จวนของเซียนกระบี่ซุนจวี้เฉวียนไม่ได้แตกต่างไปจากจวนของชนชั้นสูงในใต้หล้าไพศาล แต่เพื่อทำให้ออกมา ‘ดูเหมือน’ นี้ เงินเทพเซียนที่ผลาญไปกลับเป็นจำนวนที่น่าตะลึงก้อนหนึ่ง
ซุนจวี้เฉวียนนั่งอยู่บนเสื่อไม้ไผ่ผืนหนึ่งที่แทบจะปูเต็มระเบียง มุมทั้งสี่ของเสื่อเย็นต่างก็ใช้ที่ทับกระดาษวัสดุแตกต่างกันซึ่งแกะสลักอย่างประณีตทับไว้มุมละหนึ่งชิ้น
เซียนกระบี่ของแผ่นดินกลางอย่างขู่เซี่ยยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ซุนจวี้เฉวียนยิ้มกล่าว “เปิดฉากมาไม่ราบรื่น ไม่โทษที่แผนการของหลินจวินปี้มีช่องโหว่ ต้องโทษที่เจ้าตั้งชื่อได้ไม่ดี ตอนนี้เป็นช่วงหน้าร้อนพอดี ส่วนเจ้าก็ดันชื่อขู่เซี่ย หน้าร้อนที่ขมขื่น อย่าได้ทำให้หลินจวินปี้เดือดร้อนอีกเลย”
ขู่เซี่ยกล่าวอย่างจนใจ “เขาไม่ควรไปหาเรื่องหนิงเหยา”
ซุนจวี้เฉวียนยิ้มกล่าว “นี่ไม่ใช่คำพูดเหลวไหลหรอกหรือ? ก่อนหน้านี้มีเซียนกระบี่ที่มาชมศึกมากน้อยแค่ไหน? สามสิบ? หากรวมคนที่ไม่ได้ปรากฏตัวด้วย พวกเราไม่ได้ครึกครื้นกันมาแบบนี้นานเท่าไรแล้ว”
ขู่เซี่ยเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “หากสตรีที่เป็นเช่นนี้สามารถแต่งเข้าราชวงศ์เส้าหยวนได้คงเป็นเรื่องโชคดีที่ใหญ่เทียมฟ้า ไม่แน่ว่าโชควาสนาวิถีกระบี่ของราชวงศ์พวกเราอาจจะสามารถยกระดับขึ้นไปถึงยอดเขาได้”
ซุนจวี้เฉวียนหลุดหัวเราะพรืด “เลิกเพ้อฝันเสียทีเถอะ หลินจวินปี้ก็ถือว่าเป็นตัวนำโชคด้านวิถีกระบี่ของราชวงศ์เส้าหยวนพวกเจ้าแล้ว แล้วเป็นอย่างไร? แม่หนูหนิงของพวกเราก็ยังไม่คิดจะจดจำชื่อเขาไว้อยู่ดี อีกอย่างแม่หนูหนิงก็เคยเดินทางออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไปท่องหลายทวีปของใต้หล้าไพศาลพวกเจ้าเพียงลำพัง แต่ก็ยังไม่มีใครรั้งนางไว้ได้อยู่ดีไม่ใช่หรือ เพราะฉะนั้นตัวเองไม่มีความสามารถที่จะรั้งคนเขาไว้ได้ ก็อย่ามาโทษว่าแม่หนูหนิงสายตาสูง”
ซุนจวี้เฉวียนพลันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตกตะลึงว่า “ราชครูท่านนั้นของราชวงศ์เส้าหยวนพวกเจ้าคงไม่ได้ตั้งใจจะให้หลินจวินปี้มาขุดมุมกำแพงบ้าน (ความหมายเหมือนเลื่อนขาเก้าอี้/โค่นตำแหน่งแย่งชิงไป) พวกเราจริงๆ หรอกนะ? ตัวหลินจวินปี้เองรู้หรือไม่?”
