เฉินผิงอันไม่รู้สึกมีอคติเลยแม้แต่น้อย ก็แค่รู้สึกเสียใจนิดๆ เท่านั้น
ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดปีนั้นตอนที่เว่ยป้ออยู่หน้าเรือนไม้ไผ่ของภูเขาลั่วพั่วถึงได้พูดเรื่องสองสามเรื่องของอาเหลียง
แล้วเหตุใดเด็กหนุ่มเฉินผิงอันถึงได้น้ำตาอาบหน้า แล้วเหตุใดนอกจากความเลื่อมใสแล้ว ส่วนลึกในใจยังซุกซ่อนความละอาย ความเสียใจและความจนใจที่ยากจะใช้ถ้อยคำมาบรรยายเอาไว้ด้วย นั่นคืออารมณ์อย่างหนึ่งที่เว่ยป้อในเวลานั้นไม่เคยรับรู้
แทบจะทุกคนล้วนคิดว่าการเดินทางไกลครั้งแรกของเฉินผิงอันคือการคุ้มกันพวกหลี่เป่าผิงเดินทางไปขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาต้าสุย คือเฉินผิงอันที่พยายามปกป้องมรรคาเพื่อพวกเขาอย่างสุดชีวิต และเมื่อมองจากผลลัพธ์ก็ดูเหมือนว่าเฉินผิงอันจะทำให้ดีไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามที่เป็นคนนอกล้วนไม่อาจชี้นิ้วตำหนิเขาได้
แต่ปีนั้นหลังจากที่เด็กหนุ่มรองเท้าเตะได้พบกับอาเหลียงเป็นครั้งแรก อันที่จริงนั่นต่างหากถึงจะเป็นการทดสอบใหญ่อีกครั้งหนึ่งในชีวิตของเฉินผิงอัน การชักคะเย่อในใจที่เงียบเชียบ
เฉินผิงอันหวังให้ตัวเองในสายตาของชายฉกรรจ์สวมงอบที่เรียกตัวเองว่ามือกระบี่ ก็คือคนที่อาจารย์ฉีฝากความหวังไว้ให้ เฉินผิงอันหวังให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น เพื่อที่ตัวเองจะได้พิสูจน์ว่าเป็นตนไม่ผิดแล้ว จึงเป็นเหตุให้การเดินทางที่มีจุดเริ่มต้นจากริมลำคลอง และจากลากันที่จุดพักม้าเมืองหงจู๋ เฉินผิงอันคอยพยายามที่จะคาดเดาความคิดของอาเหลียงอยู่ตลอดเวลา เอาตัวเข้าไปอยู่ในสถานการณ์แล้วคิดว่ายอดฝีมือนอกโลกคนหนึ่งที่ปรากฏกายกะทันจะชอบอะไร หรือไม่ชอบอะไร คอยคาดเดาว่าสหายของอาจารย์ฉีที่พกดาบ แต่กลับบอกว่าตัวเองเป็นมือกระบี่ผู้นั้นจะชอบเด็กรุ่นหลังที่เป็นแบบใด เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ต่อให้เขาไม่ชอบ รู้สึกดูแคลน แต่เฉินผิงอันก็จะไม่มีทางทำให้อีกฝ่ายเกิดอคติในใจโดยเด็ดขาด ดังนั้นทุกคำพูดทุกการกระทำของเฉินผิงอันในเวลานั้นล้วนเกิดจากความจงใจ ผ่านการครุ่นคิดมาอย่างลึกซึ้ง เด็กหนุ่มอายุน้อยที่เดินทางท่องอยู่ท่ามกลางภูเขาเขียวน้ำใสจะยังมีอารมณ์คอยชื่นชมขุนเขาชมสายน้ำอยู่อีกงั้นหรือ?
