ระหว่างทางที่เดินทางอยู่บนเรือข้ามฟากก็ได้พบเจอกับเรื่องประหลาด อีกมากมาย
มีผู้ฝึกตนหญิงสวมชุดสีสันสดใสกลุ่มหนึ่งเล่นโล้ชิงช้าอยู่ใต้ทะเลเมฆแห่งหนึ่ง เสียงหัวเราะพูดคุยสนุกสนานของพวกนางชักนำให้เกิดเสียงโห่ฮาของผู้ฝึกตนที่เป็นบุรุษมากมายบนเรือ เดิมทีก็ควรจะเดินสวนไหล่ผ่านกันไป ชีวิตนี้ไม่ได้เจอกันอีก คำพูดคำจาของพวกเขาจึงหยาบโลนไร้ความยำเกรง
ผลคือกลางทะเลเมฆค่อยๆ มีศีรษะใหญ่ยักษ์ของเจียวหลงโผล่ออกมา ทำเอาพวกผู้ฝึกตนหลายคนที่อยู่บนเรือตกใจอึ้งงันเป็นไก่ไม้ วัตถุลี้ลับที่ไม่ใช่เจียวหลงจริงๆ ตนนั้นใช้ศีรษะกระทบหางเรือข้ามฟากเบาๆ เรือข้ามฟากยิ่งพุ่งทะยานไปดุจลูกธนู
เฉินผิงอันจดจำภาพนี้เอาไว้ พอกลับเข้าไปในห้องพักก็ทำเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่งต่ออีกครั้ง
นับตั้งแต่ที่เดินทางจากภูเขาห้อยหัวมาถึงใบถงทวีป แยกทางกับลู่ไถ เฉินผิงอัน ก็พลัดหลงเข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัว พาเผยเฉียนและสี่คนในม้วนภาพออกมาจากอารามเต๋าแห่งนั้นด้วยกัน เฉินผิงอันก็ได้เริ่มเขียนบันทึกภูเขาสายน้ำที่ตัวเอง พบเจอมา อาศัยความทรงจำเขียนบันทึกนับตั้งแต่ออกจากภูเขาห้อยหัว ได้รู้จักกับ ลู่ไถ ไปถึงใบถงทวีป เดินทางผ่านถนนเรียกสวรรค์ของสำนักฝูจี จนกระทั่งเขียนมาถึงเหตุการณ์เจียวหลงในทะเลเมฆผลักเรือข้ามฟากของอุตรกุรุทวีปในวันนี้
กระดาษบนโต๊ะแบ่งออกเป็นสองฉบับ
ถูกเฉินผิงอันแบ่งออกเป็นฉบับร่างและฉบับคัดสำเนา ฉบับร่างมีการขีดฆ่าและแก้ไข ทบทวนตรวจทานซ้ำไปซ้ำมา เหมือนจดหมายฉบับหนึ่งที่ไม่ได้ส่งออกไป จดหมายฉบับนี้ เขียนไปเขียนมาก็เริ่มยาวไปสักหน่อย
ส่วนฉบับที่คัดเป็นสำเนาต่อจากนั้นกลับสะอาดสะอ้าน เป็นระเบียบเรียบร้อย เหมือนกับการบ้านฉบับหนึ่งที่นักเรียนส่งให้อาจารย์
บางครั้งหากไม่มีเรื่องที่จะให้เขียนจริงๆ ไม่ได้เห็นภูเขาสายน้ำหรือเรื่องราวของผู้คนที่น่าสนใจมานานเกินไป ถ้าไม่เขียนเลย บางครั้งก็จะเขียนลงไปหนึ่งประโยคว่า “วันนี้ไม่มีเรื่องอะไร สงบสุขปลอดภัย”
พื้นที่มงคลดอกบัว ฝูงนกแย่งชิงกันโผบิน ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมสังหาร ออกกระบี่ใส่บุคคลอันดับหนึ่งในพื้นที่ โรงเตี๊ยมริมชายแดนราชวงศ์ต้าเฉวียน เจอกับวิญญาณชนคนหนึ่งที่สามารถแต่งกลอนไม่มีสัมผัสคล้องจอง จิตหยินออกเดินทางไกล ได้พบเจอกับเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอที่อารมณ์ร้อน ได้ไปเยือนจวนปี้โหยว พูดเรื่องลำดับขั้นตอนกับเจ้าแม่เทพวารีที่เลื่อมใสในความรู้ของอาจารย์ผู้เฒ่า พักอาศัยอยู่ในร้านยาฮุยเฉินของนครมังกรเฒ่า พาเด็กหญิงตัวดำเป็นถ่านที่ยิ่งนาน ก็ยิ่งรู้ความไปเยือนแคว้นชิงหลวนที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป วันที่ห้าเดือนห้าของปีนั้น ได้รับของขวัญวันเกิดชิ้นแรกในชีวิต…
มีเพียงช่วงเวลาหลายปีที่ไปเป็นนักบัญชีอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนเท่านั้นที่เฉินผิงอันไม่จับพู่กันเขียนเรื่องใดๆ
สุดท้ายตอนที่ได้กลับไปยังตรอกหนีผิงอันเป็นบ้านเกิด จุดตะเกียงเฝ้าคืนอยู่ในบ้านบรรพบุรุษเพียงลำพัง เฉินผิงอันคิดไปคิดมาก็เขียนลงไปแค่ประโยคเดียวว่า
“หลายปีมานี้ค่อนข้างยากลำบาก แต่ก็ล้วนผ่านมาได้ อันที่จริงก็ดูเหมือนว่า จะยังดีอยู่”
เฉินผิงอันเขียนเสร็จหนึ่งฉบับก็คัดลอกสำเนาอีกหนึ่งฉบับ กระดาษสองปึกใหญ่ ที่วางแยกกันไว้บนโต๊ะล้วนเขียนด้วยตัวอักษรแบบบรรจงขนาดเล็กที่เป็นระเบียบ คาดว่าเมื่อตัวอักษรพวกนี้อยู่ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญ
