กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 568

เฉินผิงอันรู้สึกปลงอนิจจังเล็กน้อย เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “แต่พอได้ยินนางเล่าถึงประสบการณ์ท่องเที่ยวในพื้นที่มงคลรากบัว แล้วสามารถคิด อีกทั้งยังอธิบายหลักการเหตุผลของการ ‘เก็บหมัดไว้ได้’ นั้นออกมา ข้าก็ยังรู้สึกดีใจไม่น้อย กลัวก็แต่ว่าอะไรที่มากเกินไปจะไม่ดี นางเลียนแบบข้าในทุกๆ เรื่อง ถ้าอย่างนั้นยุทธภพในอนาคตที่เป็นของเผยเฉียนเองก็อาจจะหม่นหมองขาดสีสันไปมาก”

ชุยตงซานเอ่ย “เรียนรู้ในสิ่งที่ดีก่อน แล้วค่อยทำตัวในแบบของตน มีอะไรที่ไม่ดี? ตลอดหลายปีมานี้ อาจารย์เองก็ไม่ได้เดินผ่านมาแบบนี้หรอกหรือ? เด็กทุกคนในใต้หล้า หากไม่รู้จักจดจำกฎเกณฑ์ไว้ในใจบ้างเลย แต่เรียนรู้ที่จะโวยวายเอาแต่ใจก่อน แบบนั้นดีแน่หรือ? ในช่วงอายุที่จำเป็นต้องจดจำกฎเกณฑ์มากที่สุด พวกผู้ใหญ่กลับจงใจทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับพวกเด็กๆ ตัดใจตีไม่ลง แข็งใจพูดอบรมสั่งสอนไม่ได้ ข้ารู้สึกว่าไม่ดีอย่างยิ่ง”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ฟังเข้าหูแล้ว

ชุยตงซานกล่าว “เป็นห่วงอนาคตของเฉาฉิงหล่างด้วยใช่ไหม?”

เฉินผิงอันถอนหายใจ “แน่นอนอยู่แล้ว ทั้งไม่อยากเจ้ากี้เจ้าการกับชีวิตของเฉาฉิงหล่าง แล้วก็ไม่อยากให้การเล่าเรียนและการฝึกตนของเฉาฉิงหล่างถูกถ่วงเวลาด้วย”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ไม่สู้ตอนที่จ้งชิวออกมาจากพื้นที่มงคลรากบัว ก็ให้เขาพาเฉาฉิงหล่างออกมาด้วย ให้เฉาฉิงหล่างกับจ้งชิวได้มาอยู่ในใต้หล้าแห่งใหม่ด้วยกัน ออกเดินทางไกลไปศึกษาต่อ เริ่มที่แจกันสมบัติทวีปก่อน หากไกลไปก็ไม่ได้ คุณสมบัติของเฉาฉิงหล่างไม่เลวเลยจริงๆ การถ่ายทอดวิชาความรู้และไขข้อข้องใจของอาจารย์จ้งเน้นที่สองคำว่าบริสุทธิ์เข้มข้น และสหายของอาจารย์ที่ชื่อว่าลู่ไถคนนั้นยังช่วยสอนให้เฉาฉิงหล่างอยู่ห่างคำว่าคร่ำครึด้วย ทั้งสองอย่างนี้ช่วยส่งเสริมกันและกัน จะว่าไปแล้วก็ยังเป็นเพราะจ้งชิวหยัดยืนได้ตรง ความรู้บริสุทธิ์ถึงแก่นที่ยอดเยี่ยม ส่วนความรู้ของลู่ไถที่แม้จะหลากหลายแต่ไม่ยุ่งเหยิง อีกทั้งยังเต็มใจเคารพนับถือจ้งชิวจากใจจริง เฉาฉิงหล่างถึงได้เป็นอย่างในทุกวันนี้ ไม่อย่างนั้นหากแต่ละคนต่างก็ยืนกรานในมุมของตัวเอง เฉาฉิงหล่างก็จบเห่แล้ว จะว่าไปแล้วนี่ก็คือคุณความชอบของอาจารย์”

เฉินผิงอันถาม “หากข้าจะบอกว่าอยากให้นำชื่อเฉาฉิงหล่างนี้บันทึกลงในทำเนียบศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา จะดูเห็นแก่ตัวมากไปหรือไม่?”

