วันนี้พวกผีขี้เหล้าที่มาดื่มเหล้าที่ร้านเนืองแน่นหนาตา บรรยากาศกลมเกลียวสมานฉันท์ ต่างก็เอ่ยถ้อยคำดีๆ เกี่ยวกับเถ้าแก่รองผู้นั้น หากไม่บอกว่าเถ้าแก่รองที่หล่อเหลาสง่างามดุจต้นไม้หยกรับลมมีมาดเหมือนศิษย์พี่ใหญ่ของเขา ก็บอกว่าเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่บวกกับผักดองและบะหมี่หยางชุนของเถ้าแก่รองน่าจะเป็นอาหารที่เลิศรสที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่พวกเราแล้ว หากไม่มาดื่มเหล้าที่นี่ก็ไม่ใช่เซียนกระบี่เลย
แต่นี่กลับทำให้คนบางคนรู้สึกใจฝ่อ ดื่มเหล้าเข้าไปแล้วก็ให้ครั่นเนื้อครั่นตัว ใคร่ครวญว่านี่จะเป็นวิธีการต่ำช้าของกองกำลังบางฝ่ายที่เป็นอริกันหรือไม่ หรือว่านี่ก็คือเคล็ดวิธีพิฆาตชั้นต่ำที่เถ้าแก่รองเคยพูดถึง? ดังนั้นคนเหล่านี้จึงจดจำชื่อแซ่และหน้าตาของพวกคนที่พูดจาเอาจริงเอาจังที่สุด คุยโวโอ้อวดด้วยถ้อยคำเลี่ยนหูที่สุดเอาไว้เงียบๆ วันหน้าจะไปขอความดีความชอบจากเถ้าแก่รอง ส่วนนี่จะเป็นการใส่ร้ายคนดี เข้าใจพันธมิตรผิดไปหรือไม่ ถึงอย่างไรเถ้าแก่รองก็รู้ดีว่าควรทำอย่างไร พวกเขาแค่รับผิดชอบหน้าที่คาบข่าวไปฟ้องเป็นพอ เพราะถึงอย่างไรในบรรดาคนเหล่านี้ก็มีอยู่หลายคนที่ทุกวันนี้คือสหายที่แค่ได้รับการบอกเป็นนัยจากเถ้าแก่รอง แต่ยังไม่ได้กลายเป็นเถ้าแก่ที่นั่งรับเดิมพันหลอกเอาเงินคนอื่นได้อย่างแท้จริง
ทางฝั่งของหัวกำแพงเมืองแห่งนี้ อวี้เจวี้ยนฟูนั่งแทะแผ่นแป้งย่าง มือหนึ่งหิ้วกาน้ำทอดสายตามองไปยังสนามรบบางแห่งที่อยู่ทางทิศใต้ ตรงนั้นมีแอ่งน้ำเล็กๆ อยู่มากมาย การที่อยู่บนหัวกำแพงสูงแห่งนี้แล้วสามารถมองเห็นหลุมบ่อบนพื้นเหล่านั้นได้ ก็พอจะจินตนาการได้ว่าหากไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ หลุมบ่อพวกนั้นมีแต่จะใหญ่เท่าทะเลสาบ ส่วนตัวคนก็เล็กเท่าเมล็ดงาเท่านั้น
ตอนนี้อวี้เจวี้ยนฟูมักจะมาเยือนที่หัวกำแพงเมืองบ่อยๆ นางถือว่าเป็นสหายครึ่งตัวกับเด็กสาวจูเหมยแล้ว เพราะถึงอย่างไรในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ของราชวงศ์เส้าหยวนกลุ่มนี้ คนที่นางถูกชะตาด้วยมากที่สุดก็ยังคงเป็นจูเหมยที่แสดงนิสัยอย่างตรงไปตรงมาผู้นี้ รองลงมาก็คือจินเจินเมิ่งผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง ส่วนคนอื่นๆ นางไม่ค่อยชอบเท่าไร แน่นอนว่าการไม่ชอบของอวี้เจวี้ยนฟูก็มีเพียงการแสดงออกอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือไม่คบค้าสมาคมด้วย เจ้าทักทายข้า ข้าก็พยักหน้าตอบรับ แต่หากเจ้าคิดจะพูดจาปราศรัยก็อย่าเลยดีกว่า เมื่อเจอกับผู้อาวุโส เป็นฝ่ายเอ่ยทักทายก่อนก็ควรหยุดเมื่อพอสมควร ง่ายดายเพียงเท่านี้
ข้าอวี้เจวี้ยนฟูแค่มาขัดเกลาวิชาหมัดเท่านั้น ไม่ได้มาช่วยตระกูลขยับขยายเส้นสายอิทธิพล แล้วนับประสาอะไรกับที่ตระกูลอวี้แค่พอมีความสัมพันธ์ควันธูปกับภูเขาห้อยหัวเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับกำแพงเมืองปราณกระบี่เลยแม้แต่น้อย
ส่วนจูเหมยนั้น นางคงจะคิดว่าตัวเองคือคู่พี่น้องต่างพ่อต่างแม่กับอวี้เจวี้ยนฟูที่พลัดพรากจากกันมาหลายปีกระมัง
