื่อ
เฉินผิงอันไม่ได้ออกห่างไปจากสิ่งปลูกสร้างแถบที่นักพรตซุนอยู่ไกลนัก
เขากำลังใคร่ครวญอยู่เรื่องหนึ่ง
ควรจะใช้เจี้ยนเซียนผ่าม่านฟ้าออกไปทันทีดีหรือไม่?
นี่คือทางเลือกที่มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะตัดสินความเป็นความตาย
เพราะสำหรับความเข้าใจที่เฉินผิงอันมีต่อซากปรักแห่งนี้ หลังจากที่ ภาพเหตุการณ์หลอกผีหลอกเจ้านั้นปรากฏขึ้น ก็ได้ยกระดับขอบเขตของ ‘เทพเทวา’ ของที่แห่งนี้ซึ่งซ่อนตัวอยู่ลึกเบื้องหลังผู้นั้นให้สูงขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ การที่ตอนนั้น ตนสามารถหนีรอดออกมาจากหุบเขาผีร้ายได้สำเร็จ เป็นการกระทำที่ฉุกละหุก ไม่มีลางบอกเหตุ เกาเฉิงที่อยู่นครจิงกวานจึงรับมือไม่ทัน แต่ท่านผู้นั้นของที่นี่ บางทีอาจจะเริ่มจับตามองเขาเฉินผิงอันอยู่นานแล้ว
ดังนั้นเขาจึงมีความคิดอย่างหนึ่งที่ถือเป็นการพบกันครึ่งทาง
เลียนแบบปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานของพื้นที่มงคลดอกบัว หลบซ่อนตัวอยู่ตลอดจนถึงกำหนดสิบวัน ถึงเวลานั้นจะเป็นโชคหรือเคราะห์ความตั้งใจของคนที่อยู่เบื้องหลัง จะดีหรือร้าย ก็ล้วนจะเป็นเหมือนน้ำลดหินผุด
จะต้องออกกระบี่หรือไม่ก็คงจะรวดเร็วฉับไวกว่าตอนนี้มากนัก
หวงซือเดินออกมาจากหัวมุมหนึ่ง พูดอย่างประหลาดใจว่า “เจ้าสนใจความเป็นความตายนักพรตซุนขนาดนี้เชียวหรือ? กังวลว่าข้าจะปล่อยหนึ่งหมัดต่อยให้เซียนซือเรือนเทพสายฟ้าตายขนาดนั้นเชียว?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าเดาดูสิ?”
หวงซือกระตุกมุมปาก “ไม่สู้เจ้ากับข้าร่วมมือกันโจมตีศัตรูให้ถอยร่น?”
เฉินผิงอันถาม “ไม่กลัวว่าข้าจะเป็นตัวถ่วงรึ?”
ในใจหวงซือยิ่งเกิดความกังขา สุดท้ายก็อดไม่ไหวถามว่า “เจ้ามีขอบเขตอะไรกันแน่? เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่เชี่ยวชาญวิถีแห่งยันต์ หรือเซียนดินโอสถทอง คนหนึ่ง?”
เฉินผิงอันย้อนถาม “เจ้าล่ะ?”
หวงซือยิ้มเอ่ยอย่างจริงใจ “ถือว่าพอจะเป็นผู้ฝึกยุทธร่างทองได้อย่างถูไถ ยังมีแค้นใหญ่ที่ไม่ได้ชำระ เพราะฉะนั้นจะตายไม่ได้”
เฉินผิงอันเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มองข้าเป็นผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่งแล้วกัน อืม เป็นเซียนดินโอสถทองได้อย่างถูไถ”
หวงซือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ถอยออกไปจากภูเขาลูกนี้ก่อน แล้วพวกเรา ก็พยายามร่วมมือกันล้อมสังหาร เป็นอย่างไร? แน่นอนว่านี่คือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด แต่ว่าสภาพการณ์ของเจ้าและข้าในตอนนี้ คิดไปในทางเลวร้ายสักหน่อย ก็ไม่ผิด”
เฉินผิงอันถาม “ทำไมถึงไม่เลียนแบบนักพรตซุนที่มอบสมบัติออกไปโดยตรง?”
หวงซือหัวเราะหยันกล่าวว่า “ทำไม คิดจะเดิมพันให้เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลพวกนั้นมีจิตใจของพระโพธิสัตว์อย่างนั้นหรือ? หรือหวังว่าพวกผู้ฝึกตนอิสระ จะเปลี่ยนสันดาน ทำตัวเป็นคนดีที่ไม่สนความเป็นความตายของตัวเอง?”
เฉินผิงอันลูบคลึงปลายคาง คล้ายกำลังใคร่ครวญว่าควรจะร่วมมือกับหวงซือ อย่างจริงใจ พากันข้ามผ่านด่านยากนี้ไปดีหรือไม่
หวงซือเอ่ยเร่ง “เวลาไม่คอยใคร โอกาสพลาดไปแล้วก็ไม่หวนคืนมาอีก หากพวกเราสองคนยังเสียเวลาต่อไป อันตรายก็จะเพิ่มมากขึ้นอีกส่วนหนึ่ง”
เฉินผิงอันเอ่ย “อย่าดีกว่า กลัวว่าจะถูกเจ้าแอบต่อยอีกครั้ง กระดูกแก่ๆ ของข้ารับความทรมานพวกนี้ไม่ไหวหรอก”
หวงซือส่ายหน้า “เจ้าต้องตายก่อนข้าแน่นอน”
พูดจบหวงซือก็ถอยหลังไปหลายก้าว เงาร่างหายวับไปตรงหัวมุม
เฉินผิงอันถึงได้แปะยันต์แบกศิลาแผ่นหนึ่งไว้บนร่าง หาพื้นที่เงียบสงบ สวมชุดสีเขียวธรรมดาชุดหนึ่งไว้บนกาย ชุดคลุมอาคมสามตัวกับชุดเขียวธรรมดาอีกหนึ่งตัว ทำให้ร่างของเขาดูอ้วนหนาอย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่ว่าเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว อยู่ในภูเขาอากาศก็จะยิ่งเย็น ต้องสวมใส่เสื้อผ้าหนาๆ หน่อย นี่ก็ถือว่าสมเหตุสมผล เฉินผิงอันเปลี่ยนหน้ากากผู้เฒ่าบนใบหน้าเป็นหน้ากากของเด็กหนุ่ม แล้วก็ใช้กระบวนท่า หมัดวานรของจูเหลี่ยนทำให้ร่างโก่งงอลงเล็กน้อย ตัวจึงดูเตี้ยลงจากเดิม จากนั้น ก็เอาห่อสัมภาระสองใบที่สะพายอยู่บนร่างฝังไว้ใต้ดิน ส่วนเจี้ยนเซียนที่สะพายอยู่ด้านหลังกับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ต่างก็ถูกปลดเอาไปเก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่น
นาทีนี้ นอกจากที่ในอนาคตเฉินผิงอันอยากจะซื้อกระบี่จำลองของภูเขาชังกระบี่มาเพิ่มอีกสองเล่มแล้ว เขาก็นึกอยากซื้อวัตถุฟางชุ่นเพิ่มอีกชิ้นหนึ่งด้วย
หลังจากนี้เฉินผิงอันคิดว่าจะเดินเลียบลำคลองตีนเขาวกกลับไปที่ด้านหน้าภูเขา จากนั้นก็หาโอกาสไปดูตรงสะพานโค้งหยกขาว ไม่ต้องรีบร้อนเดินทาง
ต้นไม้ถือกำเนิดในไพร กับไม้เด่นที่กลับคืนสู่ไพร
คือหลักการสองอย่าง
ในเมื่อเฉินผิงอันพูดหลักการเหตุผลข้อนี้กับกู้ช่านตอนอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนได้ ถ้าอย่างนั้นตัวของเฉินผิงอันเองก็มีแต่จะยิ่งทำได้ราบรื่นคล่องแคล่วมากกว่า
เลือกจับคู่เดินทางกับนักพรตซุน หรือการกระทำใดๆ ก็ตามหลังจากนี้ ล้วนเป็นการลงแรง เป็นการทุ่มเทบนหลักการเหตุผลข้อนี้ทั้งสิ้น
ชุยตงซานเคยเอ่ยประโยคหนึ่งที่ชวนให้ขบคิดอย่างยิ่ง
เหตุผลเส้นหนึ่งที่มีปลายสองด้าน เมื่อถูกลูบให้เรียบ ขบให้แตก คิดจนเข้าใจแล้ว ก็เหมือนว่าหลังจากสองฝ่ายต่อสู้กันเสร็จแล้ว สุดท้ายได้หล่นลงตรงกลาง นั่นต่างหากจึงจะเป็น ‘การรู้แจ้ง’ เสี้ยวหนึ่ง
ไม่อย่างนั้นเหตุผลก็ไม่ใช่เหตุผล พอเอาไปไว้ในโลกมนุษย์ที่อยู่นอกท้องของตัวเองก็จะกลายเป็นเพียงผายลมสุนัข มีแต่เสียงคร่ำครวญทอดอาลัย
ปีนั้นระหว่างที่ทั้งสองคนเดินทางอยู่ในต้าสุยด้วยกัน อันที่จริงชุยตงซานได้เอ่ยคำพูดหยอกล้อที่มองดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจแบบนี้อยู่เยอะมาก เพียงแต่ว่าอาจเป็นเพราะตอนที่พูด ชุยตงซานมีท่าทีไม่ยี่หระกับโลกใบนี้ ทำตัวเอ้อระเหยมากเกินไป เฉินผิงอันจึงไม่ได้ฟังเข้าหูสักเท่าไร
ภายหลังมาย้อนนึกดู
ที่แท้ลูกศิษย์ก็กำลังสอนหลักการเหตุผลให้แก่อาจารย์
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่คนหนึ่งสาวเท้าเดินช้าๆ เลียบริมเส้นอาณาเขตของฟ้าดินขนาดเล็ก
ถูกปราณกระบี่ปั่นคว้านเรือนกายที่เป็นภาพมายาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็กลับมารวมตัวกันใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ฝ่ายหนึ่งไม่เหนื่อย อีกฝ่ายหนึ่งไม่สนใจ
ผู้เฒ่าย่อมรู้ดีว่าความมหัศจรรย์ของแผนการที่ตนจัดวางไว้อยู่ที่ตรงไหน
จิตใจของคนทุกคนนั้น บางทีแม้แต่เจ้าตัวน้อยพวกนั้นก็ยังไม่รู้ใจตัวเองอย่างแน่ชัด ในช่วงเวลาสำคัญที่นึกจะตายก็ตาย รวมไปถึงภายใต้โชควาสนาใหญ่ที่มีหวังว่าจะได้เป็นผู้สืบทอดของเซียน โชคใหญ่เคราะห์ใหญ่มักมาพร้อมกัน ถ้าเช่นนั้นการกระทำและคำพูดของคนเหล่านั้นก็จะทำให้เรื่องไม่คาดฝันและความเป็นไปได้หลากหลายรูปแบบทอดยาวออกไป ตัดสลับถักทอกัน ต่างฝ่ายต่างวางแผนเล่นงานกันเอง ยากจะแบ่งแยกว่าเป็นมิตรหรือศัตรู ข่มกลั้นจำศีล ฆ่าคนอย่างฮึกเหิม กุมหัววิ่งหนีเหมือนหนูข้ามถนน เจตนายากจะหยั่ง นิสัยแห่งวีรบุรุษ…
