หัวกำแพงเมืองกว้างมากพอ อวี้เจวี้ยนฟูไม่เงยหน้า เพียงแค่ทอดสายตามองไปยังฟ้าดินกว้างใหญ่ทางทิศใต้เท่านั้น
พวกเผยเฉียนที่ในมือของแต่ละคนมีไม้เท้าเดินป่าทยอยกันเดินผ่านไป
ห่างจากอวี้เจวี้ยนฟูไปไม่ไกลยังมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังอ่านหนังสืออยู่
เผยเฉียนขมวดคิ้ว
เหยียนลวี่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรที่นั่งอยู่บนเบาะกำลังรับฟังวิชากระบี่ที่เซียนกระบี่ขู่เซี่ยเป็นผู้ถ่ายทอดหันมองคนทั้งสามแวบหนึ่ง แล้วก็ไม่มองอีก
ว่ากันว่าเป็นพวกเดียวกันกับเฉินผิงอันผู้นั้น ดูจากท่าทางแล้วก็เหมือนอยู่จริงๆ
ชุยตงซานชำเลืองตามองหนังสือในมือของเด็กหนุ่มแล้วพยักหน้าพร้อมกับอมยิ้ม ดีมาก ถือเป็นศิษย์ลูกศิษย์หลานของตนครึ่งตัวแล้ว
พอจะมีประโยชน์อยู่บ้างเล็กน้อย
หลินจวินปี้ปิดหนังสือลง เงยหน้ามองคนทั้งสามแล้วยิ้มบางๆ
ชุยตงซานส่งยิ้มกลับคืน เผยเฉียนแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เฉาฉิงหล่างพยักหน้าทักทายกลับคืน
แน่นอนว่าเฉาฉิงหล่างต้องรู้ตัวตนของคนผู้นี้แล้ว ตอนที่อาจารย์แกะสลักตัวอักษรอยู่ในเรือนได้เล่าเรื่องศึกเฝ้าด่านสองครั้งให้ฟังง่ายๆ ไม่พูดถึงความดีความเลว เพียงแค่อธิบายถึงความคิดและการลงมือช้าเร็วของทั้งฝ่ายเฝ้าด่านและฝ่ายโจมตีด่านเท่านั้น
คนทั้งสามจากไปไกล
หลินจวินปี้อ่าน ‘ตำราเมฆหลากสี’ ต่ออีกครั้ง
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ แม้เขาจะไม่ยินดีฝ่าทะลุขอบเขตรวดเดียวติดกัน ดังนั้นขอบเขตในเวลานี้จึงยังไม่สูง แต่กระนั้นภายใต้การถ่ายทอดวิชาความรู้ของเซียนกระบี่ขู่เซี่ย เขาก็ยังรับหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาครึ่งตัวให้กับสหาย อีกทั้งเขาที่ฝึกกระบี่อยู่ที่นี่ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่เพียงคนเดียวที่สามารถคว้าจับปณิธานกระบี่โบราณบริสุทธิ์เสี้ยวหนึ่ง อีกทั้งยังรั้งมันไว้ในช่องโพรงลมปราณที่สำคัญได้อีกด้วย ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดซึ่งมีเหยียนลวี่ เจี่ยงกวนเฉิง จูเหมยเป็นหนึ่งในนั้นต่างก็เคยคว้าจับปณิธานกระบี่ที่โผล่มาแค่แวบเดียวก็หายไปได้ เหยียนลวี่ยังจับได้มากกว่าหนึ่งครั้งด้วยซ้ำ แต่น่าเสียดายที่ไม่อาจรั้งเอาไว้ได้อยู่ หลินจวินปี้ไม่เคยแพร่งพรายความลับสวรรค์ เซียนกระบี่ขู่เซี่ยนั้นรู้ดี แต่ก็ไม่เคยพูดออกมาเช่นกัน
หลินจวินปี้คิดว่ารอให้รวบรวมปณิธานกระบี่ที่เซียนกระบี่ยุคบรรพกาลทิ้งไว้ให้ครบสามเสี้ยวเสียก่อน หากยังไม่มีใครทำสำเร็จ เขาถึงจะบอกว่าตัวเองได้รับปราณกระบี่ส่วนหนึ่งมา ถือว่าเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับพวกเขา หลีกเลี่ยงไม่ให้ปณิธานในการฝึกกระบี่ดิ่งลงเหว
ทุกครั้งที่คนทั้งสามเดินไปถึงจุดที่ไร้ผู้คน ชุยตงซานก็จะเพิ่มความเร็วฝีเท้า เผยเฉียนสามารถตามไปได้ทัน อีกทั้งลมหายใจยังราบรื่นผ่อนคลายอย่างถึงที่สุดอีกด้วย
ทว่าเฉาฉิงหล่างกลับเป็นคนที่ต้องยากลำบากกว่าใคร