ขู่เซี่ยเงียบงัน
ซุนจวี้เฉวียนไม่เหลือสีหน้าล้อเล่นอีก พูดเสียงทุ้มหนักว่า “หากมีความคิดเช่นนี้จริง ข้าก็แนะนำเจ้าว่าให้ล้มเลิกความคิดนี้ไปซะ รวมทั้งทำลายความคิดนี้ในใจของหลินจวินปี้ให้สิ้นซากด้วย เรื่องบางอย่างต่อให้หน้าตาของใต้เท้าราชครูราชวงศ์เส้าหยวนจะใหญ่แค่ไหน ก็ยังไม่ใหญ่เท่าชีวิตและมหามรรคาของเซียนกระบี่ในบ้านตัวเอง หากเจ้าเด็กทึ่มที่เหมือนลูกนกเพิ่งหัดบินอย่างหลินจวินปี้ไม่รู้หนักเบา ก็ไม่จำเป็นต้องให้หนิงเหยาลงมือเลย ลำพังเพียงแค่กลอุบายและวิธีการของเฉินผิงอันคนเดียว คนกลุ่มของหลินจวินปี้ รวมถึงเปียนจิ้งผู้นั้นก็คงต้องแบกรับผลลัพธ์ที่ตามมากันเอาเอง”
ขู่เซี่ยหันหน้ามาถามอย่างสงสัยว่า “คนหนุ่มผู้นี้ ข้าเคยได้ยินเรื่องราวบางอย่างของเขามาบ้าง พวกคนหนุ่มสาวของกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างก็กริ่งเกรงเขา เรื่องนี้ข้าไม่แปลกใจ แต่ทำไมแม้แต่เซียนกระบี่อย่างเจ้าก็ยังมองเขาสูงถึงเพียงนี้?”
ส่วนเรื่องวงในบางอย่าง ต่อให้จะเคยผ่านความเป็นความตายร่วมกับซุนจวี้เฉวียนมา เซียนกระบี่ขู่เซี่ยก็ยังไม่คิดจะถามให้มากความ ดังนั้นจึงไม่ยกเรื่องนี้มาพูดคุยเสียเลย
ซุนจวี้เฉวียนนั่งขัดสมาธิ พลิกฝ่ามือหนึ่งทีก็มีจอกเหล้าหนึ่งใบเพิ่มขึ้นมา เขาแกว่งมันเบาๆ ในจอกก็มีเหล้ารสเลิศผุดขึ้นมาด้วยตัวเอง จอกใบนี้คือของรักอันดับหนึ่งของผีขี้เหล้าตระกูลเซียนในใต้หล้า เหนือชั้นกว่าแมลงสุราหลายขุมนัก ด้วยเหตุนี้จอกนี้จึงมีชื่อว่า ‘น้ำพุสุรา’ เว้นเสียจากว่าดื่มไม่หยุดตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ดื่มรวดเดียวร้อยจิน ถ้าอย่างนั้นจอกเหล้าเล็กๆ ใบนี้ก็คือถังเหล้าใบใหญ่ที่ดื่มอย่างไรก็ดื่มไม่หมด ดังนั้นในกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่มีผีขี้เหล้าอยู่นับไม่ถ้วน จอกใบนี้จึงมีแค่สามใบเท่านั้น
ใบหนึ่งอยู่ในมือของซุนจวี้เฉวียน และยังมีอีกใบหนึ่งอยู่ในมือเยี่ยนหมิง เพียงแต่ดูเหมือนว่านับตั้งแต่เซียนกระบี่ท่านนี้ขาดแขนทั้งสองข้าง อีกทั้งขอบเขตยังถดถอย ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เคยดื่มเหล้าอีกเลย ส่วนใบสุดท้ายนั้นอยู่ในมือของเซียนกระบี่ผู้เฒ่าตระกูลฉี
ในประวัติศาสตร์กำแพงเมืองปราณกระบี่เคยมีจอกน้ำพุสุรามากถึงห้าใบ แต่ว่าปีนั้นถูกใครบางคนที่ตั้งตัวเป็นเจ้ามือเปิดฉากเดิมพันทยอยหลอกเอาไปหนึ่งคู่ ตอนนี้ไม่รู้ว่าพวกมันกลับคืนไปยังใต้หล้าไพศาลหรือถูกพาไปยังฟ้านอกฟ้าด้านนอกใต้หล้ามืดสลัวแล้ว พอได้ไปอยู่ในมือ เจ้าหมอนั่นยังพูดจาน่าฟังว่าเรื่องดีๆ ต้องมาเป็นคู่ รวมกันกลายเป็นสามีภรรยา ไม่อย่างนั้นหากอยู่โดดเดี่ยวเป็นชายโสดเหมือนกับเจ้าของจะน่าสงสารเกินไป
ซุนจวี้เฉวียนกระดกดื่มเหล้าในจอกหมดรวดเดียว สุราในจอกก็เหมือนตาน้ำพุที่เติมตัวเองจนเต็มจอก ซุนจวี้เฉวียนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขู่เซี่ย เจ้าคิดว่าคนคนหนึ่งที่เป็นคนร้ายกาจควรมีลักษณะเช่นไร?”