ลำพังเพียงแค่หาใครเจอก่อนก็ฆ่าคนนั้นก่อน จะฆ่าอย่างไร นั่นก็ล้วนเป็นกับแกล้มเล็กๆ จานแล้วจานเล่าที่มีรสชาติหลากหลายให้เลือกชิม
หากไม่เป็นเพราะกฎเกณฑ์ของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ยังหลงเหลืออยู่เยอะมาก ข้อหนึ่งในนั้นก็ยิ่งเหมือนบ่อสายฟ้าที่ไม่อาจข้ามผ่านไปได้ บางทีป่านนี้เขาก็คง หล่อหลอมภูเขาสายน้ำของที่แห่งนี้สำเร็จแล้ว ไม่ใช่ว่าต้องถูกบีบให้ขยับเข้าใกล้ เขาเขียวน้ำใสครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนถูกพันธนาการมือเท้าอยู่ตลอดเวลา หากเขาสามารถบัญชาการณ์ฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ได้จริงๆ คาดว่าเขาก็คงฝึกตนจน บรรลุมรรคผลที่ผสานรวมเป็นหนึ่งกับฟ้าดินได้นานแล้ว
แต่อุปสรรคขัดขวาง การระหกระเหเร่ร่อน การที่ได้แต่เลือกมดตัวน้อยขอบเขตต่ำต้อยบางส่วนมาเติมเต็มท้องตลอดหลายปีมานี้ อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ไปทั้งหมด เขาอาศัยความคิดจิตใจของผู้อื่นมาขัดเกลาจิตแห่งเต๋าของตน หลังจากผ่านมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ผลประโยชน์ที่ได้รับก็มหาศาล ยิ่งนานวันก็ยิ่งมั่นใจในคำว่าแสวงหาความจริงมากเท่านั้น
หลังจากกินอิ่มมื้อนี้ก็ต้องย้ายถิ่นฐานอีกแล้ว หลีกเลี่ยงไม่ให้สำนักที่อยู่ใกล้ อุตรกุรุทวีปพวกนั้นสืบสาวเบาะแสมาเจอ
ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางนั้นไปไม่ได้ เพราะมียอดฝีมืออยู่เยอะเกินไป ธวัลทวีปที่อยู่ทางทิศเหนือสุดนั่นคือตัวเลือกที่ไม่เลว
ส่วนแจกันสมบัติทวีปที่อยู่ทางใต้ ก่อนหน้านี้ได้ยินพวกผู้ฝึกตนพูดคุยเรื่องของนอกภูเขา เว้นเสียจากว่าจะต้องเดินทางอ้อมไปไกลแล้ว ไม่อย่างนั้นก็จำเป็นต้องผ่านอาณาเขตของขุนเขาเหนือ และหากองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือท่านนั้นเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบเมื่อไหร่ก็เท่ากับว่าเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งแล้ว
จะค่อนข้างยุ่งยาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอีกฝ่ายยังมีชาติกำเนิดเป็นเทพภูเขา ก็ยิ่งยากที่ตนจะอำพรางร่องรอยได้อย่างมิดชิด
จะให้ไปเป็นผู้ถวายงานเล็กๆ ให้กับสกุลซ่งต้าหลีก็คงไม่ดีกระมัง หากรู้ข่าว เร็วกว่านี้ แล้วแจกันสมบัติทวีปยังไม่ได้กำหนดเทพแห่งขุนเขาทั้งห้าองค์ใหม่ ไปช่วงชิงตำแหน่งองค์เทพแห่งขุนเขามาก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ไม่เลว
คงเป็นเพราะผู้เฒ่าเบื่อปราณกระบี่ที่ตามตอแยไม่หยุดนั้นจริงๆ จึงถอยกลับ เข้าไปในม่านหมอกอันไพศาลอีกครั้ง เขานั่งขัดสมาธิ ข้างกายมีนกกระเรียนเซียน ที่พับจากกระดาษบินล้อมวน
โพรงถ้ำที่มีภาพวาดฝาผนังของเทพสวรรค์ทั้งสี่ท่านซึ่งเป็นทางเข้าซากปรักแห่งนี้ อันที่จริงเป็นของภูเขาลูกอื่นที่ปริแตก แต่ถูกเขานำมาหล่อหลอมแล้วจัดวางกองไว้ด้วยกันก็เท่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว ภูเขามีชื่อเสียงที่ถูกเขานำมาหลอมไม่ได้มีแค่ลูกนี้ลูกเดียวเท่านั้น ดังนั้นคราวหน้าเมื่อสถานที่แห่งอื่นมีโชควาสนาเผยกายขึ้น บนโลก ก็จะเป็นทัศนียภาพอีกอย่างหนึ่ง หากมีผู้ฝึกตนมดตัวน้อยที่เหมาะสมเข้ามาในภูเขาแล้วมาเจอเข้าโดยบังเอิญ เขาก็จะแสร้งจัดวางตราผนึกระดับต่ำไว้หนึ่งชั้น ให้พวกผู้ฝึกตนเซียนดินไม่เกิดความสนใจมากนัก อย่างมากสุดก็เป็นคนอย่าง ซุนชิงจวนไช่เฉวี่ย ป๋ายปี้แห่งสำนักมังกรน้ำ หรือไม่ก็หวนอวิ๋นผู้นั้นที่มาเป็นแค่ ผู้ปกป้องมรรคา ไม่ใช่ว่าผู้เฒ่าไม่อาจกินก่อกำเนิดคนสองคนให้ลงไปกลิ้งในท้อง ตัวเองได้ แต่เป็นเพราะเขาต้องระวังด้วยหวังจะขับเรือได้นานหมื่นปี
ดังนั้นตัวอักษรบทกวีที่อยู่บนผนังก็ล้วนเป็นลายมือของผู้เฒ่า
เอามาใช้รับมือกับพวกคนที่คิดว่าตัวเองฉลาด
ห้าสิบกว่าคนต่อจากนั้นก็ยิ่งโง่เขลา สู้ผู้ฝึกตนสามกลุ่มแรกไม่ได้แม้แต่น้อย เขาก็เลยถอนตราผนึกทั้งหมดออกซะ ใช้วิธีการเล็กๆ น้อยๆ อีกนิดหน่อย ผลคือ พอมีคนนำ คนอื่นก็พากันตามเข้ามาเอง
จิตใจคนไม่เคยทำให้เขาประหลาดใจได้เลยสักครั้ง
คนกลุ่มแรกที่เข้ามาในจวนตระกูลเซียน เงยหน้าก็เห็นนกกระเรียนเซียนบินล้อมภูเขา นั่นก็คือความมหัศจรรย์ที่ใช้ฝีมือเล็กๆ น้อยๆ เช่นกัน
ผู้ฝึกตนบนโลกใบนี้ แต่ละคนชอบขี้ระแวง หากเขาไม่มีลูกไม้อะไรบ้างเลย ก็คงจะเจอแต่พวกที่ถ้าไม่โง่จนไม่ติดกับ ก็เป็นพวกที่กลัวตายจนไม่กล้างับเหยื่อ
พูดไปแล้วก็น่าขัน
หากคนที่เข้าภูเขามาทุกคนมีปราณเที่ยงธรรมอยู่ในตัวเอง ไม่ว่าใครก็ไม่ฆ่าใคร ต่างคนต่างเอาสมบัติของตัวเองไป เขาก็คงจนปัญญาจริงๆ อย่างมากสุดก็ได้แค่ ปิดประตูใหญ่ ปล่อยให้พวกผู้ฝึกตนเหล่านั้นแก่ตายอยู่ที่นี่
โครงกระดูกสองโครงที่นั่งเล่นหมากล้อมตรงข้ามกันในศาลา ในอดีตก็เป็นเช่นนี้
ไม่ใช่ว่าฆ่าพวกเขาไม่ได้ แต่เป็นเพราะได้ไม่คุ้มเสีย
เพราะหากเปิดเผยเรือนกายที่แท้จริงเมื่อไหร่ ปราณกระบี่เสี้ยวนั้นก็จะไม่เกรงใจกันอีก ถึงขั้นที่ว่าสามารถไล่ตามร่องรอยบุกเข้าไปฆ่าเขาถึงในหมอกขาวกว้างไพศาลนั้นได้ด้วย
ท่ามกลางกาลเวลายาวนานนับพันปีที่ผู้เฒ่าจำศีลมานี้ เขาเคยเจอกับ ความยากลำบากอย่างใหญ่หลวงมาแล้วสองครั้ง
แล้วนับประสาอะไรกับที่อาศัยขอบเขต ใช้กำลังสังหารคน เหมือนเด็กน้อยที่ใช้ไม้ตีรังมดให้แตก ช่วงแรกเริ่มสุดที่ผู้เฒ่าอยู่ต่างบ้านต่างเมือง เขาก็เคยทำมาเยอะแล้ว สุดท้ายไปเจอกับผู้ที่มีรูปปั้นตั้งบูชาอยู่ในอารามเต๋าผู้นั้น ถึงได้ต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้
ตำหนัก หอเรือน วัตถุดิบวิเศษ วิชาลับตระกูลเซียนมากมายที่อยู่บนภูเขา สำหรับผู้เฒ่าแล้ว พวกมันไม่ได้มีความหมายมากนัก ส่วนใหญ่เป็นแค่การเตรียมการไว้สำหรับในอนาคตที่รอให้ขอบเขตของตนมากพอจะปกป้องตัวเองอยู่ในทุกๆ ทวีปของใต้หล้าไพศาล แล้วได้ก่อสำนักตั้งพรรคเป็นของตัวเองเมื่อไหร่
ถึงเวลานั้นสมบัติและโชควาสนาทั้งหมดก็จะกลายมาเป็นรากฐานของ สำนักตัวเอง พวกของบางอย่างที่ระดับขั้นแย่เกินไป ผู้เฒ่าก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา หลังจากที่แหลกสลายไปแล้วก็ปล่อยให้กับคืนสู่ฟ้าดิน กลายเป็นปราณวิญญาณ ก็ใช่ว่าจะเป็นปัญหาอะไร
ความเปี่ยมล้นของปราณวิญญาณในที่แห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโชคชะตาน้ำที่เข้มข้นนั่น ไม่ใช่ภาพปรากฎการณ์อันยิ่งใหญ่ที่มีมาตั้งแต่แรกเริ่ม
ตอนนี้คนที่ผู้เฒ่าจับตามองอย่างแท้จริง ไม่ใช่เซียนดินโอสถทองสามคนนั้น แต่เป็นคนอื่นอีกสามคน
คนหนึ่งโชคดีเกินไป เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ก็จะโชคไม่ค่อยดีแล้ว
อยู่ดีๆ ก็ได้โชควาสนาสามส่วนไปจากอารามเต๋าบนยอดเขา หนึ่งคือเทวรูปไม้แกะสลักที่ผุพัง กระเบื้องแก้วมรกตที่หลอมขึ้นจากวิชาลับตระกูลเซียน และอิฐเขียว ปูพื้นที่ซุกซ่อนโชคชะตาน้ำ