หากไม่พูดถึงเนื้อหา ตัวอักษรยาวเหยียดสามแสนกว่าตัวนี้ อ่านไปอ่านมาก็คงเห็นแค่เพียงความเคร่งขรึมคร่ำครึ อยู่ในกรอบในระเบียบเท่านั้น
เฉินผิงอันเก็บพู่กันและหมึก ยื่นสองมือออกมากดลงบนกระดาษสองปึกที่เหมือนตำราสองเล่มซึ่งยังไม่ได้เข้ารูปเล่มให้เรียบร้อย แล้วลูบลงไปเบาๆ
ตอนนี้ยังไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลก็เลยปล่อยจิตให้เหม่อลอยไปไกล พอคืนสติกลับมา เฉินผิงอันก็เอากระดาษสองปึกเก็บเข้าไปในวัตถุฟางชุ่น เริ่มลุกขึ้นฝึกหมัด ยังคงเป็นการฝึกสามท่ารวมเป็นหนึ่ง
ตอนนี้การฝึกหมัดของผู้ฝึกยุทธและการฝึกหลอมลมปราณต่างก็ใช้เวลากันคนละครึ่ง ช่วงเวลาระหว่างนี้การวาดยันต์ถือเป็นการฆ่าเวลาที่ใหญ่ที่สุด
หลังจากที่เฉินผิงอันซื้อรายงานภูเขาสายน้ำสองฉบับมาแล้ว เขาก็เดินทางไปถึงท่าเรือตระกูลเซียนของถ้ำสวรรค์วังมังกรอย่างสงบสุขตลอดทาง
ถ้ำสวรรค์วังมังกรก็เหมือนกับถ้ำสวรรค์หลีจูบ้านเกิด ล้วนเป็นหนึ่งในสามสิบหกอันดับของถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก มันคือกิจการบรรพบุรุษของสำนักมังกรน้ำ ถูกบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาของสำนักมังกรน้ำค้นพบและยึดครองเป็นคนแรก เพียงแต่ว่าพื้นที่แห่งนี้ทำให้คนอิจฉาตาร้อนมากเกินไป หลังจากเกิดมรสุม สองครั้งใหญ่ที่มีทั้งภัยภายนอกและภัยภายในรุมเร้า สำนักมังกรน้ำก็ลากเอาหน่วย ฉงเสวียนของราชวงศ์ต้าหยวนและทะเลสาบกระบี่ฝูผิงมาเข้าร่วมด้วย ถึงได้หยัดยืนอยู่บนเส้นแห่งความปลอดภัยที่มีการรับประกันรายได้ไม่ว่าจะเจอกับหายนะใดๆ ก็ตาม
เนื่องจากสำนักมังกรน้ำที่สร้างติดกับน้ำเป็นผู้จัดวางตราผนึกภูเขาสายน้ำ ผู้โดยสารที่อยู่บนเรือข้ามฟากจึงมองไม่เห็นเค้าโครงจวนเซียนของสำนักมังกรน้ำ เห็นเพียงว่าในอาณาเขตร้อยลี้รอบริมตลิ่งของลำน้ำใหญ่มีไอหมอกขมุกขมัว
รอจนเรือข้ามฝากลอยทะลุค่ายกลใหญ่เมฆหมอกที่มีปราณน้ำเข้มข้นตลอดทั้ง สี่ฤดูกาล กระทั่งค่อยๆ จอดลงบนท่าเรือแล้ว ถึงได้มองเห็นสิ่งปลูกสร้างที่ทอดยาวติดต่อกันอย่างยิ่งใหญ่อลังการของสำนักมังกรน้ำ
เฉินผิงอันค้นพบว่านี่เป็นครั้งแรกที่พอเรือจอดเทียบท่าแล้ว ผู้โดยสารเรือข้ามฟากของอุตรกุรุทวีปต่างก็พากันเดินเท้าลงจากเรือไปอย่างว่าง่าย
นึกถึงการกระทำอันกำเริบเสิบสานของฮ่องเต้สกุลหลูในแต่ละยุคสมัยของราชวงศ์ต้าหยวน เรื่องเล่าที่สืบทอดต่อกันมาของสกุลหยางตำหนักนภากาศหน่วย ฉงเสวียน บวกกับเซียนกระบี่หญิงลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิงที่เฉินผิงอันเคยพบเจอกับตัวเองมาก่อน นี่จึงไม่ทำให้เขาแปลกใจได้สักเท่าไร
ท่าเรือมู่หนูของสำนักมังกรน้ำปลูกต้นส้มตระกูลเซียนไว้กว่าพันต้น ล้วนเป็นบรรพบุรุษบุกเบิกภูเขาของสำนักมังกรน้ำที่ลงมือปลูกด้วยตัวเอง ก่อนจะลาจากโลกนี้ไปบรรพบุรุษท่านนี้เคยกล่าวไว้ว่า ไม่เอาไหนมาทั้งชีวิต มีเพียงต้นไม้พันต้นที่ท่าเรือ มู่หนูมอบให้แก่ลูกหลาน
เฉินผิงอันสวมชุดเขียวสะพายเจี้ยนเซียน ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ในมือ ถือไม้เท้าเดินป่าไผ่เขียว เดินเนิบช้าอยู่บนท่าเรือขนาดใหญ่ที่มีซุ้มประตูหิน บนซุ้มประตูหินแกะสลักตัวอักษรที่อริยะบางท่านของสำนักซูเจียเขียนด้วยลายมือตัวเองว่า ‘ถ้ำสวรรค์ใต้น้ำ’ ลำน้ำใหญ่ไหลผ่านสถานที่แห่งนี้ ผิวน้ำของที่นี่กว้างขวางอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ กว้างมากถึงสามร้อยลี้ และถ้ำสวรรค์วังมังกรก็อยู่ด้านใต้น้ำของลำน้ำใหญ่ คล้ายคลึงกับวังมังกรของทะเลสาบชางอวิ๋น แต่ไม่จำเป็นต้องให้ ผู้ฝึกตนใช้วิชาเลี่ยงน้ำเพื่อเดินทางท่องเที่ยวอยู่ที่นี่ เพราะสำนักมังกรน้ำได้ ทุ่มกำลังคนและทรัพยากรจำนวนมากสร้างสะพานใต้น้ำเส้นหนึ่งขึ้นมา แขกผู้มาเยือนสามารถลงน้ำมาท่องเที่ยวถ้ำสวรรค์วังมังกร แน่นอนว่าต้องจ่ายค่าผ่านทางก้อนหนึ่งเป็นเงินสิบเหรียญเกล็ดหิมะ
