กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 593

ผู้ฝึกตนไม่ชอบหมื่นหนึ่งมากที่สุด

หลินจวินปี้ยิ่งไม่ชอบให้เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับตัวเอง

เมื่อสามวันก่อนที่เหยียนลวี่ จูเหมยและเจี่ยงกวนเฉิงซึ่งมีเปียนจิ้งรวมกลุ่มอยู่ด้วยไปซื้อเหล้าที่ร้าน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอะไร แต่เป็นความตั้งใจของเขาเอง

บรรพบุรุษของเหยียนลวี่คุ้นเคยกับถ้ำสวรรค์จู๋ไห่เป็นอย่างดี นิสัยของตัวเหยียนลวี่เองก็เป็นประเภทหน้ายิ้มซ่อนมีด ค่อนข้างไปในทางดำมืด เชี่ยวชาญเรื่องการยุแยงกระพือไฟ อาจารย์ลุงของจูเหมย ในอดีตตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดได้แหลกสลายด้วยน้ำมือของเซียนกระบี่จั่วโย่ว อีกทั้งตัวนางเองยังได้รับการอบรมสั่งสอนมาจากสายของหย่าเซิ่งอย่างลึกล้ำ จึงชอบทวงความยุติธรรมเป็นที่สุด จิตใจซื่อตรงปากไว เจี่ยงกวนเฉิงมีนิสัยใจร้อนวู่วาม ครั้งนี้ลงใต้มาเยือนภูเขาห้อยหัวก็อดทนมาตลอดทั้งเส้นทางแล้ว มีสามคนนี้ไปที่ร้านเหล้าก็ไม่กลัวว่าเฉินผิงอันจะไม่ลงมือ แล้วก็ไม่กลัวว่าเฉินผิงอันจะลงมือรุนแรง ต่อให้เฉินผิงอันทำให้ตนผิดหวัง กลายเป็นว่าเขามีนิสัยมุทะลุบุ่มบ่าม ชอบโอ้อวดตบะ ไม่ดีไปกว่าเจี่ยงกวนเฉิงสักเท่าใด สุดท้ายแล้วก็ยังมีศิษย์พี่เปียนจิ้งของตนคอยปกป้องอยู่ข้างกาย และหากเฉินผิงอันลงมือหนักไปก็มีแต่จะสร้างศัตรูให้กับตัวเอง

ดังนั้นตอนที่อยู่นอกศาลาในจวนของเซียนกระบี่ซุนจวี้เฉวียน พวกจูเหมยรู้สึกละอายใจ ขนาดเหยียนลวี่ที่เย่อหยิ่งก็ยังกระวนกระวาย ทว่าหลินจวินปี้ไม่ได้โกรธพวกเขาแม้แต่น้อย เขาควรจะปฏิบัติต่อเม็ดหมากบนกระดานของตนให้ดีถึงจะถูก นี่ก็คือถ้อยคำเปิดฉากอธิบายสาระสำคัญที่ราชครูราชวงศ์เส้าหยวน อาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้หลินจวินปี้ ขณะเดียวกันก็ถ่ายทอดมรรคกถาให้แก่เขาสอนเขาในวันแรกที่เริ่มเรียนหมากล้อม ถึงอย่างไรคนและหมากก็ไม่เหมือนกัน คนมีชีวิตที่ต้องดำรงอยู่ต่อไป มีมหามรรคาให้ต้องเดิน มีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาอันเป็นอารมณ์ปกติของมนุษย์ หากมองทุกอย่างเป็นของตายไร้ชีวิต คิดว่าสามารถจัดการมันได้ตามใจชอบ ตัวเองก็อยู่ห่างจากความตายไม่ไกลแล้ว

ในความเป็นจริงแล้วตลอดเส้นทางของการลงใต้ครั้งนี้ หากไม่นับรวมแผนการครั้งนี้ ก็นับว่าหลินจวินปี้ปฏิบัติต่อพวกเหยียนลวี่ด้วยความจริงใจและมีมารยาท ไม่ว่าใครที่มาขอความรู้ มาสอบถามเรื่องเวทกระบี่หรือวิชาหมากล้อมจากตน หลินจวินปี้ก็บอกทุกอย่างที่ตัวเองรู้ออกไปหมด

ระหว่างเส้นทางการเดินทางลงใต้ หลินจวินปี้ศึกษาทำความเข้าใจกับลูกรักแห่งสวรรค์ของแปดทวีปนอกเหนือจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอย่างละเอียด โดยเฉพาะคนที่นิสัยโดดเด่นทั้งหลาย ยกตัวอย่างเช่นหลินซู่จากอุตรกุรุทวีป หลิวโยวโจวแห่งธวัลทวีป หม่าขู่เสวียนแห่งแจกันสมบัติทวีป พวกเขาล้วนมีจุดที่ควรค่าให้นำมาปรับใช้ พิศดูชีวิตของพวกเขาแล้วนำมาขัดเกลาจิตแห่งเต๋าของตัวเอง