และยังมีอีกสองคน คนหนึ่งเป็นคนที่เขานึกอยากจะรับเป็นลูกศิษย์อย่างที่ไม่เคยคิดทำมาก่อน ใกล้เคียงกับคำว่ามีวาสนาแห่งเต๋าบนภูเขาอยู่บ้างจริงๆ หากได้กลาย มาเป็นอาจารย์และศิษย์กัน ขอบเขตของลูกศิษย์จะทะยานพรวดพราด หนึ่งวัน พัฒนาไปพันลี้ ในอนาคตคอยช่วยวิ่งวุ่นทำงานให้เขาอยู่ภายนอก ประสานรับกับอาจารย์อย่างเขาที่อยู่ภายใน จะยิ่งทำให้เขาประหยัดแรงกายแรงใจได้มากกว่าเดิม ไม่แน่ว่าก่อกำเนิดก็ยังสามารถจับมากินได้ตามใจชอบ อาจารย์บรรลุมรรคผล ลูกศิษย์ก็เอาโอสถทอง ก่อกำเนิดและสมบัติไป ทุกคนล้วนปิติยินดีกันถ้วนหน้า เดินขึ้นที่สูงของใต้หล้าไพศาลไปพร้อมกัน ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งอาจได้สวมชุดแพรกลับคืนสู่ บ้านเกิด จนเจ้านักพรตเฒ่าจมูกโคหน้าเหม็นที่สายตามองสูงไม่เห็นหัวใครผู้นั้น ตะลึงลานไปเลยก็เป็นได้
ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นคนที่น่าสนใจที่สุด ดังนั้นจึงกลายเป็นคนที่ต้องตายที่สุด
อีกทั้งคงไม่ต้องให้เขาลงมือเองด้วย
ถึงเวลานั้นทุกคนก็ฆ่ากันจนเหลือแค่ห้าคนอยู่แล้ว จะฆ่าเพิ่มไปอีกสักหน่อยก็ถือว่า น้ำมาคลองสำเร็จ สมเหตุสมผลดีแล้ว
อันที่จริงหากคนพวกนั้นสามารถร่วมมือกันได้อย่างจริงใจ ละทิ้งอคติที่มีต่อกัน เลือกจะร่วมกันฝ่าทางตันนี้ไปให้ได้ บวกกับการดำรงอยู่ของปราณกระบี่เสี้ยวนั้น เขาคงต้องเจอกับเรื่องยุ่งยากมากกว่านี้
แล้วก็คงได้แต่ ‘แบกท้อง’ ออกเดินทางไกลต่ออีกครั้ง รอคอยให้เจ้าคนพวกนั้นค่อยๆ แก่ตาย ตบะของทั้งร่างกลายเป็นปราณวิญญาณ กลับคืนสู่ฟ้าดินของถ้ำสวรรค์ในท้องแห่งนี้
แต่มันจะเป็นไปได้หรือ?
เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
ต่อให้อีกฝ่ายจะรักใคร่ปรองดองกันดี สุดท้ายมีก่อกำเนิดที่มีความหวังว่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งปรากฎตัว ทว่าหากถึงเวลาเช่นนั้นขึ้นมาจริงๆ ก็หนีไม่พ้น แค่ว่าเขาต้องจ่ายค่าตอบแทนมากกว่าเดิมเพื่อสังหารคนผู้นั้นทิ้งไปซะ
ยามใดฟ้าดินเชื่อมต่อกัน ยามนั้นหายนะใหญ่ย่อมมาเยือน
นี่ไม่ใช่คำล้อเล่นที่เขาบอกให้เทพกระดาษสามองค์พูดออกไปอย่างส่งเดชเท่านั้น
แต่หากมีใครที่ได้รับการยอมรับจากปราณกระบี่เสี้ยวนั้น นั่นต่างหากถึงจะเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด
ปัญหาใหญ่เทียมฟ้า
ยังดีที่ดูจากตอนนี้ ยังไม่มีคนที่สวรรค์เข้าข้างเช่นนั้น
ในเมื่อตอนนี้อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ
ผู้เฒ่าจึงเปิดตำราเล่มหนึ่งที่หน้าหนังสือบางราวปีกจักจั่น เนื้อหาด้านในเขียนด้วยตัวอักษรบรรจงขนาดเล็กเท่าหัวแมลงวันที่แทบจะมองไม่เห็น ระหว่างนี้ยังแทรกภาพเหมือนของผู้ฝึกตนไว้หลายหน้า
นอกจากนี้แล้วก็เป็นนิยายเรื่องยาวเล่มหนึ่ง
ทุกบทจะเป็นการบันทึกประสบการณ์และความเป็นความตายของผู้ฝึกตน คนหนึ่งที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ มีทั้งคำบรรยายและภาพประกอบอย่างละเอียด คำพูด การกระทำของทุกคนที่อยู่ที่นี้ล้วนมีบันทึกไว้อย่างชัดเจนไม่ตกหล่นไปแม้แต่คำเดียว แต่ว่าเรื่องราวในแต่ละบทมียาวมีสั้น
มองดูเหมือนไม่ว่าใครก็ล้วนเป็นตัวละครหลัก แต่ไม่ว่าใครก็ล้วนตายได้ทั้งสิ้น
นี่ก็คือวิธีการฝึกตนที่สำคัญที่สุดนอกเหนือจากการแอบหลอมขุนเขาใหญ่ ที่มีชื่อเสียงในช่วงเวลาหลายปีจนนับไม่ถ้วนนี้ของผู้เฒ่า
ในไอหมอกขาวโพลน ภูเขาสายน้ำที่อยู่ในอาณาเขตล้วนปรากฏให้เห็นเด่นชัด
นี่ก็คือวิชาเทพมองขุนเขาแม่น้ำชั้นสูงอย่างแท้จริง
การเฝ้าพิทักษ์ฟ้าดินขนาดเล็กของอริยะในทุกวันนี้ ไม่เหมือนกับวิชาที่สามลัทธิร้อยสำนักใคร่ครวญขึ้นมาเองในอดีต ต้องเรียนรู้มาเช่นกัน
คนที่ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่อยากไปเยี่ยมเยียนมากที่สุด ไม่ใช่อริยะสามลัทธิอะไร แต่เป็นผู้ฝึกตนสำนักประพันธ์หนึ่งในร้อยสำนัก และพื้นที่มงคลกระดาษขาวที่พวกเขาเฝ้าพิทักษ์
มหามรรคาของพวกเขาต้องสามารถสร้างประโยชน์ ได้ปราศรัยได้ความรู้ ได้ขัดเกลาให้แก่กันและกันอย่างแน่นอน
บัณฑิตของใต้หล้านี้ เวลาพูดจามักจะมีจุดที่ต้องพิถีพิถันอยู่เสมอ
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่เงยหน้าขึ้นมองทิศทางของอารามเต๋าบนยอดเขาเขียวขจี แล้วก็ต้องทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง
หวนนึกถึงในปีนั้น เขาติดตามคนผู้นั้นมาฝึกตนด้วยกัน บนภูเขามีคนน้อย มีเพียงตำราที่เยอะ หนังสือที่เก็บสะสมไว้มีมากมาย เขาเองก็ถือว่าได้อ่านตำราทุกรูปแบบ มาอย่างถ้วนทั่ว
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่คนผู้นั้นเปิดปากพูดอย่างที่หาได้ยาก ถามเขาว่าอ่านหนังสือเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
คำตอบของเขาก็คือ อ่านตำราลัทธิเต๋า ในชีวิตมีความตาย ค่อนข้างเย็น อ่านพระธรรมลัทธิพุทธ ในความขมขื่นมีความสุข ค่อนข้างร้อน อ่านคัมภีร์ลัทธิขงจื๊อ เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ ค่อนข้างรำคาญ
คนผู้นั้นจึงยิ้มเอ่ยว่า บางส่วนที่อ่านเข้าหัว หากห่างไกลเกินก็ไม่แน่ว่าจะเข้าใจ คนอยู่ในภูเขาลึก เห็นภูเขาไม่เห็นคน นับว่ายังดี
เพียงแต่ไม่รอให้เขาได้อ่านหนังสือไปมากกว่า ก็เกิดอุบัติการณ์สะเทือนฟ้า ที่หนึ่งกระบี่ถูกปล่อยออกมา ปราณกระบี่ราวห่าฝนเกิดขึ้นเสียก่อน
กระบี่นั้น ต่อให้วันนี้มาหวนนึกถึงก็ยังทำให้คนรู้สึกเสียวสันหลัง อกสั่นขวัญผวาได้อยู่เลยจริงๆ
ก่อนที่คนผู้นั้นจะจากไป เพื่อแหวกผ่าม่านฟ้า ส่งตนและฟ้าดินขนาดเล็กที่เปลี่ยนเจ้าของมาหลายครั้งแห่งนี้ให้ออกไปจากใต้หล้าอันเป็นบ้านเกิดพร้อมกัน อันที่จริง ก็เป็นเพราะว่าไม่เหลือกำลังให้พันธนาการตัวเองมากกว่า จึงได้แต่ตั้งกฎให้ตัวเอง สามข้อ
กาลเวลายาวนาน กฎสามข้อที่ว่านั้นจึงไม่ใช่พันธนาการอะไรอีก ตอนนี้ก็เหลือแค่ปราณกระบี่เสี้ยวนั้นที่ยังฝืนยืนหยัดอย่างยากลำบาก
เมื่อผู้ฝึกตนของใต้หล้าแห่งนี้บุกเข้ามาที่นี่ ก็เหมือนกับหวงซือผู้ฝึกยุทธคนนั้น ที่การกระทำแต่ละอย่างกำเริบเสิบสานอวดดีมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อยทำลายเทวรูปไม้ ให้พังทลายครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจบเรื่องเขายังต้องมาซ่อมแซม เอาพวกมันกลับมาประกอบเข้าด้วยกันใหม่ ความเคารพยำเกรงน้อยนิดที่เหลือต่อคนผู้นั้นก็สลาย หายไปสิ้น
ผู้เฒ่าชำเลืองตามองไปยังทิศไกล
หากมีคนกล้าทำลายแผนการทางจิตใจของเขาในครั้งนี้ ยกตัวอย่างเช่น กล้าใช้กำลังสยบฝูงชน ถ้าอย่างนั้นก็สามารถตายก่อนได้
เขาจะได้เชือดไก่ให้ลิงดูพอดี ไอ้ลูกกระต่ายพวกนั้นจะได้ยิ่งเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้ ก็คือ สถานที่ฝึกตนของผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานยุคบรรพกาลบางท่าน
ค่าตอบแทนบางอย่างที่ต้องจ่ายไปก็หนีไม่พ้นเผาผลาญตบะภายนอกที่สะสมมาไม่กี่สิบปีเท่านั้น สำหรับบุคคลอย่างเขา เวลาคือสิ่งที่ไม่มีค่ามากที่สุด การขัดเกลา จิตแห่งเต๋าและการฝึกฝนตบะเท่านั้นถึงจะมีค่ามากที่สุด
คนที่มีโอกาสทำแบบนี้กลับไม่ทำ
คนที่ไม่มีปัญญาจะทำแบบนี้ ดันดึงดันอยากจะทำ ยกตัวอย่างเช่นท่านโหวน้อย ที่ชื่อว่าจานชิงผู้นั้น ทำตัวชวนให้ขบขันนัก ผิดหนึ่งก้าวก็ผิดไปทุกก้าว ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่มีทางมีชีวิตได้ยืนยาว อีกทั้งไม่แน่อาจจะต้องตายด้วยความเจ็บปวดเสียใจด้วย
ยกตัวอย่างเช่นตายด้วยน้ำมือของมดตัวใดตัวหนึ่ง?
