ระยะช่วงแรกของศึกโจมตีและป้องกันกำแพงเมืองปราณกระบี่ทุกครั้งในประวัติศาสตร์ ภาพบรรยากาศเป็นเช่นไร ป๋ายเลี่ยนซวงเอ่ยแค่สี่คำ แต่กลับแม่นยำอย่างถึงที่สุด พาตัวมาตาย
บนหัวกำแพงเมือง เซียนกระบี่และผู้ฝึกกระบี่พากันออกกระบี่อย่างพร้อมเพรียง มืดฟ้ามัวดิน ปราณกระบี่ดุจน้าขึ้นที่ถาโถมตัวอย่างดุดัน ไหลกรูกันเข้าหาทางทิศใต้ ทุกที่ที่ผ่านสรรพสิ่งล้วนกลายเป็นผุยผง
เผ่าปีศาจบนสนามรบที่กรูกันเข้าใส่กำแพงเมืองปราณกระบี่ดั่งต้นหญ้าที่ถูกฟันจึงล้มกองกันเป็นแถบๆ
กลางอากาศของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีดวงจันทร์สามดวง ทว่าตรงหัวกำแพงเมืองนี้กลับมีแสงจันทร์มากที่สุด
ผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองมากมายดุจก้อนเมฆ เมื่อกระบี่บินพุ่งออกไป ราตรีดำมืดกลางดึกกลับสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน มากพอจะทำให้แสงจันทร์หม่นหมองได้
เผ่าปีศาจมากมายเนืองแน่นพากันทวนกระแสกระบี่บินขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่ เกรียงไกร หมายจะสร้างสถานการณ์ฝูงมดโจมตีกำแพงเมือง ทว่าเวลายังเร็วเกิน ไปนัก เร็วอยู่มาก
ได้แต่อาศัยชีวิตมากมายนับไม่ถ้วนมาเผาผลาญปราณวิญญาณของผู้ฝึกกระบี่ แลกเปลี่ยนมาด้วยโอกาสที่จะได้ขยับเข้าใกล้กำแพงเมือง ทุกครั้งที่สนามรบขยับ เข้าใกล้ทางทิศเหนือหนึ่งก้าว ล้วนจำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล
มีปีศาจใหญ่กลุ่มหนึ่งเผยกายโดยเฉพาะ ภายใต้การนำของปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานอย่างฉงกวง พวกเขาคอยรับผิดชอบแบกยอดเขาแต่ละลูกที่ดึงมาจากแผ่นดินของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมาที่สนามรบทางทิศใต้ จากนั้นก็ทุ่มเข้าใส่กำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างเต็มกำลัง
เซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิงที่ถูกขนานนามให้เป็นตัวสำรองลำดับสิบคนสูงสุดพกกระบี่สองเล่มไว้ตรงเอว เล่นหนึ่งคือสยบห้าขุนเขา อีกเล่มหนึ่งคือกระบี่ยาวที่สร้างขึ้นจากหอกระบี่ กระบี่ทั้งสองเล่มล้วนยังไม่ออกจากฝัก กระบี่บินสองเล่มที่ร่ายออกมาใช้ น้ำพุร้อยจั้งเล่มหนึ่งในนั้นประหนึ่งน้าตกที่สาดเทลงมา ซัดให้ภูใหญ่แต่ละลูกที่ถูกขว้างเข้าใส่หัวกำแพงเมืองเต็มแรงร่วงลงพื้น แผ่นดินสั่นสะเทือน กระแทกให้ เผ่าปีศาจตายไปนับไม่ถ้วน แล้วยังมีกระบี่บินกระจอกเมฆบนฟ้าที่ปราณกระบี่ดั่งฝนห่าใหญ่ที่เทลงมาบนสนามรบ
จุดที่ปลายกระบี่ของหานไหวจื่อเจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุยแห่งอุตรกุรุทวีปชี้ไป ไม่ใช่บนร่างของเผ่าปีศาจบนสนามรบที่พาตัวมาตาย แต่เป็นร่วมมือกับเยว่ชิงทำลายภูเขาที่ขว้างเข้าใส่หัวกำแพงเมือง
ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของตระกูลเยี่ยน หลี่ทุ่ยมี่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินก็มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มเหมือนกัน เล่มหนึ่งเจียวขาว เล่มหนึ่งเฮยชือ (มังกรมีเขาประเภทหนึ่งในนิทานปรัมปราของจีน) หลังจากกระบี่บินถูกเรียกออกมาก็เหมือนมีเจียวหลงยาวร้อยจั้งสองตัวเลื้อยสะบัดหางเข่นฆ่ากับเผ่าปีศาจอยู่บนพื้นดินอย่างกำเริบเสิบสาน
‘อ๋าวอวี๋’ (เต่ายักษ์ในทะเล สัตว์ในเทพนิยายของจีนสมัยโบราณ) กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของหมี่ฮู่ขอบเขตเซียนเหรินออกจากหัวกำแพงไปได้ก็ผลุบหายเข้าไปใน ผืนแผ่นดิน ฉีกกระชากร่องลึกเส้นแล้วเส้นเล่าไว้บนสนามรบ รับผิดชอบคอยสกัดกั้นไม่ให้เผ่าปีศาจบุกรุดหน้าเข้ามาได้