แต่ตอนนี้หลินจวินปี้รู้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง ราวกับว่าบนกระดานหมากมีตนยืนโดดเดี่ยวอยู่เพียงลำพัง มีหมื่นวิชาก็ไม่อาจเอามาใช้ สถานการณ์ใหญ่ไม่เข้าข้างตน มีเพียงตนและกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ตกอยู่ในอันตรายด้วยกัน

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในจวนของซุนจวี้เฉวียน หลินจวินปี้พูดกับเปียนจิ้งอย่างตรงไปตรงมาว่า ไม่อยากรีบคุมเชิงกับเฉินผิงอันเร็วเกินไปนัก เพราะไม่มีโอกาสชนะจริงๆ ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็อายุไม่ถึงสิบห้าปี

กับเฉินผิงอันยังเป็นเช่นนี้ กับหนิงเหยาก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ความมั่นใจของหลินจวินปี้มาจากการเปรียบเทียบตนเองในอีกสิบปีให้หลังกับเฉินผิงอันและหนิงเหยาในทุกวันนี้ หรือควรจะพูดว่าหลินจวินปี้วันนี้เปรียบเทียบกับเฉินผิงอันและหนิงเหยาเมื่อสิบปีก่อน

และนี่ก็เป็นคำสอนประโยคที่สองของอาจารย์ผู้เป็นราชครูของตน ช่วงชิงด้านพละกำลังกับผู้อื่น คนที่ไม่ยอมแพ้มักจะตายได้ง่าย

ความคิดของหลินจวินปี้แล่นอย่างรวดเร็ว หวังว่าจะหาแผนการรอบคอบรัดกุมที่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้ตนเองได้

ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดหลินจวินปี้ถึงได้เป็นปฏิปักษ์ หรือควรจะพูดว่าให้ความสนใจเฉินผิงอันเป็นพิเศษ แน่นอนว่าเป็นเพราะริ้วคลื่นของศึกตรีจตุครั้งนั้นที่แผ่ลามมาถึง ลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อเคารพฟ้าดิน กษัตริย์ พ่อแม่และอาจารย์มากที่สุด บนเส้นทางของการฝึกตน ส่วนใหญ่มักจะใกล้ชิดกับอาจารย์ผู้สืบทอดวิชามากที่สุด เป็นสิ่งที่จะอยู่เคียงข้างได้นานที่สุด ส่งอิทธิพลอย่างลึกล้ำที่สุด หลินจวินปี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น หากอยู่ในสายบุ๋นสายใดสายหนึ่ง ส่วนใหญ่ก็มักจะสืบทอดบุญคุณความแค้นในอดีตของสายนั้นมาด้วย อาจารย์ของตนกับซิ่วไฉเฒ่าผู้นั้นสั่งสมความแค้นกันมาอย่างลึกล้ำ ในอดีตเรื่องที่ห้ามจัดพิมพ์เผยแพร่ตำราความรู้ของเหวินเซิ่งนั้น ราชวงศ์เส้าหยวนคือราชวงศ์แรกสุด แล้วก็เป็นราชวงศ์ที่ทุ่มเททำเรื่องนี้มากที่สุดในบรรดาราชวงศ์ของแผ่นดินกลาง เพียงแต่ว่าในทางส่วนตัวแล้วทุกครั้งที่พูดถึงซิ่วไฉเฒ่า ราชครูที่เดิมทีมีหวังว่าจะเดินไปบนเส้นทางของรองผู้อำนวยการของสถานศึกษา ผู้อำนวยการ และรองเจ้าลัทธิแห่งศาลบุ๋นกลับไม่ได้มีความเคียดแค้นเขามากนัก หากไม่พูดถึงนิสัยใจคอ พูดถึงแค่ความรู้ ราชครูกลับชื่นชมมากเป็นพิเศษ นี่จึงยิ่งทำให้ในใจหลินจวินปี้ไม่สบอารมณ์

หนิงเหยาเอ่ยประโยคนั้นจบก็ไม่เอ่ยอะไรอีก

สำหรับนางแล้ว ทางเลือกของหลินจวินปี้นั้นง่ายดายมาก ไม่ออกกระบี่ก็คือยอมแพ้ ออกกระบี่ก็ยังต้องแพ้อยู่ดี แค่ต้องเจอกับความยากลำบากมากหน่อยเท่านั้น