หรือไม่เขาควรจะจัดการทำให้เจ้าเด็กน้อยนี่ตายด้วยน้ำมือของพี่หญิงป๋ายที่เขารักดี?
บริเวณใกล้เคียงกับสะพานโค้งหยกขาว ไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้นแล้ว แต่เปลี่ยนมาเป็นสงครามวุ่นวายทางจิตใจที่อันตรายมากยิ่งกว่า
หวนอวิ๋นเจินเหรินผู้เฒ่าสร้างยันต์ค่ายกลโอบล้อมไว้รอบเรือนกาย
ป๋ายปี้กอดฉินโบราณ ‘หิมะปลิวปราย’ ไว้ในอ้อมอก แล้วก็ไม่มีความคิดจะเก็บเงินยาเซิ่งสิบแปดเหรียญนั้นไปด้วย
ชั่วเวลานั้นลมปราณของสถานที่แห่งนี้วุ่นวายยุ่งเหยิงอย่างถึงที่สุด
แต่ก็ช่วยสกัดกั้นการลอบสังเกตการณ์ของผู้ฝึกยุทธผู้ฝึกตนทุกคนจากที่อื่นๆ ได้พอดี
หลังจากที่คนทั้งหกยืนนิ่งแล้ว ต่างคนก็ต่างใช้เสียงในใจสื่อสารกัน
หวนอวิ๋นเจินเหรินผู้เฒ่า ซุนชิงแห่งจวนไช่เฉวี่ย ป๋ายปี้แห่งสำนักมังกรน้ำ
หากดูจากตอนนี้ พวกเขาคือคนที่มีโอกาสและศักยภาพมากพอจะมีชีวิตอยู่รอดได้จนถึงท้ายที่สุด
แต่เห็นได้ชัดว่าสามคนนี้ต่างก็มีห่วงให้ต้องคอยเป็นพะวง
ซุนชิงคืออู่ชวินและลูกศิษย์คนนั้น
ป๋ายปี้คือจานชิง
หวนอวิ๋นจำเป็นต้องเป็นผู้ปกป้องมรรคาให้กับลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของ เสิ่นเจิ้นเจ๋อ
ผู้สืบทอดของสำนัก คู่รักบนมหามรรคาในอนาคต คนรู้ใจของตัวเอง
ดังนั้นสำหรับคนทั้งสามแล้ว สถานการณ์นี้คือสถานการณ์ถามใจที่ยากลำบากอย่างถึงที่สุด ไม่แพ้คนอื่นๆ ที่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ต่อเลย
ไม่ใช่ว่าหวนอวิ๋นไม่เคยคิดที่จะร่วมมือกับทุกคนต่อต้านกฎเกณฑ์ประหลาดของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้
แต่อันตรายเกินไป ง่ายที่จะพาตัวเองเข้าสู่ทางตาย
เชื่อว่าทั้งซุนชิงและป๋ายปี้เองก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
มีใจแต่ไร้กำลัง แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะมีใจหรือไม่
ป๋ายปี้เปิดปากเอ่ยก่อนว่า “หาห้าคนนั้นให้เจอก่อน”
ซุนชิงคลี่ยิ้มบางๆ “หาเจอแล้ว แล้วควรจะทำอย่างไร?”
ป๋ายปี้เปลี่ยนข้อเสนอใหม่ “ถึงอย่างไรก็น่าจะหาผู้เฒ่าชุดดำคนนั้นเจอก่อนใครกระมัง?”
ซุนชิงส่ายหน้า “คนประเภทนี้ เจ้าคิดว่าหาเจอแล้ว แล้วจะสังหารได้ตามใจชอบงั้นหรือ? ถึงเวลานั้นเจ้าป๋ายปี้จะเป็นทัพหน้า หรือจะให้ท่านโหวน้อยที่มีวิชาอภินิหารลึกล้ำท่านนี้ลงมือด้วยตัวเองดีล่ะ?”
เพียงไม่นานก็มีคนสองคนพูดคล้อยตามไปกับซุนชิง
จานชิงได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน
ท่ามกลางการเข่นฆ่าครั้งแรก ตนกลายเป็นเป้าหมายที่ฝูงชนหวังสังหาร ไม่ว่าใครก็ล้วนฮึกเหิมใส่กำลังเต็มที่เพื่อจะฆ่าเขา
กลายเป็นว่าตาเฒ่าที่การกระทำและคำพูดชวนขบขันคนหนึ่งกลับเป็นคนที่ ไม่ว่าใครก็เกิดใจกริ่งเกรง ดูจากท่าทางแล้วคงยังไม่มีใครเปิดฉากล้อมสังหารล่าเขาเป็นเหยื่อในเร็วๆ นี้
หวนอวิ๋นลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสนอความเห็นว่า “พวกเราไม่ฆ่าคน แค่เก็บสมบัติ อีกทั้งสมบัติพวกนี้ไม่ว่าใครก็ไม่เอาไปทั้งนั้น จะเอาไปวางไว้ตรงอารามเต๋าบนยอดเขานั่นชั่วคราวก่อน”
ผู้นำคนหนึ่งของผู้ฝึกตนอิสระหัวเราะหยัน “นี่ไม่ได้เรียกว่าถอดกางเกงผายลมหรือไร? สุดท้ายคนที่สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ก็มีแค่ห้าคนเท่านั้น พวกเรายกดาบฟันให้พวกเขาตายไปไวๆ หน่อย จะได้ไม่ต้องให้พวกเขาทรมานด้วย”
ผู้ฝึกยุทธสูงวัยอีกคนหนึ่งพยักหน้ารับ “ตายช้าตายเร็วก็ล้วนต้องตายเหมือนกัน ไม่สู้จัดการกับคนกลุ่มหนึ่งก่อน พวกเรามีกันหกคน ภายในเวลาห้าวัน ทุกคนก็จะสามารถปกป้องคนสี่ห้าคนไว้ได้ ตกลงไหม?”
สองคนนี้ก็คือคนที่เอ่ยคล้อยตามซุนชิง
จานชิงเอ่ย “ห้าคนมากเกินไป”
ผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นจุ๊ปากพูด “เจ้ากับเมียไม่มีคนข้างกายให้ใช้อีกแล้ว ตอนนี้ ก็เหลือคนอยู่แค่สองคน แน่นอนว่าต้องรู้สึกว่ามากไป ตามความคิดของท่านโหวน้อย หรือว่าควรจะเว้นชีวิตคนสองคนเอาไว้ ถึงจะกำลังดี?”
จานชิงสะบัดชายแขนเสื้อ แล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “พวกเจ้าคุยกันต่อไปเถอะ ถือว่าข้าไม่อยู่ตรงนี้”
เดิมทีจานชิงยังอยากเสนอความเห็นให้ทุกคนหยุดการต่อสู้กันก่อน แล้วหันไปรับมือกับห้าคนนั้น จากนั้นค่อยมาว่ากันอีกที
แต่ดูท่าจะเป็นความคิดที่เพ้อเจ้อไปเอง
คาดว่าตอนนี้ไม่ว่าเขาจานชิงจะพูดอะไรก็ล้วนเปล่าประโยชน์
ไม่พูดถึงคนห้าคนที่ได้สมบัติไปมากที่สุด
ตอนนี้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังเหลืออีกตั้งสี่สิบสองคน
ป๋ายปี้เอ่ย “ถ้าอย่างนั้นต่างฝ่ายต่างก็เหลือกันฝั่งละสามคน แต่บอกไว้ก่อนข้า ข้ากับจานชิงสามารถเลือกคนได้อีกสองคนเพื่อปกป้องชีวิตพวกเขา”
หวนอวิ๋นไม่ได้เอ่ยอะไร
เพราะนครเหนือเมฆมากันแค่สามคน
เขาหวนอวิ๋นเป็นเพียงแค่ผู้ปกป้องมรรคาในระยะเวลาสั้นๆ ถึงขั้นไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดมรรคาของเด็กสองคนนั้น ยิ่งไม่ใช่ผู้ฝึกตนของนครเหนือเมฆ
ส่วนความเป็นความตายของคนที่มากกว่านั้น เขาไม่อาจมามัวพะวงห่วงอยู่ได้จริงๆ
แม้ว่าซุนชิงจะไม่ยินดีมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนกลุ่มนี้ แต่นางก็ไม่ได้เปิดปากอะไร นอกจากนาง อู่ชวนและหลิ่วกุยเป่าลูกศิษย์ของตนแล้ว ก็ยังเหลือตำแหน่งว่างอีกหนึ่ง
และเด็กสาวก็ได้ใช้เสียงในใจขอร้องให้ซุนชิงช่วยเหลือคนคนหนึ่ง
คือคนแปลกหน้าที่รู้จักกันระหว่างที่พวกนางขึ้นเขามา
รักแรกพบก็หนีไม่พ้นเช่นนี้เอง
ซุนชิงไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่ถูกต้อง
ปีนั้นที่ตนได้พบกับบัณฑิตหนุ่มผู้นั้นก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
ขนาดตัวเองที่เป็นอาจารย์ยังเป็นแบบนี้ ก็ไม่มีคุณสมบัติจะมาพร่ำพูดถึงหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่อะไรกับลูกศิษย์
แต่จู่ๆ ก็มีคนใช้วิธีรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธเป็นฝ่ายพูดกับซุนชิงว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าคือเจ้าจวนซุนแห่งจวนไช่เฉวี่ย ข้ากับพี่น้องล้วนไม่เชื่อใจคนกลุ่มของท่านโหวน้อย ไม่สู้พวกเรามาร่วมกันมือพูดโน้มน้าวเทพเซียนผู้เฒ่าหวนอวิ๋นก่อน ให้เขาแค่นิ่งดูดายอยู่เฉยๆ ก็พอ พวกเรามาสังหารพวกจานชิงก่อน คนกลุ่มนี้คือพวกที่ไม่เคารพกฎเกณฑ์ที่สุด ป่าเถื่อนยิ่งกว่าผู้ฝึกตนอิสระเสียอีก หลังจากสังหารพวกเขาแล้ว เจ้าจวนซุนก็เป็นผู้นำของพวกเรา สุดท้ายข้ากับพี่น้องฉู่ค่อยร่วมมือกับจวนไช่เฉวี่ยของเจ้าลอบสังหารฝ่ายของหวนอวิ๋นตกลงไหม? สุดท้ายก็จะเป็นพวกเราห้าคน ที่รอดชีวิต แบบนี้จะไม่ยิ่งปลอดภัยมั่นคงหรอกหรือ?”