หมี่อวี้ผู้เป็นน้องชายเรียกกระบี่บิน ‘เสียหม่านเทียน’ (แสงเรืองรองเต็มแผ่นฟ้า) ร่วมมือกับหมี่ฮู่ผู้เป็นพี่ชายสร้างปราณกระบี่แสงเรืองรองที่เข้มข้นราวกับน้ำ ให้เอ่อขึ้นมาเต็มร่องลึกเหล่านั้น ขัดขวางไม่ให้ปีศาจใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามเติมเต็มร่องลึกได้ ขณะเดียวกันก็บดขยี้เผ่าปีศาจทั้งหมดที่หล่นร่วงเข้ามาในร่อง
แล้วยังมี ‘ซวงเซวี่ย’ (น้าค้างแข็งและหิมะ) กระบี่บินที่หยวนชิงสู่เซียนกระบี่จากทักษินาตยทวีปเรียกออกมาคอยช่วยสร้างความมั่นคงให้กับร่องลึกของเซียนกระบี่สองพี่น้อง ปราณกระบี่จึงเปี่ยมล้น เผ่าปีศาจหลายตนที่อยู่ในร่องน้าใหญ่หลายสิบเส้นจึงเหมือนอยู่ในวันที่อากาศหนาวเย็นเสียดแทงเข้ากระดูก มีทั้งน้าค้างแข็งและ มีทั้งหิมะ บนพื้นมีหิมะกองทับถมกันเป็นชั้นหนา บนท้องฟ้าก็ปลิวปรายไปด้วย เกล็ดน้าค้างแข็ง เท้าทั้งสองข้างของเผ่าปีศาจที่ขึ้นชื่อว่าเรือนกายแข็งแกร่งทนทานที่สุดในโลก ล้วนถูกปราณกระบี่หลอมละลายเลือดเนื้อ กระดูกขาวโพลนโผล่ให้เห็น เลือดสดเปรอะเลอะเต็มร่าง
อู๋เฉิงเพ่ยเซียนกระบี่ที่ติดค้างอยู่ในคอขวดขอบเขตหยกดิบนานหลายปี เวลานี้กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวกำแพง ‘น้าค้างหวาน’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเขาคือกระบี่บินเล่มหนึ่งที่ถือว่าแปลกประหลาดที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่ กระบี่บินน้ำค้างหวานนี้ไม่มีรูปแบบการโจมตีที่แน่นอน เมื่อมันจมลงไปในกองกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วนที่ทับถมกันและบ่อเลือดบนสนามรบ อู๋เฉิงเพ่ยกลับรวบรวมสมาธิ ไม่ได้ออกกระบี่ใส่เผ่าปีศาจ แต่กลับเริ่มสงบจิตใจหลอมกระบี่
แม้ว่าขอบเขตของเซียนกระบี่หญิงโจวเฉิงจะไม่สูง แต่ก็แบกรับโชคชะตาไว้บนร่างเพียงลำพัง ในฐานะคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ของสายนาง ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานที่ได้ฝึกตนอยู่บนหัวกำแพง ได้รับปณิธานกระบี่ที่สืบทอดมาจากบรรพจารย์รุ่นแล้ว รุ่นเล่า เมื่อนำมาหลอมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตัวเอง สุดท้ายก็สร้างกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า ‘เจ็ดสี’ ขึ้นมาได้ แสงกระบี่มีเจ็ดสี ราวกับว่าคนคนหนึ่งได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเจ็ดเล่ม
น่าหลันเซาเหว่ยและลู่จือที่ต่างก็ติดอันดับสิบเซียนกระบี่ใหญ่ขั้นสูงสุด เวลานี้พวกเขาไม่ได้ออกกระบี่ คนทั้งสองนำพาเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนหลายสิบคนที่กระบี่บินมีความเร็วอย่างถึงที่สุดคอยลาดตระเวนสนามรบ รับผิดชอบรับมือกับ ปีศาจใหญ่ที่แฝงตัวอยู่ท่ามกลางกองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจโดยเฉพาะ หากมีเผ่าปีศาจขยับเข้ามาใกล้หัวกำแพงเมืองก็จะออกกระบี่สังหาร จะไม่ยอมให้เผ่าปีศาจรุกคืบ ขยับเข้ามาใกล้เบื้องใต้ของหัวกำแพงเมืองง่ายๆ เด็ดขาด
บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่แต่ละคนต่างก็มีหน้าที่เป็นของตัวเอง
กระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนอยู่ด้านหน้าสุดของกระแสน้าขึ้นปราณกระบี่ ออกจากหัวกำแพงเมืองไปไกลที่สุด แน่นอนว่าต้องเผาผลาญปราณวิญญาณมากที่สุด แล้วก็อันตรายที่สุด
ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินอย่างก่อกำเนิด โอสถทองสองขอบเขตตามมาด้านหลังติดๆ ไม่ได้ต้องการให้ผู้ฝึกกระบี่เหล่านี้สังหารปีศาจที่อยู่ห่างไปไกลอย่างเดียว แค่ให้ พวกเขารักษาแนวรบที่ปราณกระบี่ดั่งสายน้าพุ่งออกจากเมืองเส้นนี้ให้มั่นคงเท่านั้น หากมีกำลังเหลือก็สามารถหาโอกาสสังหารผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่สวมชุดคลุมอาคม สวมเสื้อเกราะยันต์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์ค่ายกลที่คนกลุ่มนี้จะให้การปกป้องอย่างแน่นหนา หากพบร่องรอยก็ต้องสังหารอีกฝ่ายให้ตายคาที่โดยไม่ต้องสนใจค่าตอบแทน
ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางที่ต่ำกว่าโอสถทองลงไป ยามออกกระบี่จะต้องระวังมากยิ่งกว่า หน้าที่หลักไม่ใช่สังหารศัตรู แต่คือจัดขบวนรบอยู่บนหัวกำแพงเมือง
หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกเผ่าปีศาจบางตนที่หมายหัวพวกเขาโดยเฉพาะทำร้ายไปถึงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต
ผู้ฝึกกระบี่สามกลุ่มผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ถึงอย่างไรการแสร้งวางท่าข่มขู่ให้คนกลัวก็ไม่ทำให้คนตายได้จริงๆ ดังนั้นการออกกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่จึงมักจะแสวงหาในผลลัพธ์ที่แน่นอนจริงแท้เสมอ
เพราะถึงอย่างไรการโจมตีเมืองของเผ่าปีศาจก็ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ไม่กี่วันหรือ ไม่กี่เดือน แต่มักจะยาวนานไปหลายปี
เผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างโจมตีเมืองสามวันสามคืนก็เป็นแค่อาหารเรียก น้ำย่อยจานหนึ่งจริงๆ
เรื่องไม่คาดฝันเพียงหนึ่งเดียวระหว่างนี้ ก็คือมีหนึ่งในปีศาจใหญ่สิบสี่ตนซึ่งเป็นเพียงตนเดียวที่เผยตัว ก็คือป๋ายอิ๋(หยกขาว) ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์กระดูกขาว ราวกับขุนเขาตระหง่านที่คอยควบคุมกองทัพอย่างไรอย่างนั้น มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาลุกขึ้นยืน แล้วร่ายวิชาอภินิหารพิศกระดูกขาว บนสนามรบที่เลือดสดไหลนองเป็นพันลี้ก็พลันมีโครงกระดูกของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจหลายพันตนลุกขึ้นยืน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ถึงไม่ได้มาโจมตีเมือง แล้วก็ไม่ถอยร่น เพียงแค่ยืนทื่ออยู่บนสนามรบอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ปราณกระบี่ทำลายจนย่อยยับ สูญเสียมูลค่าอันน้อยนิดที่เหลืออยู่ ส่วนสุดท้ายไปอย่างสิ้นเชิง
ป๋ายอิ๋งนั่งกลับลงไปบนบัลลังก์ ผายฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา ราวกับกำลังบอกเป็นนัยให้เหล่าผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เชิญออกกระบี่กันต่อ
ป๋ายอิ๋งมองอู๋เฉิงเพ่ยเซียนกระบี่ขอบเขตหยกคนนั้นนานหน่อย เขาค่อนข้างสนใจ ‘น้ำค้างหวาน’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของอีกฝ่ายอยู่มาก
สายตาของป๋ายอิ๋งมองไปไกลกว่าสนามรบเบื้องหน้า หากหลังจากที่กระดูกลุกขึ้นยืนแล้ว ยังได้อาบไล้อยู่ท่ามกลางน้ำค้างรสหวาน ช่วยหล่อหลอมจิตวิญญาณ ก็พอจะเป็นประโยชน์ต่อมหามรรคาอยู่ไม่น้อย
นอกจากนี้ป๋ายอิ๋งก็ไม่คิดว่าการเข่นฆ่าตรงหน้านี้มีค่าอะไรให้ตนมองไปมากกว่านี้