ขู่เซี่ยส่ายหน้า “ไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน แล้วก็คร้านจะคิดเรื่องนี้ให้มากความ ดังนั้นจึงขอเซียนกระบี่ซุนโปรดเอ่ยให้กระจ่าง”
ซุนจวี้เฉวียนใช้สองนิ้วคีบจอกเหล้าหมุนเบาๆ จ้องมองริ้วคลื่นเล็กละเอียดที่อยู่ในจอกแล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “ให้คนดีรู้สึกว่าคนผู้นี้คือคนดี ให้ศัตรูของเขา ไม่ว่าจะดีหรือเลว ไม่ว่าจะอยู่ในจุดยืนแบบใด ส่วนลึกในใจล้วนยินดียอมรับว่าคนผู้นี้คือคนดี”
ขู่เซี่ยใคร่ครวญอยู่นาน แล้วจึงพยักหน้าเอ่ยว่า “น่ากลัว”
ซุนจวี้เฉวียนส่ายหน้า “นี่ยังไม่ถือว่าน่ากลัวที่สุด”
ขู่เซี่ยขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร?”
ซุนจวี้เฉวียนเอ่ยเนิบช้า “ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือคนผู้นี้คือคนดีจริงๆ”
ใจข้ามองวิถีทางโลกเช่นนี้ วิถีทางโลกควรมองข้าเช่นไร
ซุนจวี้เฉวียนคิดถึงตำราตราประทับร้อยเซียนกระบี่เล่มนั้น หนึ่งในตราประทับสลักคำว่าข้าพิศดูคนที่พิศมรรคาว่าพิศมรรคาอย่างไร
มีความหมายอย่างถึงที่สุด
น่าเสียดายก็แต่ตราประทับชิ้นที่ซุนจวี้เฉวียนถูกใจตั้งแต่แรกเห็นนั้นหายไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าถูกเซียนกระบี่คนใดแอบเก็บเอาไว้
ซุนจวี้เฉวียนพลันหลุดหัวเราะพรืด เหลือบตามองไปยังทิศไกลด้วยสายตาเย็นชา “นี่มันกลุ่มลูกเจี๊ยบลูกกระต่ายอะไรกัน หลินจวินปี้ผู้นั้นก็ช่างเถิด เพราะถึงอย่างไรก็ยังฉลาด น่าเสียดายก็แต่มาเจอกับแม่หนูหนิง ต่อให้เฉินผิงอันผู้นั้นจงใจพูดออกมาว่าได้เปรียบไปแล้วก็ควรแอบยินดีกับตัวเอง แค่ทำตัวอวดฉลาดให้น้อยหน่อยก็พอแล้ว ส่วนคนอื่นๆ เจ้าเจี่ยงอะไรนั่น เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าใช่ไหม วิ่งมาเล่นที่กำแพงเมืองปราณกระบี่หรือไร? หากไม่มีสงครามยังนับว่าดี แต่ถ้าสงครามเปิดฉากขึ้นจริงๆ จะเอาหัวไปส่งให้พวกสัตว์เดรัจฉานที่กระเหี้ยนกระหือรือพวกนั้นหรือ? เซียนกระบี่อย่างเจ้าไม่เหนื่อยใจหรือไร? หรือจะบอกว่าราชวงศ์เส้าหยวนของพวกเจ้าในทุกวันนี้มีขนบธรรมเนียมเช่นนี้แล้ว? ข้าจำได้ว่าปีนั้นเจ้าขู่เซี่ยเดินทางมาที่นี่กับคนอื่น ไม่ได้ไม่เอาถ่านขนาดนี้นี่นา?”