ต่อให้ความตั้งใจเดิมของเฉินผิงอันคือหวังให้ตัวเองสามารถคุ้มครองพวกเป่าผิงไปส่งถึงสำนักศึกษาอย่างปลอดภัยได้สำเร็จ และบุรุษประหลาดที่จูงลา พกดาบไม้ไผ่จะไม่ทำร้ายพวกเขาแม้แต่ปลายเล็บ แต่พอเวลาผ่านไป ย้อนกลับมามองดูชีวิตช่วงนั้นของตน คิดถึงหนึ่งครั้ง เฉินผิงอันก็จะเสียใจหนึ่งครั้ง แล้วก็มักจะอยากดื่มเหล้าอยู่บ่อยๆ
ชีวิตคนเมื่อเดินผ่านมาแล้วก็คือผ่านมาแล้วจริงๆ ไม่ใช่บ้านเกิดไม่ใช่มาตุภูมิ ไม่อาจหวนย้อนกลับ
บางครั้งที่หันกลับไปมอง จะยังไม่อยากดื่มเหล้าได้อย่างไร
เจี่ยงชวี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในตอนนี้ที่ระมัดระวังตัว กับเฉินผิงอันที่ท่องผ่านขุนเขาสายน้ำด้วยความกังวลคิดหนัก จะไม่เหมือนกันได้อย่างไร
เฉาฉิงหล่างเคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยน มองตราประทับและหน้าพัดบางส่วนที่แกะสลักและเขียนตัวอักษรไว้เรียบร้อยแล้ว เขาพลันสังเกตเห็นว่าอาจารย์ของตนเอาแต่นั่งเหม่อลอยอยู่เงียบๆ ตรงโต๊ะด้านข้าง
เฉาฉิงหล่างไม่กล้ารบกวนการใช้ความคิดของอาจารย์ จึงหยิบเอามีดแกะสลักเล่มเล็กที่ดูเก่าแก่ แต่กลับยังคมกริบดังเดิมออกมาวางลงบนโต๊ะเบาๆ
เขาไม่รู้ว่าเหตุใดอาจารย์ถึงมอบสิ่งนี้ให้กับตน แน่นอนว่าเฉาฉิงหล่างไม่ได้คิดว่าเพราะมีดแกะสลักทำมาจากวัสดุที่ธรรมดาเกินไป เขาจึงจะไม่เห็นค่าของมัน ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ ของขวัญที่อาจารย์มอบให้กะทันหันชิ้นนี้ ยิ่ง ‘ไม่มีค่า’ เท่าไหร่ ก็ยิ่งคู่ควรให้ตนเก็บรักษาเป็นอย่างดีมากเท่านั้น
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าวว่า “คิดเรื่องบางอย่างในอดีตนิดหน่อย”
เฉาฉิงหล่างก็ลุกขึ้นตามเรียบร้อยแล้ว
เฉินผิงอันยื่นมือออกมากดลงบนความว่างเปล่า “วันหน้าไม่ต้องมีพิธีการยิบย่อยเช่นนี้อีก เป็นตัวของตัวเองมากๆ หน่อย”
เฉาฉิงหล่างยิ้มพลางพยักหน้ารับ แต่กลับรอให้อาจารย์นั่งลงบนเก้าอี้ก่อน เขาค่อยนั่งตาม
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ โน้มร่างมาด้านหน้า มองมีดแกะสลักเล่มเล็กที่อยู่บนโต๊ะแล้วยิ้มเอ่ยว่า “มีดแกะสลักเล่มนี้ เถ้าแก่ร้านแถมให้ข้าตอนที่ข้าซื้อตราประทับหินหยกในร้านแห่งหนึ่งของเมืองหลวงต้าสุ้ยเมื่อครั้งที่ออกจากบ้านเดินทางไกลเป็นครั้งแรก ยังจำพวกแผ่นไม้ไผ่แกะสลักที่ข้ามอบให้เจ้าก่อนหน้านี้ได้กระมัง แต่ละตัวอักษรล้วนใช้มีดแกะสลักเล่มนี้แกะออกมา เดิมทีมันก็เป็นของที่ไม่มีราคาค่างวด แต่กลับเป็นของที่มีความหมายมากในชีวิตข้า”
เฉาฉิงหล่างลุกขึ้นยืน ถอยหลังไปสองสามก้าว ประสานมือโค้งคารวะ
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “มีความหมายก็แค่มีความหมายเท่านั้น เจ้าไม่ต้องเอาจริงเอาจังขนาดนี้ สิ่งของที่มีความหมายต่อข้ามีมากนักล่ะ ส่วนใหญ่ล้วนไม่มีราคา หากเจ้าใส่ใจแบบนี้ทุกครั้ง ถ้าอย่างนั้นข้าก็ยังมีรองเท้าสานอยู่อีกกองใหญ่ เจ้าต้องการด้วยหรือไม่? ข้ายกให้เจ้าคู่หนึ่ง เจ้าก็โค้งคารวะครั้งหนึ่ง ใครขาดทุนใครได้กำไร? ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ขาดทุนกันทั้งคู่ เรื่องที่ทั้งอาจารย์ทั้งลูกศิษย์ต่างก็ไม่ได้กำไรเช่นนี้ อย่าทำเลยจะดีกว่า”