หากไม่นับสหายหลายคนที่ได้นั่งอยู่บนบัลลังก์ซึ่งอยู่ตัวคนเดียว ไม่เคยแตกกิ่งก้านสาขา รวมถึงภูเขากระดูกขาวของเขาป๋ายอิ๋งเองด้วย กองกำลังและสำนักอื่นๆ ที่เหลืออยู่ รวมไปถึงผู้ที่อยู่ใต้อาณัติทั้งหมด ล้วนระดมพลกันออกมาหมดแล้ว ดังนั้นใต้หล้าเปลี่ยวร้างในเวลานี้ หากมีคนที่สามารถก้มมองพื้นดินจากดวงจันทร์สามดวง ได้เหมือนปีศาจใหญ่นักพรตเต๋าที่หลอมแก่นวิญญาณของดวงจันทร์คนนั้น ก็จะมองเห็นว่าบนอาณาบริเวณที่กว้างขวางมีเมล็ดงาเล็กๆ หลายเมล็ดปรากฎขึ้นมาก่อน จากนั้นก็ตามมาด้วยเส้นเล็กๆ หลายเส้นที่พากันขยับเข้าหากำแพงเมือง ปราณกระบี่ นั่นล้วนเป็นเผ่าปีศาจที่พากันดาหน้ามาลงสนามรบอย่างไม่ขาดสาย
เส้นเล็กๆ ทุกเส้นก็คือเผ่าปีศาจที่มีจำนวนหลายหมื่นหลายแสน แต่ที่มากกว่านั้นคือหุ่นเชิดที่ยังไม่มีสติปัญญาซึ่งถูกผู้ฝึกตนควบคุมเอาไว้ ในบรรดานี้ก็มีผู้ฝึกตน เผ่าปีศาจที่เดินไปบนเส้นทางการฝึกตน กลายร่างเป็นมนุษย์อีกนับไม่ถ้วน แล้วยังมีวีรบุรุษของแต่ละพื้นที่อีกมากมายที่สร้างราชวงศ์ขึ้นมาเลียนแบบใต้หล้าไพศาล ปีศาจดุร้ายตามเขาลึกหนองบึงทั้งหลายจะยึดครองพื้นที่กันดารห่างไกลแห่งหนึ่ง เมื่อได้ครอบครองพื้นที่ฮวงจุ้ยพิเศษแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งสายน้าภูเขา ผีร้ายวิญญาณอาฆาตทั้งหมดในพื้นที่ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเอาทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตัวเองออกมาใช้โจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่เหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น
หากโจมตีเมืองไม่สำเร็จ แน่นอนว่าก็คือการพาตัวไปตาย
แต่หากคิดจะโจมตีเมืองให้สำเร็จก็จำต้องพาตัวไปตาย ขอแค่รับการเผาผลาญได้ไหว ตัดใจทิ้งมดตัวน้อยไร้ประโยชน์จำนวนมากไปได้ ยิ่งตายไปมากเท่าไร กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่มองดูเหมือนสูงส่งจนมิอาจปีนป่าย แข็งแกร่งมิอาจทำลายก็จะยิ่งสูญเสียฟ้าอำนวย ดินอวยพร คนสามัคคีไปเรื่อยๆ นาทีที่ไม่เหลือทั้งสามสิ่งนี้อยู่แล้ว ก็คือนาทีที่เฉินชิงตูผู้นั้นกายดับมรรคาสลาย จิตวิญญาณซ่านเซ็นอย่างสิ้นเชิง นับตั้งแต่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่กลายเป็นฟ้าดินขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง เฉินชิงตูรักษาความได้เปรียบนี้ไว้อย่างไร ใต้หล้าเปลี่ยวร้างควรจะกำจัดข้อเสียเปรียบนี้ไปอย่างไร
นี่ก็คือกุญแจที่สำคัญที่สุดในสงครามโจมตีและพิทักษ์ ถึงขั้นพูดได้ว่าเป็นเพียงเรื่องเดียวที่ควรทำ
เซียนกระบี่ออกกระบี่ ฝูงมดโจมตีอะไรนั่น ก็ล้วนช่วงชิงกันในเรื่องนี้ทั้งสิ้น
ขอแค่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเอากำลังทรัพย์ครึ่งหนึ่งที่มีออกมา กำแพงเมืองปราณกระบี่ต้องรักษาไว้ไม่ได้แน่นอน
ไม่เพียงแต่กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่จะพิทักษ์ไว้ไม่อยู่ หลายทวีปหลายพื้นที่ของใต้หล้าไพศาลก็ต้องติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย ยกตัวอย่างเช่นทักษินาตยทวีปที่ อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวมากที่สุด ฝูเหยาทวีปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ใบถงทวีป ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