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยไม่เอ่ยอะไร เงียบไปครู่หนึ่งถึงเปิดปากเอ่ยว่า “ใต้เท้าราชครูมีคำสั่ง ต่อให้ศึกใหญ่จะเปิดฉากขึ้น พวกเขาก็ไม่สามารถเดินลงจากหัวกำแพงเมืองได้”
ซุนจวี้เฉวียนกุมขมับ ดื่มเหล้าในจอกจนหมดเพื่อใช้สุราดับทุกข์ พูดโอดครวญว่า “จวนของข้าคงชื่อเสียงฉาวโฉ่เหม็นไปทั่วถนนแล้ว เซียนกระบี่ขู่เซี่ยเอ๋ย ช่างเป็นฤดูร้อนที่ขมขื่นจริงๆ ที่แท้เป็นข้าซุนจวี้เฉวียนที่ถูกเจ้าทำร้ายได้อนาถที่สุด”
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรมาก เพราะกับเพื่อนสนิทอย่างซุนจวี้เฉวียนนั้นไม่จำเป็นต้องเกรงใจกัน
เพียงแต่ว่าศิษย์หลานหนึ่งในสิบคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ผู้ที่กลายเป็นเสาหลักของราชวงศ์เส้าหยวนมานานแล้วท่านนี้กลับอดนึกกังขาขึ้นมานิดๆ ไม่ได้ หรือว่าชื่อขู่เซี่ยของตัวเองจะศักดิ์สิทธิ์อยู่บ้างจริงๆ?
……
ทางฝั่งของศาลาลมเย็น หลินจวินปี้เปลี่ยนมาสวมชุดคลุมอาคมตัวใหม่แล้ว กลับคืนมามีสีหน้าเป็นปกติ ยังคงสดชื่นแจ่มใสอยู่เหมือนเดิม มีมาดของเจ๋อเซียนอายุน้อย
เปียนจิ้งที่เผยร่องรอยของตัวเองไปเรียบร้อยนั่งอยู่บนขั้นบันได คาดว่าเขาคงเป็นผู้ฝึกกระบี่เพียงคนเดียวที่ขมวดคิ้วมุ่นไม่คลาย
เพราะคนหนุ่มสาวคนอื่นๆ ส่วนใหญ่แล้วยังเดือดดาลไม่หาย ก่นด่าเสียงดังขรม คนอีกส่วนหนึ่งที่เหลือคอยเอ่ยคำพูดปลอบใจที่ตัวเองคิดว่าเป็นธรรมมากที่สุด
แม้แต่ความหมายของการเฝ้าด่านทั้งสามนี้ก็ยังไม่รู้ เปียนจิ้งก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเด็กพวกนี้มาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่เพื่ออะไร หรือว่าก่อนที่จะจากลากัน ผู้อาวุโสของพวกเขาไม่สอนบ้างเลย? หรือจะบอกว่าอายุน้อยเลยไม่รู้ความ สาเหตุหลักเป็นเพราะผู้อาวุโสในตระกูลไม่รู้จักวางตัวเป็นแบบอย่างที่ดี? รู้แต่ว่าจะให้พวกเขาทำตัวสำรวมยามมาอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น ดังนั้นจึงกลับกลายเป็นว่าทำให้พวกเขาเกิดใจคิดกบฏ?
สำหรับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง รวมไปถึงความโหดร้ายของการโจมตีกำแพงเมืองจากเผ่าปีศาจ กลับไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วมันคืออะไร เปียนจิ้งถึงขั้นมั่นใจได้เลยว่า แม้แต่ตัวหลินจวินปี้เอง ศัตรูที่แฝงตัวอยู่ในสมองของพวกเขาแต่ละคนก็คงมีแค่ผู้ฝึกกระบี่วัยเดียวกันของกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น ส่วนใต้หล้าเปลี่ยวร้างและเผ่าปีศาจกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่เคยเก็บเอามาใส่ใจแม้แต่น้อย ตัวเปียนจิ้งเองยังดีหน่อย เพราะตอนที่เดินทางไปเยือนหลิวเสียทวีปเคยได้สัมผัสกับพลังการต่อสู้อันป่าเถื่อนและเรือนกายที่แข็งแกร่งของปีศาจก่อกำเนิดตนหนึ่งกับตัวเองมาก่อน เขากับสหายคนหนึ่งที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด สองฝ่ายร่วมมือกันออกกระบี่นับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ยังไม่อาจทำร้ายรากฐานของอีกฝ่ายได้อย่างแท้จริง ได้แต่เพิ่มผู้ฝึกกระบี่โอสถทองมาช่วยคุมหลังอีกคนหนึ่ง ถึงจะสามารถกักตัวมันไว้แล้วค่อยๆ ทรมานให้ตายทั้งเป็นได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!