เฉาฉิงหล่างส่ายหน้ายิ้มกล่าว “อาจารย์ รองเท้าสานนั้นช่างเถิด ข้าสามารถถักเองได้ ไม่แน่ว่าฝีมืออาจดีกว่าอาจารย์ด้วย”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “หากพูดถึงเรื่องความรู้ เรื่องของการฝึกตน อาจารย์ครึ่งๆ กลางๆ อย่างข้า บางทีอาจสู้เจ้าไม่ได้จริงๆ มีเพียงเรื่องถักรองเท้าสานนี่แหละ อาจารย์ท่องไปทั่วหล้า ยากนักที่จะพบศัตรูในเรื่องนี้ได้”
เฉาฉิงหล่างยิ้มบางๆ
เฉินผิงอันเอ่ยหยอกล้อว่า “หากอิงตามคำพูดของหลี่ถวนจิ่งอดีตเจ้าสวนลมฟ้าคนก่อน ถ้าการถักรองเท้าสานก็เป็นเส้นทางสายใหญ่แห่งการฝึกตนวิชาหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คือห้าขอบเขตล่างที่เพิ่งได้เผชิญโลกกว้าง ไม่รู้ว่าทัศนียภาพห้าขอบเขตบนของการถักรองเท้าเป็นเช่นไร”
เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับ “อาจารย์บอกว่าใช่ก็ใช่นั่นแหละ”
เฉินผิงอันพูดต่อไม่ออก มาลองนึกๆ ดู ตอนนี้ภูเขาลั่วพั่วบ้านของตนขาดขนบธรรมเนียมแบบใดบ้าง หญ้ายอดกำแพงไม่ขาด ตัวขี้ประจบขอบเขตบินทะยานก็ไม่ขาด ล้วนถูกลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนและพวกจูเหลี่ยนพาเลี้ยวเข้ารกเข้าพงไปหมดแล้ว เป็นเหตุให้แม้แต่กวอจู๋จิ่วลูกศิษย์ครึ่งตัวผู้นั้นก็ยังเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันที่แม้ไม่มีใครสั่งสอนก็ยังเข้าใจได้เองเหมือนกับเผยเฉียนไปด้วย ดังนั้นจึงยังขาดความเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างเฉาฉิงหล่างนี่แหละ
เฉินผิงอันจึงยิ้มอย่างปลาบปลื้ม ในที่สุดตนก็มีลูกศิษย์ดีๆ ที่เป็นคนปกติกับเขาบ้างแล้ว
กลับกลายเป็นเฉาฉิงหล่างที่รู้สึกอึดอัดเสียเอง เขาเอื้อมมือไปหยิบพัดไม้ไผ่ที่บนหน้าพัดเขียนตัวอักษรและบนโครงของพัดก็แกะสลักตัวอักษรเอาไว้ พัดพับมีชื่อเรียกอีกหลายชื่อที่ค่อนข้างสุภาพไพเราะ หนึ่งในนั้นก็คือคำเรียกว่า ‘ลมเย็น’
ตัวอักษรบนหน้าพัดย่อมสะดุดตามากที่สุด แค่มองก็รู้ทันที แต่ส่วนที่เฉาฉิงหล่างชอบจริงๆ กลับเป็นตัวอักษรเล็กๆ ขนาดเท่าหัวแมลงวันที่เรียงกันเป็นแถวอยู่บนซี่พัดขนาดใหญ่ เหมือนเด็กคนหนึ่งที่แอบซ่อนตัวไม่กล้าพบเจอใคร ตัวอักษรนั้นเขียนได้เล็กมากๆ บางทีหากคนที่ซื้อพัดเป็นคนที่ไม่ละเอียดอ่อน ไม่สังเกตให้ดีก็คงคิดว่าเป็นพัดไม้ไผ่เล่มหนึ่งที่มีแค่ตัวอักษรบนหน้าพัด ไม่มีตัวอักษรที่ถูกแกะสลักเอาไว้ หลายเดือนหลายปี ชีวิตนี้ชาตินี้ คงไม่มีทางรู้ได้เลย
เฉาฉิงหล่างหุบพัดพับ ถือไว้ในมือ จ้องนิ่งไปที่อักษรแถวนั้น แล้วเงยหน้ายิ้มกล่าวว่า “มิน่าเล่าอาจารย์ถึงได้ชอบดื่มเหล้า”
เฉินผิงอันยิ้มชอบใจ
ตัวอักษรที่แกะสลักไว้บนไม้ไผ่คือคำว่า
เรื่องราวบนโลกดุจความฝัน ดื่มเหล้าไม่กลัวว่าจะเมาพับ ไม่ดื่มกลับเป็นคนในความฝัน
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากชอบ ข้าก็ยกให้เจ้า”
เฉาฉิงหล่างส่ายหน้าคลี่ยิ้ม “มิกล้าถ่วงรั้งการหาเงินของอาจารย์”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!