ดังนั้นหลังจากที่ผู้เฒ่าชุดเทาซึ่งเก็บตัวเงียบนานนับหมื่นปีเผยกายอีกครั้ง เรื่องใหญ่ที่ทำเป็นเรื่องแรกก็คือแบ่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างออกเป็นยี่สิบเขตอิทธิพล ปีศาจใหญ่ทั้งสิบสี่ตน ไม่ว่าใครก็จำเป็นต้องเอาดึงเอากองกำลังอย่างน้อยครึ่งหนึ่งในเขตอิทธิพลของตนออกมา มุ่งหน้าสู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ หากทำภารกิจเล็กๆ นี้ไม่สำเร็จก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อ เมื่อสงครามเกิดขึ้น ก็เดินนำขึ้น หัวกำแพงเมืองไปก่อน ไปลิ้มรสเวทกระบี่ของเฉินชิงตูดูว่าสูงหรือต่า หากไม่ยินดี ก็จงอยู่ก้นบ่อโบราณไปเถอะ
พื้นที่อิทธิพลยี่สิบแห่ง หากอิงจากผู้ฝึกตนแล้วขอบเขตโดยรวมไม่สูงพอ ถ้าอย่างนั้น ก็อาศัยจำนวนมาผสมกันให้ได้มาก แต่ก็มีอยู่ข้อหนึ่งที่จำเป็นต้องทำให้สำเร็จ ปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนทุกตนจำเป็นต้องเดินทางขึ้นเหนือไปให้ครบทุกตน ไม่ว่าใครที่หลบเลี่ยงไม่ยอมทำสงคราม กล้าไปแอบซ่อนตัวก็จะถูกสังหารทันที แต่จะบังคับบุคคลที่ดิ้นรนป่ายปีนขึ้นมาเป็นห้าขอบเขตบนอย่างยากลำบากพวกนี้มากเกินไป ก็ไม่ได้ ดังนั้นขอแค่ยินดีออกศึก นอกจากของรางวัลที่จะได้รับในอนาคตจะไม่น้อย ลงแล้ว ก่อนจะนำทัพออกรบก็ย่อมต้องได้รับของขวัญใหญ่ชิ้นหนึ่ง หากบุคคลเหล่านี้รบตายอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่อาจได้เห็นใต้หล้าไพศาลกับตาตัวเอง
ถ้าอย่างนั้นทายาทหรือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของคนผู้นั้นก็จะได้รับการรับรองว่าจะมีอาณาเขตอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างแน่นอน เหมือนการแต่งตั้งอ๋องไปให้อยู่ในพื้นที่ศักดินาของตน ส่วนอาณาเขตที่ได้ครอบครองจะเล็กหรือใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับขอบเขตและคุณความชอบในการทำสงครามของปีศาจใหญ่ที่รบตายไป ภายในเวลาพันปี ไม่ว่าใครก็ไม่อาจรุกราน หากตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้แตกได้แล้ว ไม่เพียงแต่จะได้รับรางวัลที่บ้านเกิด อีกทั้งไม่ว่าจะเป็นปีศาจห้าขอบเขตบนตนใดก็ตาม ก็ล้วนสามารถก่อพรรคตั้งสำนักไว้ที่ใต้หล้าแห่งใหม่ที่อุดมสมบูรณ์อย่างแทบไม่น่าเชื่อแห่งนั้นได้ ทุกตน
สัญญาที่มีภูเขาทัวเยว่เป็นผู้นำ ร่วมมือกับปีศาจใหญ่สิบสี่ตนลงนามร่วมกันนี้ ตอนนี้ได้แพร่ไปทั่วทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว
เขตอิทธิพลยี่สิบแห่ง ทุกแห่งหากขอบเขตของผู้ฝึกตนขั้นสูงมากพอ แต่ขาด ชุดคลุมอาคม เสื้อเกราะ สมบัติอาคม ผู้เฒ่าชุดเทาก็บอกอย่างตรงไปตรงมาว่า ขอรบกวนให้ทั้งสิบสี่ท่านช่วยออกแรงกันหน่อย อย่ามัวเก็บซ่อนกำลังทรัพย์กันอีกเลย ไม่ว่าจะควักกระเป๋าของตัวเองหรือไปยืมมาจากใครก็ควรมอบไปให้ ถึงอย่างไรเมื่อไปถึงใต้หล้าไพศาล ตามแผนการที่กำหนดไว้ ต่างคนก็ต่างกวาดหาสมบัติกันเอาเอง ได้เลย ไม่ต้องสนใจวิธีการ รับรองว่าอย่างน้อยที่สุดต้องได้ชดเชยกลับคืนมาถึง สองเท่า หากไม่พอ ถึงเวลานั้นก็มาขอชดเชยจากเขาและภูเขาทัวเยว่ได้เลย
การโจมตีเมืองครั้งนี้เป็นระเบียบขั้นตอน แบ่งออกเป็นแปดช่วง
ตอนนี้เพิ่งจะเป็นการเปิดฉากของช่วงที่หนึ่งเท่านั้น
หลังจากนี้พวกเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่จะต้องเจอกับเรื่องไม่คาดฝันอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่นใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็มีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตสิบเหมือนกัน มีเรือกระบี่ของสำนักโม่ที่เอาวางไว้บนยอดเขา ถึงขั้นที่ว่ายังจะเกิด ภาพเหตุการณ์ยิ่งใหญ่อลังการที่ผู้ฝึกกระบี่ทั้งด้านบนและด้านล่างกำแพงเมือง ต่างก็ได้แต่หันกระบี่เข้าใส่กันและกัน
และใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนี้ก็จะมีผู้ฝึกตนสำนักการทหารมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก พวกเขาจะสวมเสื้อเกราะอาวุธล้าค่าเป็นสีเดียวกัน ถึงเวลานั้นบน สนามรบจะมีภูเขาสูงใหญ่ปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่าเป็นแถบๆ คือขุนเขาทั้งห้าที่ถูกย้ายมาจากหลายสิบราชวงศ์ แล้วบนภูเขาแต่ละลูกจะมีผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนที่โปรยสมบัติอาคมลงมาดุจฝนห่าใหญ่ ตอนนี้เผ่าปีศาจทั้งหมดของฝ่ายตนบน สนามรบจำเป็นต้องแหงนหน้าสูงมองหัวกำแพงเมืองแห่งนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป สนามรบจะสูงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้ายกำแพงเมืองปราณกระบี่จะกลายเป็นอาณาเขตของใต้หล้าเปลี่ยวร้างตามความหมายที่แท้จริง นับจากนี้ไปลมและน้าจะเปลี่ยนทิศ ถึงเวลานั้นเมื่อต้องคุมเชิงกับใต้หล้าไพศาล มันก็จะกลายเป็นส่วนที่ทำให้เผ่าปีศาจได้ทั้งรุกและถอย
ป๋ายอิ๋งเริ่มดื่มเหล้า ได้ยินว่าที่ใต้หล้าไพศาลมีเหล้าหมักตระกูลเซียนอยู่มากมาย
เซียนกระบี่ที่หยิ่งทระนงบนหัวกำแพงเมืองพวกนั้นชอบออกกระบี่เต็มกำลังเพื่อสังหารปีศาจนักไม่ใช่หรือ ก็เชิญออกกระบี่มาได้เลย พยายามช่วงชิงคุณความชอบทางการรบมาให้ได้มากที่สุด ถึงอย่างไรก็ต้องอิ่มตายเพราะคุณความชอบทางการต่อสู้พวกนั้นอยู่แล้ว
อันที่จริงนับตั้งแต่ที่ศึกสิบสามครั้งนั้นเกิดขึ้น ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ได้เริ่มวางแผนเอาไว้แล้ว
ศึกโจมตีเมืองสามครั้งจะให้จบลงด้วยการที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างถอยร่นด้วยความพ่ายแพ้ยับเยิน แต่นั่นล้วนเป็นการฝึกปรือฝีมือการต่อสู้ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเท่านั้น
ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพา กำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงได้มีผู้มากพรสวรรค์ รุ่นเยาว์กลุ่มใหญ่ซึ่งมีหนิงเหยาเป็นผู้นำถือกำเนิดขึ้นมา
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไยใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะไม่เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
แน่นอนว่าเด็กหนุ่มหลีเจินที่ได้ครอบครองวิญญาณส่วนหนึ่งของนักโทษอาญาที่อายุมากที่สุดอย่างกวนจ้าวก็คือคนหนึ่งในนั้น ตายไปแล้วก็ตายไป ขนาดท่าน บรรพบุรุษยังไม่เสียดาย ก็ยิ่งไม่ต้องให้เขาป๋ายอิ๋งรู้สึกเสียดายอะไรไปด้วย
ต้องรู้ว่าตอนนี้เผ่าปีศาจก็มีคำกล่าวที่ว่าร้อยเซียนกระบี่รุ่นเยาว์อยู่เหมือนกัน ซึ่งจะกำหนดโดยดูจากคุณสมบัติบนมหามรรคาว่าดีหรือเลว ผลสำเร็จในอนาคตว่า สูงหรือต่ำ ไม่ได้ดูจากความตื้นลึกของขอบเขตหรือพลังการต่อสู้ว่าแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ เปยเชี่ยลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของชายฉกรรจ์เคราดก ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ร้อยคน ก็ยังอยู่แค่อันดับที่สามเท่านั้น
ตามความเคยชินของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ในอดีตหากถึงช่วงเวลาที่สงครามเข้าสู่สภาะสมดุลหรือเลวร้าย เซียนกระบี่จะออกจากหัวกำแพงเมือง แบ่งสนามรบออก แล้วปรากฏตัวอยู่แนวหน้าสุด ขัดขวางการโจมตีต่อจากนั้นของเผ่าปีศาจอย่างสุดกำลัง