เมื่อจ่ายเงินแล้ว หากคิดจะข้ามสะพานยาวเดินเข้าไปในถ้ำสวรรค์วังมังกรที่ เล่าลือกันว่าในยุคบรรพกาลเคยมีเจียวหลงพันตัวขดตัวนอนอยู่เพื่อรอรับคำสั่งออกไปโปรยพิรุณด้านนอก ก็ยังต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่งเป็นเงินร้อนน้อย หนึ่งเหรียญ
นี่เห็นได้ชัดว่าจะฆ่าหมูแล้ว
พอเฉินผิงอันคิดถึงชุดคลุมอาคมเถาเถี่ยร้อยตาที่ได้มาจากร่างของหยางหนิงซิ่งแห่งตำหนักนภากาศก็รู้สึกว่า ให้จ่ายเงินเทพเซียนพวกนี้ก็ใช่ว่าจะรับไม่ได้เสียเลย
หุบเขาผีร้ายของชายหาดโครงกระดูก หยางหนิงซิ่ง ‘เทียนจวินน้อย’ แห่งสกุลหยางตำหนักนภากาศ
ริมชายแดนแคว้นอู่หลิง สุยจิ่งเฉิงลูกศิษย์ผู้สืบทอดของลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง
ซากปรักจวนเซียนแห่งนั้น ป๋ายปี้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ สำนักมังกรน้ำที่อยู่ข้างกายจานชิงท่านโหวน้อย
ดูเหมือนว่าบนเส้นทางของการฝึกตน เส้นสายความสัมพันธ์เหล่านั้นก็คือ เชือกที่ขมวดพันกันยุ่งเหยิงก้อนหนึ่ง ปมน้อยใหญ่ทุกปมก็คือการพบเจอกันใน แต่ละครั้ง ทำให้คนเกิดความเข้าใจผิดนึกว่าแท้จริงแล้วฟ้าดินก็ใหญ่เพียงแค่นี้เอง
ท่าเรือมู่หนูมีผู้คนสัญจรแออัด เสียงดังจอแจจนไม่เหมือนท่าเรือตระกูลเซียน กลับเหมือนถนนที่เจริญรุ่งเรืองในเมืองของโลกมนุษย์มากกว่า เพราะวันที่สิบและวันที่สิบห้าของเดือนสิบต่อจากนี้ ล้วนเป็นวันสำคัญทั้งสองวัน ด้านล่างภูเขาเป็นเช่นนี้ บนภูเขาก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
หนึ่งคือหนึ่งในเทพกาลสามผีใหญ่ อีกหนึ่งคือวันสุ่ยกวานขจัดเภทภัย
และสำนักมังกรน้ำก็จะจัดพิธีบวงสรวงของลัทธิเต๋าสองครั้งซึ่งเปิดให้คนนอก เข้ามาเยี่ยมชมได้ที่ถ้ำสวรรค์วังมังกร พิธีการเก่าแก่โบราณ ได้รับความเลื่อมใสบูชาจากผู้คนมากมาย ผู้ฝึกตนของสำนักมังกรน้ำจะจัดพิธีกรรมยันต์ทอง ยันต์หยก ยันต์เหลืองขึ้นมาตามช่วงเวลาที่แตกต่างกันเพื่อช่วยขอพรปัดเป่าเภทภัยให้แก่ ปวงประชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานวันเกิดของสุ่ยกวานซึ่งจะจัดขึ้นเป็นพิธีที่สอง เนื่องจากองค์เทพเก่าแก่ท่านนี้คอยดูแลเทพเซียนสายน้ำมากมาย เป็นเหตุให้นี่เป็นวันที่สำนักมังกรน้ำให้ความสำคัญมากที่สุดมาโดยตลอด
นอกจากซุ้มป้ายใหญ่โตโอฬารแล้ว เฉินผิงอันยังสังเกตเห็นว่ารูปแบบการสร้างของสถานที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับซากปรักจวนเซียน ด้านหลังซุ้มป้ายก็คือ ศิลาแกะสลักหลายสิบแผ่น หรือว่าสถานที่ที่ใกล้ชิดกับน้ำซึ่งอยู่ใกล้กับลำน้ำใหญ่ ล้วนต้องมีข้อพิถีพิถันเช่นนี้? เฉินผิงอันจึงไล่มองไปทีละแผ่น คนที่เลือกจะทำแบบเขามีไม่น้อย และยังมีลูกศิษย์สวมชุดลัทธิขงจื๊อที่สะพายหีบตำราออกทัศนาจรหลายคนซึ่งดูเหมือนว่าจะมีชาติกำเนิดมาจากสำนักศึกษา กำลังก้มหน้าก้มตาคัดตัวอักษรที่อยู่บนป้ายศิลาอยู่ด้านข้าง เฉินผิงอันอ่าน ‘บันทึกกลุ่มปราชญ์สร้างสะพานหิน’ ของปี รัชสมัยไท่ผิง และ ‘หอมังกรโยนป้ายน้ำ’ ที่อริยะสำนักซูเจียของอุตรกุรุทวีปเป็นผู้เขียน เพราะป้ายศิลาสองจุดนี้อธิบายถึงขั้นตอนการสร้างสะพานหินกลางน้ำและ ต้นกำเนิดการขุดค้นถ้ำสวรรค์วังมังกรไว้อย่างละเอียด