ดังนั้นหนิงเหยาจึงไม่ค่อยเข้าใจว่าเขามีอะไรให้คิดมากกัน

หนิงเหยาไม่ชอบเด็กหนุ่มคนนี้ นอกจากจะไม่ควบคุมดวงตาตัวเองให้ดี ไม่ค่อยรู้จักพูดแล้ว ยังคิดมากเกินไป อีกทั้งยังไม่บริสุทธิ์มากพอ ผู้ฝึกกระบี่ฝึกกระบี่ต้องรุดไปข้างหน้า แต่เขากลับจงใจกดขอบเขตเอาไว้ ไม่คิดจะเคารพกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตัวเองสักนิดเลยหรือ? หากจะบอกว่าสามลัทธิและเมธีร้อยสำนักมีคำวิพากษ์วิจารณ์มากมายต่อกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ ก็สามารถเข้าใจได้ว่ามรรคาแตกต่างมิอาจร่วมทาง ถ้าอย่างนั้นแม้แต่ตัวผู้ฝึกกระบี่เองก็ยังไม่ยินดีเอาความจริงใจออกมา ดังนั้นหลังจากที่อีกฝ่ายออกกระบี่แล้วแพ้ หนิงเหยาจึงเตรียมจะพูดแค่ประโยคเดียวว่า บนโลกใบนี้มีวิชาเซียนนับพันนับหมื่น มีเพียงกระบี่บินที่ตรงไปตรงมาที่สุด

หากไม่ออกกระบี่ก็ยอมแพ้แล้ว ถ้าอย่างนั้นประโยคนี้ก็ไม่ต้องพูดให้มากความแล้ว

อันที่จริงนอกจากหลินจวินปี้ที่กระอักกระอ่วนที่สุดแล้ว เวลานี้เหยียนลวี่ที่คุมเชิงคนทั้งสองอยู่บนถนนห่างไปไม่ไกลก็กระอักกระอ่วนมากเหมือนกัน

ส่วนคนที่สองที่เฝ้าด่านของฝั่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ คือหลิวเถี่ยฟูผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกร แน่นอนว่าย่อมไม่กระอักกระอ่วน กลับกันยังอารมณ์ดีอย่างมาก เหตุผลนั้นเรียบง่ายยิ่ง เขาแต่งตั้งตัวเองให้เป็นบุคคลอันดับหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ชื่นชอบหนิงเหยา เกิดและเติบโตมาในหมู่บ้านร้านตลาด แต่กลับมีหนังหน้าที่หนายิ่ง ช่วงแรกเริ่มสุดเขาใช้ทุกวิธีการที่มีเพราะอยากจะเข้าไปอยู่ในจวนหนิง ยกตัวอย่างเช่นเป็นเหมือนชุยเหวยที่เป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของน่าหลันเย่สิงก่อน หรือไม่ก็พยายามไปช่วยงานจุกจิกที่จวนหนิง เป็นคนเฝ้าประตูอะไรทำนองนั้น แต่ทุกครั้งที่พบเจอหนิงเหยาบนถนนโดยบังเอิญ หลิวเถี่ยฟูจะต้องหน้าแดงก่ำ ก้มหน้าค้อมเอววิ่งหลบออกไปไกลๆ แค่ได้มองหนิงเหยาอยู่ไกลๆ แวบหนึ่งก็พึงพอใจมากแล้ว เขาบอกว่าหากอยู่ใกล้หนิงเหยามากเกินไปจะหน้าซีดขาว เหงื่อผุดเต็มฝ่ามือ ง่ายที่จะทำให้หนิงเหยารำคาญตน

ดังนั้นหลิวเถี่ยฟูจึงตะโกนบอกเหยียนลวี่เสียงดังว่า รอให้ทางนั้นจบเรื่องก่อน พวกเราค่อยมาประลองกัน

ส่วนเรื่องที่ว่าเหยียนลวี่จะฟังภาษาถิ่นของตัวเองออกหรือไม่ หลิวเถี่ยฟูคร้านจะสนใจ ถึงอย่างไรเขาก็นั่งลงบนพื้นเริ่มมองแม่นางหนิงอยู่ไกลๆ แล้ว และยังโบกมืออยู่หลายครั้ง คงอยากจะโบกให้คนหนุ่มชุดเขียวปักปิ่นขาวที่ยืนอยู่ข้างกายแม่นางหนิงขยับออกห่างไปหน่อย อย่ามาขัดขวางการเลื่อมใสชื่นชมแม่นางหนิงของตน