จากนั้นก็ถึงคราวที่พวกผู้ฝึกกระบี่เซียนดินและผู้มีพรสวรรค์อย่างหนิงเหยาจะออกจากหัวกำแพงเมืองบ้างแล้ว บนสนามรบแห่งนั้นทั้งสองฝ่ายจะเข่นฆ่าเอาชีวิตกัน เป็นๆ ตายๆ ต่างคนต่างอาศัยความสามารถ ต่างขึ้นอยู่กับชะตากรรมของตัวเอง
เมื่อถึงช่วงเวลานั้นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างที่เรือนกายอ่อนแอก็จะปรากฏตัวอยู่บนหัวกำแพงเมือง หากปีศาจใหญ่ขึ้นหัวกำแพงเมืองได้สำเร็จ ต่อให้ถูกเซียนกระบี่ที่เหนื่อยล้าซึ่งอยู่คอยเฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงเมืองขัดขวาง ก็ยังต้องมีมดน่าสงสารจำนวนนับไม่ถ้วนติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วยอยู่ดี
มีกระบี่บินบินออกจากหัวกำแพงอย่างต่อเนื่อง แสงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนลากเส้นแสงแวววาวมาตามด้านหลัง ระหว่างนี้ก็จะมีผู้ฝึกกระบี่หลายคนคอยดึงเอากระบี่บินกลับไปที่หัวกำแพงเมือง จากนั้นผู้ฝึกกระบี่เหล่านี้ก็จะถอยออกไปจากเส้นแนวหน้าของบนหัวกำแพงเมือง ไปบำรุงกระบี่ กินยา เข้าฌานทำสมาธิ สะสมปราณวิญญาณใหม่อีกครั้งในนครที่อยู่เหนือไปจากกำแพงเมือง
เวลาเดียวกันนั้นผู้ฝึกกระบี่กลุ่มถัดไปก็จะมาชดเชยตำแหน่งที่ว่างอย่างรวดเร็ว ผลัดเปลี่ยนกันลงสนามรบ ออกกระบี่ขัดขวางศัตรู
นี่ก็คือจุดที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ทำให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างปวดหัวมากที่สุด
ผู้ฝึกกระบี่สามารถนั่งพิทักษ์อยู่บนหัวกำแพงเมือง ค่อยๆ เผาผลาญจำนวนของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจไปทีละนิด
เผ่าปีศาจเองก็มีปีศาจใหญ่ที่คอยสังเกตการณ์ศึกสงครามเคยเห็นภาพเหตุการณ์นี้ กับตาตัวเองมาก่อน แล้วก็จำต้องทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังประโยคหนึ่งว่า เผ่าของเราโจมตีเมือง ก็เหมือนมีวัตถุใหญ่โตอ้วนฉุมานั่งอยู่บนสนามรบแล้วคอย แล่เนื้อพวกเรา สภาพนั้นอเนจอนาถไร้ทางช่วยเหลือแค่ไหน ต้องเสียแรงเปล่ากันไปมากเท่าไร
บนกำแพงเมืองปราณกระบี่มีเด็กหนุ่มชุดดำคนหนึ่งปรากฏตัวอย่างลับๆ ล่อๆ ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะกลัวตายมาก หลังจากขึ้นมาบนหัวกำแพงแล้ว ก็ไปรับชุดคลุมอาคมตัวหนึ่งมาจากที่ร้านซึ่งหอกระบี่และหอภูษาสร้างขึ้นไว้ในบริเวณใกล้เคียงชั่วคราว เขาสวมชุดคลุมอาคมไว้บนร่าง ตรงเอวห้อยกระบี่ยาวของหอกระบี่ จากนั้นก็ชักเท้าเผ่นหนี ระหว่างนี้มีภูเขาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ถูกเซียนกระบี่โจมตีจน แหลกสลาย เศษหินกระเด็นว่อน กำแพงเมืองปราณกระบี่นั้นยาวมาก ต่อให้ กระบี่ของเซียนกระบี่จะตีหินให้แตกไปได้เกินครึ่ง แต่กระนั้นก็ยังมีปลาที่หลุดลอดออกจากหว่างแห ยามที่หล่นลงบนหัวกำแพงก็ยังมีพลังอำนาจยิ่งใหญ่อยู่ดี เด็กหนุ่มชุดดำยื่นมือทั้งสองออกไปต้านนรับหินยักษ์ที่ใหญ่ราวกับบ้านแทนผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยห้าขอบเขตกลางบางคนที่หลบไม่ทัน แม้ว่าเด็กหนุ่มชุดดำที่เรือนกายสูงเพรียว โฉมหน้าธรรมดาจะรับหินใหญ่เอาไว้ได้ แต่ก็กระอักเลือดไม่หยุด ไม่รอให้ผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยเหล่านั้นเอ่ยขอบคุณ เด็กหนุ่มก็เช็ดคราบเลือดแล้ววิ่งตะบึงโซเซไปต่ออีกครั้ง
ในที่สุดเด็กหนุ่มคนนี้ก็พบเจอคนคุ้นเคย
ก่อนหน้านี้เขาเองก็ได้เจอคนที่หากว่ากันตามเหตุตามผลแล้วก็ถือว่าคุ้นเคยอยู่หลายคน ยกตัวอย่างเช่นผังหยวนจี้ผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทอง รวมไปถึงเกาโย่วชิงเด็กสาวที่ไม่อยู่ข้างกายเกาเหย่โหวผู้เป็นพี่ชาย แต่กลับมาออกกระบี่อยู่ด้านข้าง ผังหยวนจี้