กลุ่มคนต่อแถวยาวเหยียด เฉินผิงอันต้องรอเกือบครึ่งชั่วยามถึงจะได้เห็นหน้า ผู้ฝึกตนของสำนักมังกรน้ำที่รับหน้าที่เก็บเงินค่าผ่านทาง
จ่ายเงินเกล็ดหิมะไปสิบเหรียญ ได้รับตราประทับที่สลักมาจากไม้โบราณส้มเซียนแผ่นหนึ่งมา แผ่นไม้ลักษณะเก่าแก่เรียบง่าย ทว่าตัวอักษรที่สลักไว้เขียนได้งดงามอย่างถึงที่สุด ผู้ฝึกตนสำนักมังกรน้ำบอกว่าหากไปถึงอีกฝั่งหนึ่งของสะพานแล้ว แค่มอบมันให้กับผู้ฝึกตนสำนักมังกรน้ำที่อยู่ตรงนั้นก็พอ
นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้เห็นตราประทับที่ทำมาจากไม้ของจวนตระกูลเซียน บนภูเขา ตัวอักษรที่สลักคือคำว่า ‘พักผ่อน’ ส่วนริมขอบสลักคำว่า ‘ชื่อเสียงเกียรติยศขึ้นอยู่กับตัวเอง เป็นตายขึ้นอยู่กับชะตาฟ้าลิขิต’
เฉินผิงอันจึงถามว่าตราประทับไม้พวกนี้มีขายหรือไม่
ผู้ฝึกตนหญิงสำนักมังกรน้ำยิ้มกล่าวว่าตราประทับไม้ส้มที่ใช้ผ่านสะพานถือเป็นของแทนตัวของสำนัก ไม่ขาย ตราประทับทุกชิ้นจะมีการจดบันทึกเอาไว้ ทว่าด้านในถ้ำสวรรค์วังมังกรมีร้านค้าที่ขายตราประทับรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะ ไม่เพียงแต่มี ตราประทับไม้ส้มตระกูลเซียนซึ่งมีเฉพาะสำนักมังกรน้ำเท่านั้น ยังมีตราประทับหิน อีกสารพัดรูปแบบ เมื่อไปถึงด้านในของถ้ำสวรรค์วังมังกรแล้ว ลูกค้าต้องสามารถ ซื้อสิ่งของที่ถูกตาต้องใจได้แน่นอน
เฉินผิงอันกำลังจะถามว่าตราประทับไม้ในถ้ำสวรรค์วังมังกรราคาเท่าไร
แต่กลับถูกคนด้านหลังสบถด่าไม่หยุด บอกให้เขารีบไสหัวไป อย่ามามัวเกี้ยวพาเทพธิดาอยู่ที่นี่
เฉินผิงอันจึงได้แต่หันกลับไปเอ่ยขออภัยหนึ่งคำ แล้วถึงได้รีบออกจากแถว เปิดทางให้คนที่อยู่ด้านหลัง เฉินผิงอันรู้สึกเสียดายเล็กน้อย สิ่งของน้อยใหญ่ในร้านตระกูลเซียน ไม่เพียงแต่ราคาแพง อีกทั้งยิ่งเป็นภูเขาของสำนักใหญ่ หากคิดจะเก็บตกของดีมาได้ก็ยิ่งยาก กลับกลายเป็นท่าเรือขนาดไม่ใหญ่อย่างหอชิงฝู ร้านผ้าห่อบุญท่าเรือหางผึ้งที่ยังพอจะมีโอกาสอยู่บ้าง
ตัวของสะพานยาวที่ผิวสะพานกว้างอย่างถึงที่สุดนั้นมีประสิทธิผลในการหลีกเลี่ยงน้ำ สะพานโค้งยังคงเป็นสะพานโค้ง เพียงแต่ว่าสะพานใต้น้ำแห่งนี้ เหมือนห้อยกลับด้าน ว่ากันว่าวงโค้งตรงกลางสะพานได้แนบติดกับพื้นน้ำของ ลำน้ำใหญ่แล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องเป็นความมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง
ขึ้นมาบนสะพาน ก็เท่ากับว่าเดินเข้ามาในลำน้ำใหญ่แล้ว
ผิวสะพานกว้างมาก บนสะพานมีรถม้าเคลื่อนขบวนเป็นสาย เมื่อเทียบกับถนนเชื้อพระวงศ์ในเมืองหลวงของราชสำนักโลกมนุษย์ยังเกินจริงยิ่งกว่า
นี่จึงแสดงให้เห็นว่า ลำพังเพียงแค่ค่าผ่านทางที่สำนักมังกรน้ำรับมาในทุกๆ วัน ก็เป็นดั่งเงินทองที่ไหลมาเทมาแล้ว
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นมองไป น้ำของลำน้ำใหญ่ที่ปรากฏให้เห็นเป็นสีใสกระจ่าง ไม่ได้ขุ่นมัวเหมือนน้ำของแม่น้ำลำคลองทั่วไป
สะพานยาวสามร้อยกว่าลี้ ดังนั้นทั้งสองฝั่งของสะพานหินจึงสามารถเช่ารถม้าโดยสารไปมาได้