อวี้เจวี้ยนฟูเป็นกังวลเล็กน้อย นางพกแผ่นแป้งย่างมาน้อยเกินไป กินเร็วเกินไป แผ่นแป้งย่างทั้งหลายที่อยู่ในห่อสัมภาระถูกกินจนหมดเกลี้ยงไปนานแล้ว ส่วนที่อยู่ในวัตถุจื่อชื่อก็เหลืออยู่อีกไม่มาก
เพียงแต่ว่าความกังวลเล็กน้อยนี้ไม่ได้มีค่าพอให้พูดถึง เดินทางมาหล่อหลอมเรือนกายที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ครานี้ ความตั้งใจแรกก็คือไล่ตามเส้นทางการเรียนวรยุทธของเฉาสือ สร้างความมั่นคงให้กับขอบเขตร่างทอง คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับเถ้าแก่รองที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองเหมือนกัน แล้วก็คิดไม่ถึงว่าเมื่อเปรียบเทียบกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ในใจของนางแล้ว เซียนกระบี่ของที่แห่งนี้กลับทำให้คนเลื่อมใสได้มากกว่า ต่อให้อวี้เจวี้ยนฟูไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณ ยิ่งไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ก็ยังคงรู้สึกว่าเมื่อเทียบกับใต้หล้าไพศาลที่ฟ้าดินกว้างใหญ่ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์แล้ว บางสิ่งบางอย่างที่คู่ควรแก่การรับไปปรับใช้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่นั้นหาจากที่อื่นไม่ได้ มีแค่ที่นี่ที่เดียวเท่านั้นจริงๆ
อวี้เจวี้ยนฟูกินแผ่นแป้งย่างหมดแล้วก็ดื่มน้ำหนึ่งคำ คิดว่าจะพักผ่อนอีกสักครู่แล้วค่อยลุกไปฝึกหมัด
การฝึกหมัดคือเรื่องใหญ่เทียมฟ้า ถูกกำหนดมาแล้วว่าเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกในชีวิตนี้ของนางอวี้เจวี้ยนฟู ทว่าบางครั้งหากแอบอู้ คิดอยากจะทำเรื่องบางอย่างที่ไม่ใช่การฝึกหมัดก็ไม่มีปัญหาอะไร
วิชากระบี่ของผู้อาวุโสจั่วโย่วคนนั้น คู่ควรกับคำว่าสูงที่สุดอย่างแท้จริง
เซียนกระบี้ซุนจวี้เฉวียนได้เห็นจุดเริ่มต้นและจุดจบของศึกครั้งนั้นมากับตาตัวเอง ตามคำบอกของเซียนกระบี่ซุน การออกกระบี่ของจั่วโย่วครั้งนี้ อันดับแรกคือการใช้ ‘พละกำลังมหาศาลอย่างไร้เหตุผล’ ออกกระบี่ฟันให้เยว่ชิงร่วงลงไปจากหัวกำแพงเมือง จากนั้นก็ไม่พันธนาการปราณกระบี่อีกต่อไป ตั้งแต่ต้นจนจบ จำนวนครั้งที่เยว่ชิงออกกระบี่มีน้อยจนนับนิ้วได้ ไม่ใช่ว่าเยว่ชิงไม่แข็งแกร่ง แต่เป็นเพราะอานุภาพของน้ำตกปราณกระบี่จากน้ำพุร้อยจั้งกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเขาเล่มนั้น มิอาจทัดเทียมกับทะเลสาบปราณกระบี่ของจั่วโย่วได้ ส่วนกระจอกเมฆบนฟ้าซึ่งเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอีกเล่มก็ยิ่งแทบจะไม่มีโอกาสได้ดิ่งลงพื้น
แต่ซุนจวี้เฉวียนก็ยิ้มเอ่ยว่า เยว่ชิงเองก็เก็บไม้เก็บมืออยู่เหมือนกัน ไม่ใช่เกรงใจ แต่เพราะไม่กล้า ด้วยกลัวว่าจั่วโย่วจะฟันเขาให้ตายด้วยกระบี่เดียวจริงๆ