ซุนชิงขมวดคิ้วมุ่น
ทั้งไม่ตกลง แล้วก็ไม่ปฏิเสธ
ผู้ฝึกยุทธคนนั้นก็ไม่รีบร้อน
สำหรับเขาแล้ว หวนอวิ๋นเจินเหรินผู้เฒ่ามีมรรคกถาสูง เดิมทีคือตัวเลือกที่ดีที่สุดในการร่วมมือด้วย น่าเสียดายที่เป็นคนดีเกินไปหน่อย ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจ ทำเรื่องใหญ่ด้วยกันได้
ส่วนจานชิงกับผู้ฝึกตนหญิงโอสถทองคนนั้นต่างก็เป็นพวกชั่วร้ายที่มีความคิดสกปรกอยู่เต็มท้อง อยู่ไกลเกินกว่าจะทำให้คนวางใจได้อย่างซุนชิงแห่งจวนไช่เฉวี่ย
อีกทั้งซุนชิงที่เขามองสถานะออกก็มีตบะสูงมากพอ ฝีมือและกลอุบายของผู้ติดตามสองคนก็ยิ่งไม่เลว
ส่วนป๋ายปี้ที่มีชาติกำเนิดจากแคว้นฝูฉวีผู้นั้น ก่อนหน้านี้นางได้ป่าวประกาศตัวตนของตัวเองอย่างชัดเจนแล้ว แต่แล้วอย่างไรเล่า? ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของ ศาลบรรพจารย์สำนักมังกรน้ำร้ายกาจนักหรือ? หากเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลสำนักใหญ่กับมารดามันนั่นมีความสามารถจริงๆ ทำไมถึงไม่ฆ่าพวกเขาให้ตายไปเลยรวดเดียว?
อันที่จริงจานชิงพอจะเดาสภาพการณ์ทางฝั่งของตัวเองออกได้คร่าวๆ อยู่บ้าง
จึงยิ่งรู้สึกเสียใจมากกว่าเดิม
จนกระทั่งบัดนี้เขาถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าอะไรที่เรียกว่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล ที่แท้จริง รวมไปถึงอะไรที่เรียกว่าความไม่สมบูรณ์แบบมาแต่กำเนิดของพฤติกรรมของผู้ฝึกตนอิสระ
อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าพี่หญิงป๋ายยังต้องพลอยเดือดร้อนไปกับเขาด้วย
เพียงแต่ว่าผลลัพธ์ที่ทำให้จานชิงอารมณ์ดีก็คือ อีกเดี๋ยวจะต้องมีคนตายไป สิบแปดคน
ถึงอย่างไรทางฝั่งของเขากับพี่หญิงป๋ายก็ไม่เพียงแต่จะไม่มีคนตายอีก กลับยังจะมี ‘เค่อชิงผู้ถวายงาน’ ชั่วคราวเพิ่มขึ้นมาอีกสองคน ถ้าอย่างนั้นหากทุกครั้งที่คนในกลุ่มลดน้อยลงไปหนึ่งคน เขากับพี่หญิงป๋ายก็จะมีโอกาสชนะเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน
ริมน้ำแถบหนึ่งของสะพานโค้งหยกขาวที่อยู่ตรงข้ามกับประตูภูเขาของจวนเซียน คนหนุ่มคนหนึ่งที่ตรงไหล่เจอพายุหมัดของเกาหลิงพัดผ่าน สีหน้าซีดขาว นั่งอยู่ ริมตลิ่งของลำคลองอย่างอกสั่นขวัญผวา ชุดคลุมแพรต่วนที่อยู่บนร่างถูกพายุหมัด พัดมาโดน จึงขาดวิ่นคลายตัวออกจากกันนานแล้ว
ชายฉกรรจ์ผู้ฝึกตนอิสระและคู่บำเพ็ญเพียรของเขานั่งเคียงไหล่กันอยู่ใกล้ คนหนุ่มผู้นี้ ชายฉกรรจ์เอามือวักน้ำมาล้างหน้า พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนึ่งที แล้วจึงหันหน้ามายิ้มเอ่ยปลอบใจ “คุณชายไหว ไม่ต้องร้อนใจไป สวรรค์ไม่ไร้ทาง ให้คนเดิน ข้ารู้สึกว่าท่านเป็นคนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครอง ตลอดทางที่ติดตามท่านมานี้ ก็ไม่ใช่ว่าคลี่คลายเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีมาได้ตลอดหรอกหรือ? ตามความเห็นข้านะ โชควาสนาใหญ่ขนาดนี้ ควรมีของท่านส่วนหนึ่ง พวกเราสองสามีภรรยาแค่ขอแบ่ง น้ำแกงส่วนหนึ่งมาจากคุณชายไหวก็พอ”
คนหนุ่มพึมพำภาษาทางการของอุตรกุรุทวีปที่ไม่ถือว่าคล่องปากนัก “ที่ต่อยตีกันเล็กๆ น้อยๆ ก่อนหน้านี้ก็เป็นแค่ปีศาจขอบเขตสี่ห้าที่ออกอาละวาด หากไม่ใช่เพราะรู้จักกับพวกเจ้า คาดว่าข้าก็คงได้แต่เดินอ้อมไปเท่านั้น ไหนเลยจะกล้าไปร่วมวง ต่อสู้ด้วย เดิมทีแค่คิดจะไปศึกษาต่อที่สำนักศึกษา คิดไม่ถึงว่าจะต้องมาอยู่ในสภาพน่าสังเวชเช่นนี้ ต้องตายแน่ๆ พวกเราต้องตายกันทุกคนแน่ๆ”
สตรีออกเรือนแล้วขมวดคิ้ว
ช่างเป็นหมอนปักลายบุปผาที่น่ามองแต่ไร้ประโยชน์จริงๆ วันๆ เอาแต่พูดจาอัปมงคลส่งเดช
ก่อนหน้านี้ยังพอจะทนได้ เพราะในถ้อยคำของบัณฑิตจากต่างทวีปผู้นี้ได้เผยให้เห็นความสัมพันธ์ที่ตื้นเขินระหว่างเขากับอาจารย์ของสำนักศึกษาท่านหนึ่ง ทำให้เขาพอจะสามารถเข้าไปยืมตำราคัดตำราจากในสำนักศึกษาได้
ผู้ฝึกยุทธห้าขอบเขตล่างคนหนึ่งที่เพิ่งจะถึงคอขวดของขอบเขตสี่ ก่อนหน้านี้ ตอนที่ร่วมวงต่อสู้คงจะเลือดร้อนขึ้นหัว ตอนแรกได้กินอาคมวิชาหนึ่งของ ท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเป่ยถิงไปก็ยังไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ต่อจากนั้นยังทะเล่อทะล่าบุ่มบ่ามจนเกือบจะเข้าไปชนพายุหมัดของเกาหลิงเข้า หากไม่เป็น เพราะถูกฝ่ามือข้างหนึ่งของเด็กสาวตบออกมา ป่านนี้ก็ตายศพไม่สมบูรณ์ไปแล้ว
ไม่เสียแรงที่เป็นบัณฑิต
เด็กสาวเรือนกายอรชรผู้หนึ่งเช็ดใบหน้า ตลอดทางที่เดินมานี้นางเอียงศีรษะไปถ่มเลือดทิ้งลงพื้นอยู่หลายคำ สุดท้ายก็มานั่งลงข้างกายบัณฑิตหนุ่มอย่างเปิดเผย แล้วเอ่ยว่า “คนแซ่ไหว ต่อจากนี้เจ้าติดตามข้ามา ไม่ต้องสนอะไรอีก”
คนหนุ่มมีสีหน้าเหลอเหลา ถามเบาๆ ว่า “ยังจะมีการเข่นฆ่ากันอีกหรือ?”
เด็กสาวยิ้มกล่าว “เจ้าจะทำเหมือนตอนก่อนหน้านี้ที่อยู่บนสะพาน ต่อให้ต้องตาย ก็จะช่วยข้าให้ได้อีกงั้นหรือ?”
คนหนุ่มรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย ใครช่วยใครก็ยังไม่รู้แน่
เด็กสาวปลดกาเหล้าตรงเอวลง แล้วยื่นส่งไปให้ “ดื่มเหล้าปลุกความกล้า สักหน่อยไหม?”