บนลำน้ำใหญ่และอีกฝั่งหนึ่งของสะพานหิน ทางสำนักมังกรน้ำยังมีอาคาร สิ่งปลูกสร้างที่ทอดยาวต่อเนื่องออกไปอีก ทั้งสองฝั่งต่างก็มีบุรพาจารย์ขอบเขต หยกดิบคนหนึ่งเฝ้าพิทักษ์ ด้วยเหตุนี้จึงถูกแบ่งออกเป็นสำนักเหนือและสำนักใต้ ตามความเคยชินของผู้คน ศาลบรรพจารย์สร้างไว้ทางทิศเหนือของลำน้ำใหญ่ และอดีตของศาลบรรพจารย์สำนักมังกรน้ำก็คือหนึ่งในสามศาลยุคบรรพกาลของ ลำน้ำจี้ตู๋ ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมาลูกศิษย์ของสำนักเหนือจึงมักจะมองตัวเองสูงกว่า มาโดยตลอด ระหว่างพวกเขากับสหายร่วมสำนักที่อยู่ในสำนักใต้จึงมีเส้นแบ่งที่มอง ไม่เห็นอยู่เส้นหนึ่ง
เฉินผิงอันพอจะเข้าใจได้ ขอแค่ไม่เกี่ยวพันกับปัญหาเรื่องความถูกต้องและความไม่ถูกต้อง ความรู้สึกทั่วไปของคนเช่นนี้ เฉินผิงอันคิดว่าเป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้
วันหน้าหากหลูป๋ายเซี่ยงไปแตกกิ่งก้านสาขาอยู่นอกภูเขาลั่วพั่ว ไม่แน่ว่าก็อาจเป็นเช่นนี้เหมือนกัน หากลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหลูป๋ายเซี่ยงมาที่ศาลบรรพจารย์ บนภูเขาลั่วพั่วก็อาจจะรู้สึกไม่ค่อยมีอิสระเสรีนัก
ควรจะเตรียมการล่วงหน้าอย่างไร เป็นการทดสอบขนบธรรมเนียมของภูเขา ลูกหนึ่งได้มากที่สุด
เปิดตำราอ่านเรื่องราวของคนในยุคโบราณ ระหว่างทางพิศดูคนอื่นก็คือ พิศดูตัวเอง นี่คงจะเป็นจุดประสงค์ของคำว่าอ่านตำราหมื่นเล่ม เดินทางหมื่นลี้กระมัง
หลายๆ เรื่อง หากเอาแต่คิดอยู่คนเดียว พยายามใคร่ครวญแค่ไหนก็ใคร่ครวญ หาความรู้ที่แท้จริงออกมาไม่ได้ ต่อให้อนุมานหลักการเหตุผลออกมาได้ ก็ย่อม เลื่อนลอยอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก็เหมือนอย่างที่ชุยตงซานกล่าว หลักการเหตุผลที่ดี เมื่อเอาออกจากท้องไปวางไว้บนเส้นทางใหญ่ของวิถีทางโลกที่มีแต่ความโลภและปรารถนาในวัตถุ ก็จะกลายเป็นว่าไม่อาจทานรับการโจมตี จะไม่เสียดายได้อย่างไร
เพียงแต่ว่าบางคนผ่านประสบการณ์มาหลายเรื่อง แต่กลับไม่สามารถเรียบเรียงเส้นสายออกมาได้สักเส้นสองเส้น หลังจากปล่อยตัวตามกระแสไปแล้ว ก็มักจะใช้เรื่องราวทางโลกมาปลอบใจตัวเอง ถึงแม้จะเป็นการกระทำที่จนใจ แต่ถึงอย่างไร ก็ยังน่าเสียดายอยู่ดี
ผลได้ผลเสียทั้งหมดนี้ เฉินผิงอันยังต้องค่อยๆ ทำไปช้าๆ ใช้เวลาครุ่นคิดช้าๆ
ต่อให้ทัศนียภาพของสะพานยาวกลางลำน้ำใหญ่จะมหัศจรรย์มากแค่ไหน แต่พอเดินไปได้หลายสิบลี้ อันที่จริงก็ไม่แปลกตาอีกต่อไป
ต่อให้บริเวณโดยรอบของสะพานยาวกลางน้ำจะมีปลาประหลาดที่เหมือน แสงตะเกียงว่ายวน และมีวัตถุหยินภายใต้บังคับบัญชาของพ่อปู่ลำคลองเทพวารีแหวกว่ายอยู่มากมาย แต่มองไปแล้วก็ยังทำให้คนหมดความสนใจได้อยู่ดี
เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าในระยะทางช่วงสิบกว่าลี้แรก แทบทุกคนล้วนเต็มไปด้วยอารมณ์ตื่นเต้นฮึกเหิม เหลียวซ้ายแลขวา พิงราวรั้วทอดสายตามองไปไกล ส่งเสียงฮือฮาดังสนั่น แต่จากนั้นก็จะเริ่มเงียบเสียงลงไป มีเพียงเสียงของรถม้าที่ขับเคลื่อนผ่านเท่านั้น
ความสนใจที่ใหญ่ที่สุดของเฉินผิงอันก็คือจดจำตัวอักษรที่สลักตรงกลางและ ตรงริมขอบของตราประทับไม้ที่พวกนักท่องเที่ยวแขวนไว้ตรงเอว
หากตราประทับไม้ส้มจวนเซียนที่ขายอยู่ในถ้ำสวรรค์วังมังกรแพงเกินไป ตนก็จะได้เลือกหาไม้ดีๆ มาแกะสลักเอง
เดินออกมาได้ร้อยกว่าลี้ บนสะพานก็มีร้านน้ำชาเหลาสุราสิบกว่าร้านตั้งเรียงราย คล้ายคลึงกับศาลาริมทางตามเส้นทางขุนเขาสายน้ำ