เดินอยู่บนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วยังต้องเดินตามชุยตงซานกับเผยเฉียนที่เดินเร็วราวกับ ‘บิน’ แน่นอนว่าต้องทรมานยิ่งกว่าการเดินเนิบช้าทำสมาธิอยู่ในจวนหนิงมากนัก
บางครั้งชุยตงซานจะหยุดเดิน ให้เฉาฉิงหล่างนั่งพักนิ่งๆ อยู่สักชั่วยาม
เผยเฉียนที่เบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำจะฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนหัวกำแพงเมือง เท้าคางมองไปทางทิศใต้ หวังว่าจะได้เห็นปีศาจใหญ่สักตัวสองตัว แน่นอนว่าให้นางได้เห็นแค่แวบเดียวก็พอแล้ว ทั้งสองฝ่ายอย่าได้ทักทายกันเลย ไม่ใช่ญาติไม่ใช่มิตรไม่มีความแค้นใดๆ ต่อกันเสียหน่อย รอให้นางกลับไปถึงใต้หล้าไพศาล แล้วกลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วที่เป็นบ้านเกิดเมื่อไหร่ก็จะได้มีเรื่องไปเล่าให้หน่วนซู่และหมี่ลี่ฟังแล้ว นางจะเล่าว่า เจ้าพวกปีศาจใหญ่ตัวดีพวกนั้น ยืนอยู่ด้านนอกหัวกำแพง ใกล้กับนางในระยะประชิด พวกเขาจ้องตากันไปมา แต่นางกลับไม่กลัวแม้แต่น้อย นางยังต้องชะเง้อคอออกไปมองถึงจะมองเห็นหัวของปีศาจใหญ่ สุดท้ายยังใช้ไม้เท้าเดินป่าร่ายวิชากระบี่มารคลั่งขู่ให้พวกมันกลัวไปหนึ่งคำรบ
น่าเสียดายที่เดินอยู่บนหัวกำแพงมาหลายวัน นางก็ยังไม่เคยได้เห็นปีศาจใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแม้แต่ตนเดียว
เผยเฉียนที่นอนฟุบตัวอยู่บนหัวกำแพงเมืองจึงถามชุยตงซานว่าเหตุใดปีศาจใหญ่อะไรนั่นถึงได้ขี้ขลาดนัก
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ไม่ใช่ว่าไม่มีปีศาจใหญ่ แต่เป็นเพราะมีกระบี่บินของเซียนกระบี่ใหญ่เซียนกระบี่อาวุโสบางท่านบินไปถึง เมื่อเทียบกับจุดที่สายตาของเจ้ามองเห็นแล้วยังไกลกว่ามากนัก”
เผยเฉียนหันหน้ามาถาม “อาจารย์ลุงใหญ่ต้องเป็นคนหนึ่งในนั้นด้วยใช่ไหม?”
ชุยตงซานเหลือกตาทำหน้าผี นั่งขัดสมาธิ เรือนกายสั่นยะเยือก
เผยเฉียนเอ่ยเบาๆ ว่า “อาจารย์ลุงใหญ่ตีเจ้าจริงๆ หรือ? วันหน้าข้าจะตำหนิอาจารย์ลุงใหญ่ให้เอง เจ้าอย่าได้อาฆาตแค้นเลย เข้าประตูบานเดียวกันได้ก็คือคนบ้านเดียวกัน พวกเราไม่จุดธูปขอบคุณคุณพระคุณเจ้าก็ถือว่าผิดมากแล้ว”
เพราะชุยตงซานไม่ชอบกราบไหว้พระโพธิสัตว์ ต่อให้จะเข้าวัดน้อยใหญ่เป็นเพื่อนนาง แต่ชุยตงซานก็ไม่เคยพนมมือไหว้พระ ยิ่งไม่มีทางคุกเข่าโขกหัวคำนับ
เผยเฉียนก็เลยแอบช่วยไหว้พระแทนเขา บอกกับพระโพธิสัตว์เบาๆ ว่าอย่าได้ถือโทษโกรธเคืองเลย
อันที่จริงบนหัวกำแพงนี้ก็คือบนฟ้าแล้ว
บนฟ้ามีลมแรง พัดให้ชุดสีขาวของชุยตงซานปลิวสะบัด จอนผมสองข้างก็ปลิวไปตามสายลม
อยู่ดีๆ ก็นึกถึงการเดินทางทัศนศึกษาในปีนั้นขึ้นมา
มีจำนวนคนมากกว่า อีกทั้งทุกคนยังมีหีบไม้ไผ่
จำได้ว่าตอนนั้นชุยตงซานจงใจเล่าให้พวกเป่าผิงฟังถึงเรื่องราวของผู้ถือตนสันโดษที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในประวัติศาสตร์ทั้งหลาย
ตอนนั้นหลี่ไหวฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ เพียงแค่จดจำเอาไว้แล้ว นี่ก็คือเด็ก อย่างมากสุดก็คงแค่รู้สึกว่าเดิมทีวิถีทางโลกก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้วกระมัง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!