สำหรับเฉินผิงอันที่เป็นคนต่างถิ่นผู้นี้ หลิวเถี่ยฟูค่อนข้างจะนับถืออยู่บ้าง แต่ต่อให้คนผู้นี้จะทยอยเอาชนะฉีโซ่วและผังหยวนจี้ได้ หลิวเถี่ยฟูก็ยังรู้สึกว่าเขาไม่คู่ควรกับแม่นางหนิงอยู่ดี แต่ในเมื่อแม่นางหนิงชื่นชอบอีกฝ่าย เขาก็อดทนได้ เพราะไม่อดทนก็ไม่มีทางอื่นแล้วนี่นา จะเอาชนะอีกฝ่ายก็ทำไม่ได้ ได้แต่หาโอกาสไปที่ร้านเหล้า ดื่มเหล้า สลักชื่อของตัวเองลงไป แอบเขียนประโยคหนึ่งไว้ด้านหลังป้ายสงบสุขว่าแม่นางหนิง เจ้ามีคนที่ชอบแล้ว ข้าเสียใจมาก ผลคือวันที่สองตอนหลิวเถี่ยฟูไปดื่มเหล้าก็เห็นว่าเฉินผิงอันมายืนรออยู่หน้าร้าน ยิ้มพลางกวักมือให้เขา บอกว่าพวกเรามาคุยกันหน่อย หลิวเถี่ยฟูไม่พูดไม่จาก็ชักเท้าเผ่นหนีทันที ได้แต่ไหว้วานให้คนไปสืบข่าวให้ว่าแผ่นป้ายสงบสุขนั้นหายไปแล้วหรือไม่ พอรู้ว่ายังไม่หายจึงรู้สึกว่าเฉินผิงอันผู้นั้นก็เป็นคนที่ใช้ได้เหมือนกัน

หากคนที่หนิงเหยาชื่นชอบใจแคบเหมือนไส้ไก่ ก็คงไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไร

เซียนกระบี่แต่ละท่านที่มาจากหัวกำแพงเมืองพากันพลิ้วกายลงบนหัวกำแพงของเรือนที่อยู่สองฟากถนนใหญ่

ไม่เพียงเท่านี้ กลางอากาศระหว่างกำแพงเมืองปราณกระบี่และนครก็เห็นได้ชัดว่ายังมีเซียนกระบี่ขี่กระบี่มุ่งตรงเข้ามาไม่หยุด

หลินจวินปี้มีสีหน้าเป็นธรรมชาติ กุมหมัดคารวะหนิงเหยาพร้อมเอ่ยว่า “เด็กน้อยไม่รู้ความ ล่วงเกินท่านแล้ว หลินจวินปี้ขอยอมแพ้”

เปียนจิ้งผ่อนลมหายใจโล่งอก ไม่ออกกระบี่นั้นถูกต้องแล้ว หากออกกระบี่ เปียนจิ้งก็เป็นกังวลว่าเสาคานหลักของวิถีกระบี่ในอนาคตของราชวงศ์เส้าหยวนอย่างหลินจวินปี้ผู้นี้จะต้องจิตแห่งกระบี่แตกสลายอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ถึงเวลานั้นใต้เท้าราชครูต้องไม่มีทางละเว้นเขาเปียนจิ้งแน่นอน ไม่เหมือนกับหลินจวินปี้ที่คิดอ่านละเอียดอ่อนรอบคอบ เปียนจิ้งไม่ได้คิดอะไรมากนัก เพียงแค่เลือกเส้นสายหนึ่งหรือสองเส้นแล้วมองให้ทะลุปรุโปร่ง ยกตัวอย่างเช่นกำแพงเมืองปราณกระบี่มีคำเอ่ยหนึ่งบอกว่า หนิงเหยาคือผู้ฝึกกระบี่ประเภทหนึ่ง ส่วนผู้ฝึกกระบี่ที่เหลือคืออีกประเภทหนึ่ง นอกจากนี้หนิงเหยาก็เคยร่วมการเข่นฆ่านอกเมืองอยู่หลายครั้ง อีกทั้งอายุยังน้อยก็ออกท่องใต้หล้าไพศาลเพียงลำพัง หนิงเหยาย่อมไม่มีทางเป็นกบใต้กะลาที่มีแค่พรสวรรค์ดีเยี่ยมอย่างแน่นอน นี่จึงเป็นเหตุให้หนิงเหยาเอ่ยประโยคนี้ก็หมายความว่าหนิงเหยาต้องมั่นใจว่าจะกุมชัยชนะได้อย่างมั่นคง คำพูดของนาง ก็คือการออกกระบี่

ดังนั้นเปียนจิ้งจึงไม่ใคร่ครวญให้ลึกซึ้งว่ากระบี่บินของหนิงเหยาคืออะไร มีพลังพิฆาตน้อยใหญ่ บนร่างของนางมีวิชาอภินิหารอะไร ขอบเขตเป็นอย่างไร

ไม่มีความจำเป็น

หนิงเหยาเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นเจ้ามาฝึกวิชากระบี่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่จะมีความหมายอะไร?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!