เฉินผิงอันเลือกเหลาสุราสูงห้าชั้นแห่งหนึ่ง สั่งเหล้าหมักตระกูลเซียนที่มีเฉพาะในสำนักมังกรน้ำอย่างเหล้าซานเกิงมาหนึ่งกา กับแกล้มสองจาน จากนั้นก็เพิ่มเงินถึงได้สามารถนั่งตรงตำแหน่งติดหน้าต่างที่การมองเห็นเปิดกว้าง ชั้นแรกมีผู้คนนั่งกันเต็มมองดูแออัด เฉินผิงอันเพิ่งจะนั่งลง เพียงไม่นานลูกจ้างร้านก็พาลูกค้ากลุ่มหนึ่งเดินมายิ้มถามว่าขอร่วมโต๊ะด้วยได้หรือไม่ หากลูกค้าตกลง ทางเหลาสุราจะมอบเหล้า ซานเกิงให้หนึ่งถ้วย เฉินผิงอันมองคนกลุ่มนั้น ชายสองหญิงหนึ่ง มองดูแล้วไม่เหมือนพวกคนดุร้ายอะไร ชายหนุ่มหญิงสาวทั้งไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวและไม่ใช่ผู้ฝึกตน เหมือนลูกหลานชนชั้นสูงมากกว่า ข้างกายพวกเขามีผู้ติดตามเฒ่าคนหนึ่ง น่าจะเป็น ผู้ฝึกยุทธขอบเขตหก เฉินผิงอันจึงตอบรับ คุณชายท่านนั้นผงกศีรษะส่งยิ้มให้ เฉินผิงอันจึงยกถ้วยเหล้าขึ้น ถือเป็นการแสดงมารยาทกลับคืน
อันที่จริงหากคิดจะชมทัศนียภาพที่งดงามกว่านี้ด้วยการเปลี่ยนขึ้นไปนั่งชั้นที่ สูงกว่า ก็ง่ายมาก แค่เพิ่มเงิน
เพียงแต่ว่าเดินทางมาร้อยกว่าลี้ เห็นทัศนียภาพใต้น้ำของลำน้ำใหญ่มาจนทั่วแล้ว เงินที่ควักเพิ่มก็เป็นแค่เงินที่เสียเปล่าเท่านั้น
แน่นอนว่าคนที่ไม่เห็นเงินเทพเซียนเป็นเงินก็มีอยู่เยอะมาก
เฉินผิงอันดื่มเหล้า รับฟังพวกลูกค้าในร้านพูดคุยกันเงียบๆ
กระดาษไม่อาจห่อไฟ ต่อให้ฮ่องเต้ราชวงศ์ต้าจ้วนจะออกคำสั่งห้ามอย่างเข้มงวดไม่ให้แพร่งพรายผลลัพธ์ของการประมือครั้งนั้น แต่คนมากสายตาก็มาก จึงเริ่มมี ข่าวลือเล็กๆ แพร่ออกมา สุดท้ายก็มาปรากฎอยู่บนรายงานภูเขาสายน้ำ ดังนั้นเรื่องที่จีเยว่เซียนกระบี่แห่งภูเขาวานรคำรามกับกู้โย่วผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบแลกชีวิต สังหารกันและกันจึงกลายมาเป็นเรื่องพูดคุยบนโต๊ะสุราของผู้ฝึกตนบนภูเขาใน ทุกวันนี้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งคุยกันอย่างดุเดือด เมื่อเทียบกับเซียนกระบี่ใหญ่ทางทิศเหนือ ที่รบตายอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก่อนหน้านี้ที่พอข่าวแพร่ไปทั้งอุตรกุรุทวีปแล้ว ก็มีเพียงการเซ่นกระบี่ของจีเยว่ที่เป็นเซียนกระบี่ร่วมทวีปเท่านั้นที่ยังได้รับ ความเคารพนับถือ แต่การที่เขากายดับมรรคาสลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องตาย ด้วยน้ำมือของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่ง ถ้อยคำที่ใช้บนรายงานภูเขาสายน้ำจึงไม่มีการให้เกียรติผู้ตาย ไม่มีการให้ความเคารพผู้ยิ่งใหญ่แม้แต่น้อย ยามที่ทุกคนพูดคุยกัน จึงยิ่งกำเริบเสิบสานไร้ความยำเกรง
คำวิจารณ์ของผู้คนในเหลาสุราแห่งนี้แทบจะเทไปด้านเดียว
ต่อให้จะเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็ยังเลือกจะชื่นชมกู้โย่วปรมาจารย์ใหญ่ท่านนั้น ยามที่พูดถึงจีเยว่เซียนกระบี่กลับมีแต่คำเหน็บแนมและความแค้นเคือง
กู้โย่วมีวิชาหมัดเลิศล้ำ แต่กลับไม่มีลูกศิษย์เป็นผู้สืบทอด
ทว่าจีเยว่ยังมีภูเขาวานรคำรามที่มีบารมีไม่ธรรมดา ลูกศิษย์ในสำนักก็มีอยู่ ไม่น้อย เพียงแต่ว่าภูเขาวานรคำรามค่อนข้างจะชักหน้าไม่ถึงหลัง ทุกวันนี้จึงไม่มี ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนเฝ้าพิทักษ์ภูเขาอยู่แล้ว
ตอนที่จีเยว่ยังมีชีวิตอยู่ ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินคนเดียวก็เพียงพอแล้ว
พอจีเยว่ตายไป นามของเซียนกระบี่ บารมีตอนที่ยังมีชีวิตอยู่กลับเหมือนกลาย มาเป็นโทษทัณฑ์ที่ไม่อาจให้อภัย
มีคนเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “เซียนกระบี่ใหญ่กับผายลมสุนัขอะไร ไม่กล้าไปสังหารปีศาจที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วยังต้องมาถูกผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งใช้ชีวิต แลกชีวิตสังหาร ช่างขายหน้าผู้ฝึกกระบี่อย่างเราๆ เสียจริง!”