ชุยตงซานยิ้มถาม “ตอนที่อยู่ในตรอกเล็ก อาจารย์เคยพูดเรื่องนี้กับเฉาฉิงหล่างหรือไม่?”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “แน่นอนว่าต้องถามความยินยอมของเขาเสียก่อน ตอนนั้นเฉาฉิงหล่างหัวเราะอย่างโง่งม พยักหน้ารับรัวๆ ราวกับไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก จนข้ารู้สึกเหมือนตาฝาดได้เห็นเผยเฉียนอีกคน เพราะฉะนั้นข้าถึงรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะเสียเอง”

ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “นี่ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ เรื่องดียิ่งใหญ่ที่เจ้ายินยอมข้าพร้อมใจ หากอาจารย์ยังรู้สึกไม่มั่นคงก็ไม่สู้ลองคิดดูว่าวันหน้าจะทุ่มเทแรงกายแรงใจปลูกฝังเมล็ดพันธ์บัณฑิตผู้นี้อย่างไร? แบบนี้จะรู้สึกดีมากขึ้นหรือไม่?”

เฉินผิงอันขบคิดใคร่ครวญตามไปก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก

จากนั้นเฉินผิงอันก็คิดถึงเด็กอีกคนหนึ่ง มีชื่อว่าจ้าวซู่เซี่ย

ไม่รู้ว่าตอนนี้เด็กหนุ่มคนนั้นฝึกท่าหมัดเดินนิ่งเป็นอย่างไรบ้างแล้ว

สำหรับจ้าวซู่เซี่ย เฉินผิงอันก็ให้ความสำคัญมากเหมือนกัน เพียงแต่ว่ากับเด็กรุ่นหลังเหล่านี้ เฉินผิงอันมีความเป็นห่วงและคาดหวังในแบบที่แตกต่างกัน

อันที่จริงวิธีการฝึกหมัดของจ้าวซู่เซี่ยนั้นนับได้ว่าเหมือนตนมากที่สุด

ไม่ได้อาศัยอะไรทั้งนั้น อาศัยแค่ความมุมานะอุตสาหะอย่างเดียว

ความคิดและจิตใจของเด็กหนุ่มบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นใจที่คิดอยากเรียนวิชาหมัด หรือความปรารถนาในการเรียนวรยุทธของเขา ล้วนทำให้เฉินผิงอันชื่นชอบทั้งสิ้น

เฉินผิงอันจึงพูดถึงจ้าวซู่เซี่ยกับชุยตงซานเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ายังมีตัวอ่อนผู้ฝึกตนอย่างเด็กสาวจ้าวหลวน และอู๋ซั่วเหวินอวี๋เวิงเซียนเซิงที่ตนเคารพนับถืออย่างถึงที่สุดผู้นั้นด้วย

ชุยตงซานเอ่ยเนิบช้าว่า “คำว่าโบราณเรียบง่ายไร้การขัดเกลา ก็คือความหมายยิ่งใหญ่ของวิชาหมัดมานับแต่โบราณ หากสามารถสลัดเอาสิ่งสกปรกเก่าๆ สกัดดึงเอาแต่แก่นดีๆ มาไว้แล้วคิดค้นสิ่งใหม่ภายใต้ความหมายนี้ได้ ก็จะเป็นความสามารถยิ่งใหญ่บนเส้นทางวิถีวรยุทธที่แท้จริงแล้ว”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตัวเจ้าเองไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธเสียหน่อย ก็ได้แต่พูดไปอย่างนั้นเอง แล้วข้าก็เถียงเจ้าไม่ได้ แต่กับจ้าวซู่เซี่ยผู้นี้ เจ้าห้ามวาดงูเติมขาเด็ดขาด”