คนหนุ่มส่ายหน้า ใบหน้าแดงก่ำเล็กน้อย “แม่นางหลิ่ว ข้าไม่เคยดื่มเหล้า”
เด็กสาวจึงดื่มเอง แล้วจึงเช็ดปาก แหงนหน้ามองยอดเขา ยิ้มกล่าว “ไหวเฉียน หากอยากจะพูดว่า ‘ไม่สอดคล้องกับมารยาท’ ก็พูดมาตรงๆ เถอะ”
คนหนุ่มบื้อใบ้ไร้คำพูดตอบโต้
เด็กสาวก็คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่ซุนชิงโอสถทองแห่งจวนไช่เฉวี่ยให้ความสำคัญอย่างถึงที่สุด หลิ่วกุยเป่า
คนตลอดทั้งจวนไช่เฉวี่ย แม้แต่อู่ชวินเองต่างก็รู้สึกว่าเด็กสาวต้องได้กลายเป็น เจ้าจวนคนถัดไปอย่างแน่นอน
เด็กสาวอายุยังน้อย แม้จะบอกว่าอายุเหมือนจะมากกว่าใบหน้าที่ยังคงอ่อนเยาว์อยู่สักหน่อย แต่ท่ามกลางผู้ฝึกตนบนภูเขาก็ถือว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนได้อย่างสมชื่อแล้ว ตอนนี้นางมีตบะเป็นขอบเขตถ้ำสถิต
อีกทั้งก่อนหน้าที่อู่ชวินจะนำขบวนลงมือกับเกาหลิง การเปิดปากสองครั้ง ของนางก็เป็นตัวตัดสินการดำเนินไปของสถานการณ์การสู้รบทั้งหมดโดยตรง ถึงขั้นพูดได้ว่าคนที่จานชิงและป๋ายปี้เคียดแค้นที่สุดก็คือเด็กสาวที่ขอบเขตไม่สูงผู้นี้
บัณฑิตหนุ่มที่เดินทางจากต่างทวีปมาศึกษาต่อผู้นี้ แซ่ไหวนามเฉียน ซึ่งอยู่ดีไม่ว่าดี ก็ถูกลากเข้ามาอยู่ในหายนะครั้งนี้
ถึงอย่างไรหลิ่วกุยเป่าก็ถูกใจเขามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าทางโง่งมที่พยายามแสร้งว่าตัวเองคือคนมีประสบการณ์โชกโชนในยุทธภพ ท่าทีที่แสร้งทำเป็นว่าฉลาดนั้น ดูซื่อๆ น่ารักน่าเอ็นดูมากจริงๆ
บางทีอาจเป็นเพราะตัวของหลิ่วกุยเป่าเองเป็นคนที่ฉลาดเฉลียวเกินวัย จึงทำให้ยิ่งมองก็ยิ่งชื่นชอบไหวเฉียนที่ไม่เคยเสแสร้งในเรื่องของขอบเขตและตบะ
ก็เหมือนอย่างที่อาจารย์บอก หากชอบคนคนหนึ่งแล้วยังต้องมีเหตุผล มีเหตุผลมากมาย ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ได้ชอบจริงๆ แล้ว ต้องรีบเปลี่ยนคนชอบใหม่
ทุกครั้งที่อาจารย์ดื่มเหล้าเมามายจะพูดเปิดเผยความในใจกับลูกศิษย์อย่างนาง จะคอยเล่าเรื่องราวต่างๆ ของท่านหลิว ทุกครั้งที่นางหลุดพูดเรื่องพวกนี้เมื่อไหร่ ยามอยู่ในสายตาของหลิ่วกุยเป่า อันที่จริงกลับน่ารักอย่างมาก
ทางฝั่งของอาจารย์ก็เริ่มมีการตัดสินใจบางอย่างแล้ว
หลิ่วกุยเป่ารู้สึกว่านี่น่าเบื่อยิ่งนัก
ปรึกษากันว่าควรฆ่าใคร ตอนนี้ก็คือกำลังตัดสินใจว่าจะฆ่าอย่างไร ใครเป็นคนฆ่า
คนที่ฉลาดหน่อยก็น่าจะสัมผัสได้ถึงสัญญาณนี้บ้างแล้ว
หลิ่วกุยเป่าหันหน้าไปมอง ดูท่าคนที่ฉลาดจะมีอยู่น้อย
ส่วนทางฝั่งหกคนของอาจารย์ยังคงมีปณิธานแน่วแน่ ง่วนอยู่กับการวางแผน ปัดแข้งปัดขากันเอง
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งนั่งอยู่ริมลำคลองเพียงลำพัง มือเท้าเย็นเฉียบ
เขาอยู่ห่างจากทุกคนมาช่วงระยะหนึ่ง ช่วยไม่ได้ อยู่ตัวคนเดียว ไม่ได้ตายอยู่ในศึกวุ่นวายก่อนหน้านี้ก็ถือว่าบนหลุมศพของบรรพบุรุษมีควันเขียวผุดขึ้นมาแล้ว
บนเท้าของชายฉกรรจ์สวมรองเท้าคู่หนึ่งที่ถูกใช้งานมาอย่างหนัก
ไม่รู้ว่าใครที่เป็นคนใช้เสียงในใจตะโกนขึ้นมาก่อน บอกว่าหกคนนั้นยอมรับข้อเสนอของท่านโหวน้อยจานชิง ตัดสินใจจะฆ่าผู้ฝึกตนอิสระทุกคนให้สิ้นซาก
ใครก็ไม่ค่อยกล้าแน่ใจนัก แต่ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าไม่เชื่อ
ตอนนี้นักพรตซุนคร้านจะมองภูเขาสมบัติสมชื่อของจริงนั่นแล้ว
เพราะพวกมันล้วนเป็นหายนะทั้งสิ้น
นักพรตซุนเขย่าขวดกระเบื้องเขียวที่ใช้บรรจุหยดน้ำปลายใบไผ่มา เขาดื่มอย่างประหยัด จึงยังเหลืออยู่
ก่อนหน้านี้แข็งใจมาเดินเล่นที่ต้นไผ่เขียว ผลกลับพบว่าไม่เหลือหยดน้ำสักหยด
นักพรตซุนจึงรู้สึกเลื่อมใสสหายนักพรตเฉินผู้นั้นขึ้นมานิดๆ แล้ว ผ่านไปที่ใด ไม่เหลือต้นหญ้าสักต้น
ผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นเช่นนี้ หากไปเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลอะไรนั่น นั่นต่างหากถึงจะน่าเสียดาย
ข้างกายเด็กสาวหลิ่วกุยเป่าคือไหวเฉียนบัณฑิตหนุ่มที่มีโชคดีเทียมฟ้า คนทั้งสองยืนอยู่ข้างรั้วหินริมอาณาเขตของยอดเขา ไหวเฉวียนจับตามองผู้เฒ่าชุดดำคนนั้น มาสองครั้งแล้ว เขาพูดพึมพำกับตัวเองว่า “คนผู้นี้ นับว่ามีความสามารถ”
หลิ่วกุยยเป่าหูดี จึงถามอย่างกังขาว่า “หมายความว่าอย่างไร?”
ไหวเฉียนคิดแล้วก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ความหมายตามตัวอักษร”
หลิ่วกุยเป่าอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย “ไหวเฉียน เจ้ายังมีเรื่องที่ปิดบังไว้ใช่หรือไม่?”
ไหวเฉียนกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “มี ที่บ้านเกิดของข้า ข้ามีสัญญาหมั้นหมาย ที่ผู้อาวุโสในตระกูลตกลงกันไว้ตอนเป็นเด็ก อันที่จริงข้าเดินทางไกลครั้งนี้ก็เพื่อ หนีงานแต่งงาน”
หลี่กุยเป่ายิ้มกล่าว “สตรีผู้นั้นเป็นอย่างไร?”
ไหวเฉียนตอบอย่างจนใจ “เคยพบหน้ากันแค่ครั้งเดียว ความทรงจำพร่าเลือน รู้สึกแค่ว่านิสัยนางไม่เลว แต่ว่าเป็นสตรีที่เรียนวรยุทธคนหนึ่ง ดุดันกว่าข้าเสียอีก เพื่อหนีการแต่งงาน นางก็ได้หนีไปที่ทวีปเกราะทองอยู่นานแล้ว”
หลี่กุยเป่าร้องอ้อหนึ่งที
ไหวเฉียนรู้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง สายตาของเขาล่อกแล่กไปมา “แม่นางหลิ่ว จะบอกกับเจ้าอีกเรื่องหนึ่งไหม?”
หลี่กุยเป่าหัวเราะร่า “ไม่ต้องพูดแล้ว ชอบข้าล่ะสิ จะกลัวอะไร ข้าเองก็ชอบเจ้าเหมือนกัน”
ไหวเฉียนบื้อใบ้พูดไม่ออก
หลังจากที่พูดคุยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ทำให้หลิ่วกุยเป่าคิดมากพวกนี้ไปแล้ว หลิ่วกุยเป่าก็เริ่มใคร่ครวญถึงทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์ต่อจากนี้
บางครั้งสมองก็ใช้ได้ผลดีกว่าหมัด
ท่านโหวน้อยแคว้นเป่ยถิงผู้นั้นไม่ค่อยมีสมองสักเท่าไร หมัดก็ยิ่งไม่ได้เรื่อง
ตอนที่เด็กสาวข้างกายใช้สมาธิแน่วแน่ในการใคร่ครวญเรื่องราว ไหวเฉียน มองใบหน้าด้านข้างของนางแล้วก็คลี่ยิ้ม ฟุบตัวลงบนราวรั้ว ทอดสายตามองทิศไกล
อันที่จริงเรื่องที่เขาอยากพูดนั้น คือต้องการบอกนางว่า อะไรที่เรียกว่ามีโชค แต่ไร้วาสนา
เพราะคนทั้งสองต่างกันเกินไป ฐานะไม่เหมาะสม คุยกันไม่รู้เรื่อง การที่สามารถคุยกันได้ในวันนี้เป็นเพราะเขายอมคล้อยตามนางก็เท่านั้น
ทั้งสองฝ่ายต่างกันมากเกินไปจริงๆ
ตบะเป็นเช่นนี้ แผนการก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ส่วนชาติตระกูลนั้นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ดังนั้นอันที่จริงเขารู้สึกสงสารแม่นางโง่คนนี้มาโดยตลอด
เกี่ยวกับโชควาสนาเล็กใหญ่ของที่แห่งนี้ เขาน่าจะเป็นคนที่รู้ชัดเจนดีที่สุด
นั่นคือปราณกระบี่เสี้ยวนั้น
และเขามาที่นี่ก็เพราะมัน
ระหว่างนี้ก็ถือโอกาสเที่ยวเล่น หยอกเย้าคนข้างกายไปด้วย
แต่ปราณกระบี่เสี้ยวนี้เป็นความน่ายินดีที่ไม่คาดฝันอย่างแท้จริง
เดิมทีเขาคิดว่าจะเดินทางไปเยือนทิศเหนืออีกครั้ง เพื่อไปพบเซียนกระบี่ใหญ่ ป๋ายฉางแล้วค่อยกลับคืนสู่บ้านเกิด
หากไม่ผิดไปจากที่คาด เซียนกระบี่อันดับหนึ่งของทิศเหนือท่านนี้ก็น่าจะ ออกจากบ้านมาต้อนรับตน
พอไหวเฉียนคิดถึงบ้านเกิดก็ยิ่งรู้สึกเบื่อหน่าย
มองดูมดกลุ่มนี้เหมือนหุ่นเชิดที่ถูกชักใย เดินอาดๆ อวดเก่ง อีกห้าวันต่อจากนี้ เห็นมากเกินไปก็รู้สึกรำคาญ
ส่วนคนที่อยู่เบื้องหลังผู้นั้น ในเมื่อถูกปราณกระบี่เสี้ยวนั้นกำราบเอาไว้ ขอบเขตจะสูงได้สักเท่าไรกันเชียว?