มีคนพยักหน้าเอ่ยคล้อยตามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า “ต่างก็บอกว่าช่วงเวลาที่ จีเยว่ได้เลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหรินยังสั้นไปนัก แต่ตามความเห็นข้า อันที่จริง เขาคงไม่ใช่ขอบเขตเซียนเหรินอะไรหรอก แต่เป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ จีเยว่น่าจะแต่งตั้งตัวเองเป็นเซียนกระบี่ใหญ่มากกว่ากระมัง”
มีคนทอดถอนใจในความโชคร้าย และเจ็บใจในความไม่เอาไหนของเขาด้วยการกล่าวว่า “แม้จะบอกว่าฝั่งตรงข้ามคือหนึ่งในสี่ผู้ฝึกยุทธใหญ่ขอบเขตปลายทางของทวีปเรา แต่จีเยว่ผู้นี้ก็ตายน่าสมเพชเกินไปหน่อย ถึงขนาดถูกกู้โย่วผู้นั้นกักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตแล้วใช้หนึ่งหมัดต่อยทั้งร่างให้เละเทะ สองหมัดต่อยโอสถทองก่อกำเนิดแหลกสลาย สามหมัดก็เอาชีวิตได้แล้ว เซียนกระบี่แห่งภูเขาวานรคำรามผู้ยิ่งใหญ่ เหตุใดถึงไม่ระวังตัวขนาดนี้ เขาไม่ได้ไปกำแพงเมืองปราณกระบี่นั่นแหละดีแล้ว ไม่อย่างนั้นจะยิ่งขายหน้าเข้าไปอีก จะทำให้พวกผู้ฝึกกระบี่ในพื้นที่เข้าใจผิดคิดว่าเซียนกระบี่ของอุตรกุรุทวีปล้วนเป็นหมอนปักลายบุปผาอย่างจีเยว่”
ครู่หนึ่งต่อมาก็มีพวกผู้ฝึกตนที่มีความเกี่ยวข้องและมีความสัมพันธ์ควันธูปกับภูเขาวานรคำรามออกเสียงอย่างโกรธเคือง “ตบะของเซียนกระบี่จีเป็นอย่างไร คนทั้งทวีปล้วนรับรู้ เหตุใดพอเซียนกระบี่จีรบตายไปแล้วต้องมาพูดจาเสียดสี เหน็บแนมกันอย่างนี้ด้วย ก่อนหน้านี้มัวไปทำอะไรกันอยู่ล่ะ?!”
มีคนจุ๊ปากพูด “โอ้โหแหะ ในที่สุดก็มีสหายของภูเขาวานรคำรามลุกขึ้นมา พูดทวงความยุติธรรมให้พวกเขาแล้ว”
มีคนจงใจ ‘กดเสียงลงต่ำ’ พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “พวกเราต้องระวังไว้สักหน่อย จีเยว่เซียนกระบี่ใหญ่แห่งภูเขาวานรคำรามมีสหายกว้างขวาง พวกเราพูดจาไม่ถูก หูคนเขาแบบนี้ เดี๋ยวก็ถูกคนเขาซ้อมจนต้องยอมปิดปากแต่โดยดี กฎเกณฑ์ของ ภูเขาวานรคำรามนั้นยิ่งใหญ่ ออกกระบี่ก็ยิ่งรวดเร็ว น่ากลัวจะตายอยู่แล้ว”
เพียงไม่นานก็มีคนร้องรับขึ้นมาเสียงหยัน “ทำไม จะให้พูดจาประจบ เซียนกระบี่ใหญ่จีได้อย่างเดียว ไม่ยอมให้มดตัวเล็กตัวน้อยอย่างพวกเราพูดจา ตามมโนธรรมในใจบ้างเลยหรือ? ผู้ฝึกกระบี่ภูเขาวานรคำรามนี่ช่างมีมาดใหญ่โต เสียจริง มีบารมีอำนาจยิ่งนัก ไม่ยอมให้คนนอกพูดจาเป็นธรรมสักคำครึ่งคำเลย ใช่ไหม?”