ขณะเดียวกันก็มอบบันไดลงและหาเหตุผลให้กับเซียนกระบี่ท่านอื่นที่ออกหน้ามาห้ามปรามด้วย น่าเสียดายที่จั่วโย่วไม่ได้สนใจเซียนกระบี่สองท่านที่พยายามโน้มน้าวด้วยถ้อยคำดีๆ เพียงแค่จ้องเยว่ชิงเขม็งแล้วใช้ปราณกระบี่กระแทกใส่เขาไม่หยุด ไม่ใช่ความวุ่นวายไร้ระเบียบ ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะปราณกระบี่ของจั่วโย่วมากเกินไป ปณิธานกระบี่เข้มข้นเกินไป การตัดสินเป็นตายของเซียนกระบี่บนสนามรบมักจะเกิดขึ้นในชั่วพริบตา มองไม่เห็นความจริงและขั้นตอนทั้งหมด แต่นี่ก็ไม่สำคัญ ขอแค่หลบได้พ้น ป้องกันไว้ได้ ฝ่าการโจมตีออกไปได้ก็เพียงพอแล้ว การออกกระบี่ของเซียนกระบี่ที่เสี่ยงอันตรายหลายครั้ง ส่วนใหญ่มักจะเป็นไปตามใจปรารถนา หากมีไหวพริบสักหน่อย กลับกลายเป็นว่าจะโจมตีได้สำเร็จในกระบี่เดียว
ตอนนั้นจั่วโย่วไม่เอ่ยอะไร ทว่าความหมายชัดเจนอย่างมาก เซียนกระบี่ทุกคนยกเว้นเยว่ชิง ชมศึกอยู่ไกลๆ ได้ไม่เป็นไร จะช่วยเอ่ยปรามก็ได้ไม่เป็นไร มีเพียงคนที่ขยับเข้ามาใกล้เท่านั้นที่ล้วนถือเป็นศัตรู
ตอนนั้นเซียนกระบี่สองท่านนั้นกระอักกระอ่วนแทบตาย คนหนึ่งในนั้นถูกกระบี่ยาวที่ชักออกจากฝักในมือจั่วโย่วฟันลงมา พื้นดินปริแตก ร่องลึกบังเกิดทันใด หากไม่เป็นเพราะจั่วโย่วจงใจออกกระบี่แฉลบไปด้านข้างสิบจั้ง เซียนกระบี่ท่านนั้นก็เกือบได้ออกแรงเต็มกำลังเพื่อต้านทานกระบี่นี้แล้ว เขาได้แต่เรียกสหายมา แล้วก็เรียกเซียนกระบี่อีกสองคนให้มาช่วยคุมท้าย แต่กระนั้นก็ยังไม่มีใครกล้าลงมือโจมตี หากจั่วโย่วไม่สนใจเยว่ชิงแล้วหันกระบี่เข้าหาทุกคนแทน จะทำอย่างไร?
ในช่วงเวลาที่เยว่ชิงจำต้องออกกระบี่ บนหัวกำแพงก็ปรากฏร่างของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส เขายืนเอาสองมือไพล่หลัง จ้องนิ่งไปยังสนามรบทางทิศใต้ คล้ายกำลังเอ่ยประโยคหนึ่งกับจั่วโย่ว
จั่วโย่วถึงได้ยอมเก็บกระบี่
สุดท้ายซุนจวี้เฉวียนเอ่ยกับอวี้เจวี้ยนฟูด้วยน้ำเสียงปลงอนิจจังว่า เวทกระบี่สูงขนาดนี้ แล้วยังไม่กลัวการใช้กำลังของคนคนเดียวต่อสู้กับคนเป็นกลุ่มมากที่สุด จั่วโย่วผู้นี้คิดจะเดินขึ้นฟ้าก้าวเดียวอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เลยหรือไร?
ตอนนั้นอวี้เจวี้ยนฟูถามด้วยความใคร่รู้ว่า เดินขึ้นฟ้าก้าวเดียวหมายความว่าอย่างไร
น่าเสียดายที่ซุนจวี้เฉวียนเพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไรอีก
อวี้เจวี้ยนฟูลุกขึ้นยืน ออกหมัดช้าๆ ไปตามหัวกำแพง ออกหมัดช้า ทว่าเรือนกายกลับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
หลังจากเดินไปได้ประมาณหนึ่งก้านธูปก็เจอกับเด็กหนุ่มชุดขาวที่เดินตรงเข้ามาหา อวี้เจวี้ยนฟูไม่อยากรู้สักนิดว่าคนผู้นี้ชื่อแซ่อะไร แต่นี่ก็ต้องถามจูเหมยที่ชอบพูดเจื้อยแจ้วรายงานทุกเรื่องให้นางฟังก่อนว่าจะตอบตกลงหรือไม่ จูเหมยบอกว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือลูกศิษย์ของเฉินผิงอัน เป็นคนของแจกันสมบัติทวีป แซ่ชุยนามตงซาน หากนับตามลำดับอาวุโสถือเป็นลูกศิษย์รุ่นที่สามของสายเหวินเซิ่ง แต่ดูเหมือนว่าสมองของชุยตงซานจะไม่ค่อยปกตินัก เดี๋ยวดีเดี๋ยวแย่ น่าเสียดายเนื้อหนังมังสาที่งดงามนั้นจริงๆ
อีกฝ่ายเดินดิ่งตรงมา อวี้เจวี้ยนฟูจึงได้แต่ขยับเบี่ยงหลบ สองฝ่ายจะได้เดินสวนไหล่ผ่านกันไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!