ต่อให้ไม่เอาเบื้องหลังของตัวเองออกมาก็สามารถนั่งลงปรึกษาดีๆ กับคนเบื้องหลังผู้นั้นได้ เขาได้ปราณกระบี่เสี้ยวนั้นไป อีกฝ่ายไม่ต้องถูกสยบกำราบไปนานเป็นร้อยเป็นพันปี มีแต่ได้กับได้กันทั้งสองฝ่าย
หันหน้าไปมองเด็กสาวโง่เขลาที่ยังขมวดคิ้วครุ่นคิดเรื่องราว
ไหวเฉียนที่ฟุบตัวอยู่บนราวรั้วก็หันหน้ามายิ้มถาม “แม่นางหลิ่ว อยากเป็น เจ้าจวนไช่เฉวี่ยตั้งแต่วันนี้เลยไหม?”
หลิ่วกุยเป่าถอยหลังกรูดออกไปในเสี้ยววินาที “เจ้าเป็นใครกันแน่?!”
ไหวเฉียนยื่นนิ้วข้างหนึ่งมาวางไว้บนริมฝีปากแล้วก็ทำเสียงชู่ว์
เขาใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ก่อนจะมาเยือนอุตรกุรุทวีป บรรพจารย์เคยเตือนข้าแล้วว่าเซียนกระบี่ในอุตรกุรุทวีปของพวกเขาไม่ค่อยมีเหตุผลกันสักเท่าไร ชอบสังหาร ผู้มีพรสวรรค์ของทวีปอื่นมากเป็นพิเศษ ดังนั้นข้าจะต้องเก็บหางเจียมเนื้อเจียมตัว”
สายตาของหลิ่วกุยเป่าเย็นชา ความคิดแล่นเร็วจี๋ แต่กลับค้นพบว่าไม่ว่าอย่างไรตนก็ไม่สามารถใช้ริ้วคลื่นเสียงในใจสื่อสารกับซุนชิงผู้เป็นอาจารย์ได้
ไหวเฉียนถอนหายใจหนึ่งที “แม่นางหลิ่ว หากเจ้ายังเป็นแบบนี้ พวกเราคงเป็นเพื่อนกันไม่ได้แล้วนะ”
คนต่างถิ่นที่มีลักษณะเป็นบัณฑิตผู้นี้สะบัดชายแขนเสื้อ แหงนหน้ามองไปยังกลางอากาศ “ไม่มัวเสียเวลาอยู่กับพวกเจ้าแล้ว ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ของพวกองค์เทพยันต์กระดาษขาวนี่ ข้าเห็นจนเอียนแล้ว ข้าจะต้องสอนท่านเทพเทวาของที่แห่งนี้ สักหน่อย รวมไปถึงเจินเหรินผู้เฒ่าหวนนั่นด้วยว่า อะไรที่เรียกว่ายันต์ของจริง”
เห็นเพียงว่าในมือทั้งสองของเขาต่างก็มีวัตถุอยู่ชิ้นหนึ่ง หนึ่งในนั้นคือ เม็ดเสื้อเกราะสีทองของสำนักการทหาร ซึ่งก็คือเสื้อเกราะเทพเจ้าควันธูปที่ระดับขั้น ที่สูงที่สุด
และเสื้อเกราะนี้ก็คือวัตถุโบราณเก่าแก่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในบรรดาเสื้อเกราะควันธูป
หลังจากที่ไหวเฉียนสวมไว้บนร่างแล้ว
ในมืออีกข้างหนึ่งของเขาก็คีบยันต์สีเขียวไว้สองแผ่น แล้วโยนออกไปเบาๆ หนึ่งแผ่น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มัดแผ่นเล็กส่งไปนครเฟิงตู ขับไล่เทพแห่งสายฟ้า บังคับสายฟ้า ให้ฟ้าผ่าลงมาสู่ฟ้าดิน”
เห็นเพียงว่าองค์เทพเกราะทองสูงสองจั้งองค์หนึ่งปรากฏตัวขึ้นท่ามกลาง ความว่างเปล่า ทั่วร่างมีสายฟ้าสีขาวหิมะสว่างเจิดจ้าตัดสลับถักทอไปทั่วเรือนกาย เมื่อเท้าทั้งสองข้างของเขาสัมผัสพื้น ภูเขาก็สั่นสะเทือน แล้วก็ไปชักนำโชคชะตาภูเขาแม่น้ำของภูเขาทั้งลูก
หลังจากโยนยันต์แผ่นที่สองออกไป
บุรุษพกกระบี่อาภรณ์สีขาวปลิวไสวคนหนึ่งก็มาลอยตัวอยู่กลางอากาศ
เห็นเพียงว่าสีหน้าของเขาเฉยเมย ทั่วปราณกระบี่ทั่วร่างกลับกระเพื่อมสะเทือนไม่หยุด ปราณวิญญาณฟ้าดินที่ล้อมวนอยู่ในบริเวณรอบด้านล้วนพากันระเบิด เป็นผุยผง
สุดท้ายในฝ่ามือของไหวเฉียนถือประคองลูกกลมฉลุลายสีทองลูกหนึ่ง
ด้านในมีแสงกระบี่หลายเส้นบินฉวัดเฉวียดดุจสายฟ้าแลบแปลบปลาบ พอพุ่งชนกับลูกกลมฉลุฉลายแล้วก็ก่อให้เกิดสะเก็ดไฟแลบเป็นระลอก
มาเยือนอุตรกุรทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆคราวนี้ก็อยากจะอาศัยความสามารถของตัวเขาเอง ทำให้ผู้ติดตามหุ่นเชิดที่สามารถเลื่อนระดับขั้นได้นี้ได้กินกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่โอสถทองสักหลายๆ เล่ม แล้วค่อยอาศัยโชคชะตาวิถีกระบี่สองสามส่วนของอุตรกุรุทวีปมาฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิด
ไหวเฉียนแกว่งลูกกลมสีทองในมือเบาๆ จากนั้นก็โยนไปให้กับบุรุษวัยกลางคน “ค่อยๆ กิน”
ลูกกลมผลุบหายเข้าไปในช่องโพรงของหุ่นเชิดผู้ฝึกกระบี่
ปราณกระบี่ที่ตรวจตราฟ้าดินแห่งนี้มานานหลายปีจนนับไม่ถ้วนเสี้ยวนั้นกลับหยุดลอยนิ่ง ราวกับกำลังหลุบตาลงต่ำมองไหวเฉียน
ไหวเฉียนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องเป็นฝ่ายเลือกข้าด้วยตัวเอง”
จากนั้นไหวเฉียนก็มองไปยังมุมหนึ่งของม่านฟ้า “ปราณปีศาจที่พิเศษเช่นนี้ แล้วยังชอบหลอมภูเขากินเป็นอาหาร ใต้หล้าไพศาลของพวกเขาไม่มีสัตว์เดรัจฉานประเภทนี้หรอกนะ”
ฟ้าดินเงียบสงัด
ทุกคนอึ้งงันกันไปหมด
ไหวเฉียนหรี่ตาลง “จะปรึกษากับเจ้าหน่อย หลังจากเปิดฉากสังหารไปแล้ว หากข้าฆ่าเจ้าไม่ได้ เจ้าเองก็ไม่มีปัญญาทำอะไรข้า ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็กลับทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไปพร้อมกับข้า รับรองว่าเจ้าจะมีอนาคตที่ยาวไกลอย่างแน่นอน”
ทะเลเมฆลดตัวลงต่ำ
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่คนหนึ่งนั่งอยู่บนริมขอบของทะเลเมฆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไอ้หนูเจ้านี่ปากดีจริงๆ”
โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง
ภาพวาดภูเขาสายน้ำก็คลี่ออกปกคลุมไปทั้งฟ้าดิน แค่เงยหน้าขึ้น ไม่ว่าใครก็ล้วนมองเห็น
ในเมื่ออีกฝ่ายมีความจริงใจเช่นนี้ ผู้เฒ่าท่านนี้ก็คิดจะนำความจริงใจส่วนหนึ่งออกมาเช่นกัน
ไหวเฉียนพยักหน้ารับ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ช่วยไม่ได้ บรรพบุรุษของข้าคือ หนึ่งในสิบคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง”
ในความเป็นจริงแล้ว เทียนซือน้อยผู้สูงศักดิ์หวงจื่อคนหนึ่งของภูเขามังกรพยัคฆ์ และยังมีหลิวโยวโจวของธวัลทวีปผู้นั้น ต่างก็เป็นเพื่อนรักของเขา
ผู้เฒ่าที่อยู่บนทะเลเมฆเงียบงันไป
ไหวเฉียนเอ่ยต่อว่า “พูดความจริงที่ไม่น่าฟังสักประโยค ต่อให้ข้ายืดคอออกไป ให้สัตว์เดรัจฉานอย่างเจ้าลงมือ แต่เจ้ากล้าฆ่าข้าหรือ?”
ไหวเฉียนเพิ่มระดับน้ำเสียง พูดกลั้วหัวเราะว่า “เจ้ากล้าหรือ?!”
ผู้เฒ่ายังคงไม่เอ่ยคำใด
ไหวเฉียนกวาดตามองไปรอบด้าน “เศษสวะพวกนี้ เจ้าจะเป็นคนฆ่า หรือจะให้ข้าสังหาร? หากเจ้าเป็นคนลงมือ สามสี่คนในนั้น ข้าจะพาไปด้วย”
เฉินผิงอันที่อยู่ในภูเขาลึกก็ตกตะลึงไปกับภาพเหตุการณ์นี้เช่นกัน
ก่อนหน้านี้ม่านน้ำหายไป เฉินผิงอันก็รีบเปลี่ยนมาสวมหน้ากากใบหน้าของเด็กหนุ่ม รวมไปถึงชุดสีเขียว
เวลานี้เขารู้สึกเหมือนได้เปิดโลกกว้าง
ยังทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ?
มองคนหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิมผู้นั้น
หรือว่านี่ก็ถือว่าเป็นสาแก่ใจได้ด้วย?
เฉินผิงอันหัวเราะ
คนแบบนี้หากต้องมาประสบพบเจอกับสภาพการณ์อย่างตน ต่อให้อีกฝ่าย มีขอบเขตสูงกว่านี้หนึ่งระดับ แต่ก็ควรจะตายไปกี่รอบแล้ว?