ชุยตงซานพยักหน้ารับตอบตกลง

มีลูกศิษย์อย่างเขาคอยเอาเวลาว่างไปมองไปดูให้มากหน่อย ก็จะช่วยลดเรื่องไม่คาดฝันไปได้มากมาย

แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาชุยตงซานก็คร้านจะทำเรื่องจำพวกเพิ่มบุปผาลงบนผ้าแพร หากจะทำ ก็มีแต่จะเป็นการส่งถ่านท่ามกลางหิมะเท่านั้น

ยกตัวอย่างเช่นปรับปรุงค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาของสำนักพีหมาให้ดีขึ้น เพิ่มพลานุภาพให้มันอีกสองส่วน

แน่นอนว่าชุยตงซานต้องยั้งรั้งฝีมือเอาไว้

จู๋เฉวียนแห่งสำนักพีหมารู้ดีอยู่แก่ใจ แต่เมื่อเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันกับความรุ่งโรจน์และเสื่อมถอยของสำนัก จู๋เฉวียนก็ไม่ได้อาศัยความสัมพันธ์ควันธูปได้คืบแล้วจะเอาศอก ถึงขั้นเปิดปากพูดอย่างเป็นนัยๆ ก็ยังไม่มี ยิ่งไม่คิดจะมาพร่ำพูดให้เฉินผิงอันฟัง

เพราะสำนักพีหมายังไม่อาจเอาน้ำใจควันธูปที่มีระดับเท่าเทียมกันออกมาได้ หรือควรจะพูดว่าไม่อาจนำน้ำใจควันธูปที่ชุยตงซานซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเฉินผิงอันต้องการออกมาได้ จู๋เฉวียนก็เลยไม่พูดถึงเสียเลย

หากเปลี่ยนมาเป็นเฉินผิงอัน จู๋เฉวียนย่อมพูดอย่างตรงไปตรงมา ต่อให้ขอเงินเทพเซียนมาจากสำนักเบื้องบนของสำนักพีหมาแล้วยังไม่อาจใช้คืนได้หมดสิ้น ถ้าอย่างนั้นข้าผู้อาวุโสก็จะติดหนี้เอาไว้ก่อน นางจู๋เฉวียนติดหนี้ได้อย่างไม่ละอายใจเลยแม้แต่น้อย

แต่เฉินผิงอันก็คือเฉินผิงอัน ชุยตงซานก็คือชุยตงซาน ต่อให้พวกเขาจะเป็นอาจารย์และลูกศิษย์กันก็ยังต้องมองภูเขาลั่วพั่วเป็นบ้านของตัวเอง

นี่ก็คือการรู้จักหนักเบา

แม้จะบอกว่าเมื่ออยู่ชายหาดโครงกระดูก จู๋เฉวียนที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักพีหมา มองดูเหมือนว่าจะทำหน้าที่ได้ไม่ดีนัก แม้ขอบเขตไม่ต่ำ แต่สำหรับสำนักแล้วกลับยังไม่มากพอ จึงได้แต่เลือกวิธีที่ต่ำต้อยที่สุด เอาตัวไปเป็นพลทหารแนวหน้าของเมืองชิงหลู แบกรับสถานการณ์ทางทิศใต้ของเมืองจิงกวานเอาไว้

แต่คนทั้งทวีปล้วนรู้ดีว่า สำนักพีหมาคือสำนักบนภูเขาที่ตรงไปตรงมา แบ่งแยกบุญคุณความแค้นอย่างชัดเจน

ขนบธรรมเนียมประจำภูเขาและชื่อเสียงของผู้ฝึกตนที่ผู้คนรับรู้กันถ้วนทั่วนี้ ก็คือเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ที่มองไม่เห็นที่สำนักพีหมาสะสมมา

การเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปของเฉินผิงอันครั้งนี้ นับตั้งแต่สำนักพีหมาที่มีจู๋เฉวียนเฝ้าพิทักษ์ ไปจนถึงยอดเขาพาตี้ที่ฮว่อหลงเจินเหรินนอนหลับอยู่ตลอดเวลา ทำให้เขาได้เรียนรู้หลักการเหตุผลนอกเหนือจากตำรามากมาย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!