แล้วก็เจอกับคนหลายคนที่ไม่ค่อยสนิทสนม แล้วก็คาดไม่ถึงเท่าใดนัก พวกเขาล้วนเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาต่อสู้กับศัตรูอยู่ข้างกายเซียนกระบี่จั่วโย่ว ก็คือพวกหลินจวินปี้ จูเหมย จินเจินเมิ่ง
ผู้ฝึกกระบี่มีความสามารถอายุน้อยที่มาจากราชวงศ์เส้าหยวนของปทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอย่างเหยียนลวี่ เจี่ยงกวนเฉิงต่างก็ออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว โดยสารเรือข้ามฟากของภูเขาห้อยหัวออกไป ว่ากันว่าเดินทางไปท่องเที่ยวที่ทักษินาตยทวีปแล้ว
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยอยู่ต่อ เด็กหนุ่มชุดดำไม่ประหลาดใจ แต่พวกหลินจวินปี้สามคนอยู่ต่อ ไม่เพียงแต่ไม่ไปหลบชมศึกอยู่ไกลๆ ในนคร ยังกล้าเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ด้วยตัวเองด้วย เด็กหนุ่มจึงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
หนิงเหยา เตี๋ยจ้าง เฉินซานชิว ต่งฮว่าฝู เยี่ยนจั๋ว ฟ่านต้าเช่อ
คนทั้งหกรวมตัวอยู่ด้วยกัน ต่างคนต่างออกกระบี่สังหารปีศาจ
เตี๋ยจ้างสะพายกระบี่เล่มยักษ์เจิ้นเยว่ (สยบขุนเขา) นี่ก็เป็นเรื่องน่าสนใจของกำแพงเมืองปราณกระบี่เช่นกัน เพราะว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งของ เซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิงก็มีชื่อว่าสยบห้าขุนเขา
นี่ก็เหมือนกับที่ ‘เกาจู๋’ (แสงเทียนส่องสว่าง) กระบี่ประจำกายของเว่ยจิ้น เซียนกระบี่แห่งแจกันสมบัติทวีปบังเอิญมีชื่อตรงกับอาวุธกึ่งเซียนของฉีโซ่ว
เจ้าอ้วนเยี่ยนที่พกกระบี่จื่อเตี้ยนกำลังสบถด่าว่าพวกเผ่าปีศาจหน้าด้าน ไร้ยางอาย ถึงขนาดกล้าใช้วิธีสกปรกเล่นงานข้านายท่านเยี่ยนใหญ่
‘หงจวง’ กระบี่ที่ชื่อมีกลิ่นอายความเป็นสตรีอย่างยิ่งของต่งถ่านดำนั้น เวลานี้วางพาดอยู่บนหัวเข่าของเขา หลานชายตระกูลต่งที่ไม่เคยควักเงินซื้อของผู้นี้ไม่ได้ด่าสัตว์เดรัจฉานเผ่าปีศาจพวกนั้น แต่กลับด่าเจ้าอ้วนเยี่ยนว่าออกกระบี่นุ่มนวลเกินไป ล่องไปลอยมา เหมือนเฉินซานชิวเวลาเมาอย่างไรอย่างนั้น แต่ไหนแต่ไรมาคำพูด คำจาของต่งฮว่าฝูก็มักจะชอบกวาดรวบทุกคนไปด้วยเสมอ เยี่ยนจั๋วจึงบอกว่าวิธีการบังคับกระบี่ประเภทนี้ของตน ต้องเรียกว่าไม่มีร่องรอยให้จับได้ ไม่ใช่ว่าปล่อยกระบี่ไปส่งเดช แต่แท้จริงแล้วมีความพิถีพิถันอย่างถึงที่สุด ไม่เพียงแต่ฝ่ายตรงข้ามที่มอง ไม่ออก แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจ ดังนั้นนี่ต่างหากถึงจะร้ายกาจที่สุด
เฉินซานชิวสวมชุดสีขาว คือชุดคลุมอาคมที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของตระกูลเฉินบนถนนไท่เซี่ยง คุณชายผู้หล่อเหลาสง่างามคนนี้ ฝักกระบี่ของกระบี่พกอวิ๋นเหวิน ของเขาหายสาบสูญไปนานแล้ว มันเคยเป็นกระบี่ของเสี่ยวชวีชวีผู้เป็นสหาย เมื่อเสี่ยวชวีชวีตายไป เฉินซานชิวก็เอามาถือไว้ในมือ ครั้งนี้ขึ้นมาบนหัวกำแพงเขา ได้นำฝักกระบี่ที่หอกระบี่เป็นผู้สร้างมาด้วย จึงสอดอวิ๋นเหวินไว้ด้านใน
ส่วน ‘อวิ๋นเหวิน’ กระบี่เล่มแรกสุดที่เป็นของเขาเฉินซานชิวเองนั้น ตอนนี้ได้ให้ฟ่านต้าเช่อสหายสนิทที่จะทำอย่างไรก็ไม่อาจเลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทองได้สักทียืมไปใช้ชั่วคราว
การบังคับกระบี่ให้ออกจากเมืองไปสังหารปีศาจ ไม่ใช่เรื่องง่ายดายอะไร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!