ก็แค่ว่าหลักการเหตุผลไม่ได้พูดกันเช่นนี้
มีการกระทำและคำพูดนี้ อีกทั้งยังสามารถยืนพูดแบบนี้อยู่ตรงนี้ได้ ย่อมมีส่วน ให้นำมาใช้ประโยชน์ได้ รวมไปถึงจจุดที่เหนือกว่าคนอื่นซึ่งคนอื่นๆ ไม่รู้
เพียงแต่ว่าในเวลานี้ เขาเฉินผิงอันได้เห็นแค่ด้านหนึ่งในนั้นของอีกฝ่าย
หากเปลี่ยนเฉินผิงอันไปเป็นคนผู้นั้น จะต้องไม่มีทางเดินมาถึงก้าวนี้ของอีกฝ่ายแน่นอน
แต่เฉินผิงอันรู้สึกว่าด้วยนิสัยเช่นนี้ของอีกฝ่าย และความอดทนกลอุบายที่ไม่ถือว่ามีไม่มากนี้ หากโชคไม่ดีก็คงไม่อาจมีชีวิตรอดเดินออกไปจากอุตรกุรุทวีปได้จริงๆ
จะว่าไปแล้วก็คงเป็นเพราะยังไม่เจอคนอย่างจีเยว่เซียนกระบี่ของภูเขา วานรคำรามกระมัง
แต่ในเมื่อคนผู้นั้นเลือกจะเปิดเผยตัวตน ไม่เก็บซ่อนอำพรางอีกต่อไป ก็ต้องเป็นผลลัพธ์ที่ผ่านการชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียมาแล้วอย่างแน่นอน
ดูจากในตอนนี้ ถือว่าเป็นบุคคลที่ร้ายกาจพอสมควรแล้ว
ไม่เสียแรงที่เป็นคนจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางซึ่งเดินทางมาสังหาร ผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปโดยเฉพาะ
เฉินผิงอันยังไม่ถึงขั้นเบื่อหน่ายจนต้องสาปแช่งให้เขาสะดุดหัวทิ่มอยู่ในอุตรกุรุทวีป
เส้นทางสายใหญ่มีมากมาย ต่างคนต่างเดินขึ้นเขากันไป
มองซ้ายมองขวา ย่อมมีสูงมีต่ำอย่างเลี่ยงไม่ได้
ก็เหมือนเฉาสือผู้นั้น เขาเองก็อยู่บนเส้นทางวิถีวรยุทธเส้นเดียวกับเฉินผิงอันเช่นกัน เฉินผิงอันก็แค่ต้องก้มหน้าก้มตาไล่ตามให้ทันไปเท่านั้น
หรือว่าจะให้เขาทำหุ่นฟางคอยแช่งให้อีกฝ่ายไม่ต้องตายดี?
เฉินผิงอันลูบคลำปลายคาง รู้สึกว่าการคิดเหลวไหลเพ้อเจ้อในเวลานี้เป็นสิ่งที่ ไม่สมควรเท่าไร แต่ก็เป็นเรื่องที่สนุกมากเหมือนกัน
สำหรับเฉาสือผู้นั้น สามครั้งที่ประลองกันบนหัวกำแพงของกำแพงเมือง ปราณกระบี่ ความเสียดายเพียงอย่างเดียวของเฉินผิงอัน ไม่ใช่ว่าไม่ได้ทิ้งถ้อยคำอาฆาตอะไรไว้ หรือเป็นการที่ต้องเสียหน้าต่อหน้าเซียนกระบี่ผู้เฒ่าเฉินและเทพีแห่งการต่อสู้ผู้นั้น
แต่เป็นเพราะเจ้าเฉาสือคนนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็กวนโอ้ยน่าเตะ ไม่เพียงแต่หน้าตาหล่อเหลา ยังดูเหมือนว่าจะวางตัววางเฉยผ่อนคลายได้ตลอดเวลา ในสายตาไม่เคยเห็นใคร สิ่งที่สายตามองไปเห็นมีเพียงยอดสูงสุดของวิถีวรยุทธในตำนานเท่านั้น
อันที่จริงนี่น่าโมโหอย่างมาก แล้วตอนนี้เขาดันยังเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ นี่ก็ยิ่ง น่าโมโหเข้าไปใหญ่
ค่อยเป็นค่อยไปแล้วกัน
แต่ภาพเหตุการณ์ต่อมานั่นต่างหากที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ อย่างแท้จริง
เห็นเพียงว่านักพรตซุนที่เดิมทีตกใจจนสะดุดล้มไปนั่งกองอยู่กับพื้นพลันลุกพรวดขึ้นยืน
จากนั้น ‘นักพรตซุน’ คนนี้ก็ล้มลงไปบนพื้นอีกครั้ง
แต่กลับมีนักพรตซุนอีกคนหนึ่งที่เรือนกายล่องลอยดั่งภาพมายา ราวกับเป็น จิตหยินที่ออกจากร่างมาเดินทางไกล
นักพรตซุนยื่นมือไปคว้า บังคับปราณกระบี่ที่หลงเหลืออยู่ซึ่งพยายามจะเผ่นหนีไปเสี้ยวนั้นมากุมไว้ในมือเบาๆ
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่อยู่บนทะเลเมฆเห็นท่าไม่ดี ต่อให้จะไม่รู้ว่าเหตุใดนักพรตซุน ถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ แต่เขาก็ทำแค่ม้วนหอบเอาทะเลเมฆมาปิดบังเรือนกาย คิดจะเผ่นหนีไป
นักพรตซุนพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ปีศาจตัวน้อยๆ ก็กล้าหลอมภูเขาลูกนี้ พยายามจะแตะต้องอารามเต๋า”
นักพรตซุนชำเลืองตามองซากปรักคล้ายรู้สึกเสียใจ ก่อนจะมองไปยังมุมหนึ่งของทะเลเมฆที่อยู่ห่างไปไกล “คิดว่ามาถึงใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ก็สามารถนอนหลับได้ อย่างสบายใจแล้วรึ? เห็นว่าสายของข้าผู้เป็นนักพรตควันธูปเบาบาง ยกกระบี่ไม่ขึ้น เลยคิดจะรังแกกันงั้นรึ?”
นักพรตซุนกำฝ่ามือแน่น บีบให้ปราณกระบี่เสี้ยวนั้นแหลกสลายไปโดยตรง
จากนั้นก็ประกบสองนิ้ว ปาดไปด้านหน้าเบาๆ
ทะเลเมฆผ่าออกเป็นสองท่อน
เรือนกายเล็กเท่าเมล็ดงาเรือนกายหนึ่งก็ถูกแบ่งเป็นสอง
ไหวเฉียนกำลังคิดจะเปิดปาก
นักพรตซุนกลับหันหน้ามายิ้มกล่าวว่า “อายุน้อยๆ ก็กล้าพูดจาใหญ่โตเช่นนี้ ไม่กลัวลิ้นจะขาดบ้างหรือ? หากมีตะเกียงแห่งชะตาชีวิตอยู่ในศาลบรรพจารย์ หลังจบเรื่องก็บอกกับบรรพบุรุษตระกูลเจ้าว่าให้มาแก้แค้นข้าผู้เป็นนักพรตที่ใต้หล้ามืดสลัวก็แล้วกัน”
ไหวเฉียนยังอยากจะบอกชื่อแซ่ของบรรพบุรุษตัวเอง
นักพรตซุนกลับใช้นิ้วทั้งสองปาดลงอีกครั้ง สังหารบัณฑิตหนุ่มคนนั้นให้ตายคาที่ รวมถึงหุ่นเชิดผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดนั้นด้วย ตอนที่ร่างหล่นลงพื้ก็กลายเป็นยันต์ที่ถูก ตัดออกเป็นสองแผ่น
สุดท้ายนักพรตซุนก้มหน้าลงมองซากปรักอารามเต๋า
รูปปั้นที่ถูกตั้งบูชาอยู่ในอารามเต๋าของยอดเขาก็คือศิษย์น้องของเขา
ล้วนเป็นเสาคานหลักของสายเซียนกระบี่ในใต้หล้ามืดสลัวเหมือนกับเขา
น่าเสียดายที่ลูกศิษย์ผู้มีพรสวรรค์เดินขึ้นเขาเร็วเกินไป จึงตายเร็ว
จะกล่าวโทษป๋ายอวี้จิงแห่งนั้นไม่ได้ ได้แต่โทษที่เขามัวอืดอาด ทำให้นักพรต อย่างเขาที่เป็นศิษย์พี่ไม่สามารถแก้แค้นแทนศิษย์น้องได้
วิธีตายในโลกใบนี้มีนับพันนับหมื่น มีเพียงการรนหาที่ตายเองเท่านั้นที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด
บนยอดเขาที่ห่างไปไกล เฉินผิงอันหยิบเอาเศษซากของเทวรูปไม้ทั้งหมดออกมาแล้ว
นักพรตซุนหัวเราะ “ไอ้หนู เจ้ายังมีสัมผัสเฉียบไวอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้ปล่อยให้ช่วงเวลาที่ข้าผู้เป็นนักพรตเหม่อลอยต้องเสียเปล่า ถือว่าเป็นการช่วยตัวเองแล้ว”
นักพรตซุนยื่นมือคว้า จับเอาร่างตี๋หยวนเฟิงที่อยู่ในห้องหนังสือของถ้ำกลางป่า และจานชิงท่านโหวน้อย รวมไปถึงวกเด็กสาวหลิ่วกุยเป่าสามคนของจวนไช่เฉวี่ย จับมาวางไว้ด้านหน้าตัวเอง”
นักพรตซุนพูดด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “พวกเจ้าสามคนยินดีติดตามข้าผู้เป็นนักพรตไปที่ใต้หล้ามืดสลัวหรือไม่”
การออกเดินทางของเขาในครั้งนี้ บุญกุศลที่สั่งสมไว้มากพอให้เขาพาคนไปด้วยสามคน
ตอนที่รอคอยคำตอบจากคนทั้งสาม ก็เหมือนว่าแม่น้ำแห่งกาลเวลาจะหยุดไหล
มีเพียงนักพรตซุนที่ลูบหนวดหัวเราะ พูดกับคนหนุ่มที่ปลอดภัยแล้วผู้นั้นว่า “สหายเฉิน เห็นแก่ธูปสามดอก เศษซากเทวรูปไม้ เจ้าก็เก็บไว้เถอะ”
เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ “นักพรตซุน อันที่จริงต้องหกดอก”
นักพรตซุนหัวเราะฮ่าๆ โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เหมือนว่าโบกให้อะไรบางอย่างมารวมตัวกันแล้วก็สลายหายไป “สหายเฉิน เก็บตกของผุๆ พังๆ ของเจ้าต่อไปเถอะ มากพอให้กระบี่เล่มนั้นของเจ้ากินอิ่มหนำแล้ว”
และบนยอดเขาที่ห่างไปไกลหลายร้อยลี้ลูกนั้น เบื้องหน้าของเฉินผิงอันก็มี เศษซากปราณกระบี่กลุ่มหนึ่งโผล่ขึ้นมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!