เฉินผิงอันดื่มเหล้า มองออกไปยังกระแสน้ำไหลนอกหอเรือน คล้ายผู้เฒ่าบื้อใบ้ ที่พันปีก็ไม่เคยเอ่ยคำใดคนหนึ่ง
แล้วก็มีคนตบโต๊ะลุกพรวดขึ้นยืน “ใต้หล้าไหนเลยจะมีเซียนกระบี่ที่ไม่ได้ความเช่นนี้ พวกเจ้าพูดจาไม่ใช้สมองกันบ้างเลยหรือ? หรือว่ารู้สึกว่าหากเปลี่ยนเป็นตัวเองที่ไปเข่นฆ่ากับผู้อาวุโสกู้โย่วแล้วจะเอาชนะได้?”
มีคนรีบแย้งขึ้นมาทันใด คนผู้นั้นตบจอกสุราลงกับโต๊ะหนักๆ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ฮ่าๆ ทำไม ข้าผู้อาวุโสไม่ใช่เซียนกระบี่ก็พูดจาตามหลักเหตุผลไม่ได้ งั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นอุตรกุรุทวีปของพวกเรา นอกจากคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มนั้นแล้ว คนอื่นๆ ก็ต้องหุบปากกันหมดเลยน่ะสิ? ใต้หล้ามีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือไร? หรือว่าเหตุผลก็ต้องมีร้านเหมือนกัน ภูเขาวานรคำรามเป็นคนเปิด บนโลกมีอยู่แค่ ร้านเดียว?”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม
ดูเหมือนว่าจะมีเหตุผลอยู่มากจริงๆ
ผู้ฝึกตนจำนวนน้อยที่รู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมแทนจีเยว่และภูเขาวานรคำรามอัดอั้นตันใจกันอย่างถึงที่สุด
คนที่มากกว่านั้นกลับรู้สึกสาแก่ใจ หลายคนก็ยิ่งตะโกนสั่งเหล้าซานเกิงหลายกา มาจากทางร้าน และยังมีคนที่พอดื่มสุราอย่างเต็มคราบแล้วก็โยนกาเหล้าที่ยังไม่ได้เปิดผนึกดินออกไปนอกหอสุรา บอกว่าน่าเสียดายที่ชีวิตนี้ไม่เคยได้พบเจอผู้อาวุโสกู้คนนั้น ไม่ได้ชมศึกตายริมแม่น้ำอวี้ซีกับตาตัวเอง ต่อให้ตนจะเป็นผู้ฝึกตนที่ดูแคลน ผู้ฝึกยุทธล่างภูเขา แต่ก็ควรจะเซ่นสุรากาหนึ่งให้แก่ผู้ฝึกยุทธกู้โย่วอยู่ไกลๆ
คนสามคนที่นั่งร่วมโต๊ะกับเฉินผิงอันเพียงแค่กระซิบกระซาบกันเบาๆ
สตรีผู้นั้นเอ่ยเสียงเบาว่า “เว่ยฉี ผู้ฝึกตนของภูเขาวานรคำรามป่าเถื่อนนักหรือ? เหตุใดถึงทำให้ฝูงชนแค้นเคืองได้ขนาดนี้?”
บุรุษหนุ่มที่มีนามว่าเว่ยฉีส่ายหน้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงยังนับว่าดี ภูเขาของผู้ฝึกกระบี่ มีที่ไหนบ้างที่ไม่เจ้าอารมณ์เอาเสียเลย แต่เมื่อเทียบกับสำนักกระบี่ไท่ฮุยทางทิศเหนือแล้ว ชื่อเสียงของภูเขาวานรคำรามก็ถือว่าแย่กว่าเล็กน้อย”
ผู้เฒ่าคนนั้นกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ด่าผู้ฝึกยุทธกู้โย่วคนนั้นจะมีความหมายอะไร ในฐานะผู้ฝึกตน ด่าเซียนกระบี่ใหญ่ หันกลับมาให้ความเคารพผู้ฝึกยุทธ นั่นต่างหากจึงจะแสดงให้เห็นถึงท่วงท่าสง่างาม”
สตรีถามอย่างใคร่รู้ “พวกผู้ฝึกตนที่ด่าแรงที่สุดนั่นมีความแค้นกับภูเขาวานรคำรามหรือเปล่า?”
เยว่ฉีส่ายหน้า ยิ้มเอ่ย “หากมีความแค้นกันจริงๆ พอได้ยินข่าวการตายของ จวีเยว่ก็ไม่มีทางนำข่าวมาแพร่งพรายข้างนอก พวกคนที่ในใจมีความแค้น อีกทั้ง ยังพูดโพล่งออกมา ไม่มีทางเป็นศัตรูคู่อาฆาตได้แน่นอน แต่เป็นพวกคนที่ไม่สนิทสนมกันแม้แต่น้อย
คำพูดคำจาของคนพวกนี้ ส่วนใหญ่มักจะสามารถล่อลวงจิตใจคนที่รับฟัง อยู่ด้านข้างได้มากที่สุด หมู่ชาวบ้านร้านตลาด วงการปัญญาชน วงการขุนนาง บนภูเขา ในยุทธภพก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ เห็นมากเข้า ได้ยินมากเข้า อันที่จริง เรื่องมันก็มีอยู่แค่นั้นเอง”
เฉินผิงอันเหลือบมองเว่ยฉีและหญิงสาวที่ทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไปแวบหนึ่ง ก่อนจะใช้เสียงในใจเอ่ยเตือน “ผู้ฝึกตนหูดี คุณชายโปรดระวังคำพูด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!