หลังจากหนิงเหยานั่งลงแล้ว หลิวเอ๋อก็รีบเอาเหล้าภูเขาชิงเสินที่ดีที่สุดกาหนึ่งมาให้ เด็กสาววางกาเหล้าและชามเหล้าไว้แล้วก็เดินจากไป ยังไม่ลืมหยิบชามเหล้าใบใหม่มาเพิ่มให้คนหนุ่มที่ดูท่าทางแล้วจะเจ้าอารมณ์ไม่น้อยคนนั้นด้วย เด็กสาวไม่กล้าอยู่นาน ส่วนเรื่องเงินค่าเหล้าไม่ค่าเหล้า จะขาดทุนหรือไม่ขาดทุนอะไรนั่น ก็อย่าว่าแต่ หลิวเอ๋อเลย ต่อให้เป็นเถาป่านที่จับตามองกิจการของร้านเหล้าอย่างใกล้ชิดที่สุดก็ยังไม่กล้าเอ่ยอะไร เด็กหนุ่มเด็กสาวและเถาป่านพากันไปหลบอยู่ในร้าน ก่อนหน้านี้ บทสนทนาระหว่างเถ้าแก่รองกับคนต่างถิ่นผู้นั้น พวกเขาใช้ภาษาของต่างถิ่น ไม่ว่าใครก็ฟังไม่เข้าใจ แต่ไม่ว่าใครก็ล้วนมองออกว่า วันนี้เถ้าแก่รองผิดปกติอยู่บ้าง
ต่อมาเมื่อหนิงเหยานั่งลง พวกเขาสามคนก็ไม่ได้ยินเสียงของทางฝั่งนั้นแล้ว
หนิงเหยารินเหล้าหนึ่งชามแล้วพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เซียนกระบี่ใหญ่ ผู้อาวุโสเคยบอกว่า ไม่มีใครที่ไม่สามารถตายได้ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าใครที่ต้องตาย อย่างแน่นอน แม้แต่ข้าก็ยังไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาตายอยู่ที่นี่เท่านั้นถึงจะถือว่าไม่ผิดต่อจวนหนิงและกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ยังไม่ถึงคราวของเจ้าเฉินผิงอัน เฉินผิงอัน ข้าชอบเจ้า ไม่ได้ชอบเฉินผิงอันที่วันหน้าจะได้เป็น เซียนกระบี่ใหญ่อะไร หากเจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่ได้ย่อมดีที่สุด แต่หากเป็นผู้ฝึกกระบี่ไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลย ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวต่อไป หรือหากยังมีใจอยากเป็นบัณฑิตก็เป็นบัณฑิตไป”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว”
หลิวเสี้ยนหยางกลับส่ายหน้า กดเสียงต่าคล้ายพึมพำกับตัวเองว่า “เห็นๆ อยู่ว่าไม่ได้เข้าใจอะไรเลยสักนิด”
หนิงเหยาขมวดคิ้ว หันไปมองทางกำแพงเมืองปราณกระบี่แวบหนึ่ง “ก็แค่ว่า ก่อนหน้านี้เซียนกระบี่ผู้อาวุโสไม่อนุญาตให้ข้าพูดมาก เขาบอกว่าจะดูแลเจ้า มากหน่อย ตั้งใจให้เจ้าคิดมากๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นการเดินทางมาหาประสบการณ์ครั้งนี้ก็เสียเปล่า ดิ้นรนมีชีวิตรอดท่ามกลางความตาย อีกทั้งยังรอดมาได้ด้วยความสามารถของตัวเอง นั่นต่างหากจึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการขัดเกลาและฟูมฟักตัวอ่อนกระบี่ออกมา ไม่อย่างนั้นคนอื่นมอบให้เจ้า ช่วยเหลือเจ้า ต่อให้เป็นแค่การช่วยประคับประคองหนึ่งครั้ง ช่วยชี้แนะไขข้อข้องใจให้ครั้งสองครั้ง ก็ยังขาดความหมายบางอย่างไปอยู่ดี”
หลิวเสี้ยนหยางยังคงส่ายหน้า “ไม่รวดเร็วฉับไว ไม่รวดเร็วฉับไวเอาเสียเลย ข้ารู้อยู่แล้วว่าต้องเฮงซวยแบบนี้ แต่ละคนมองดูเหมือนไร้ข้อเรียกร้อง แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นคนข้างกายพวกนี้นี่แหละที่ชอบเรียกร้องและเข้มงวดกับผิงอันน้อยของข้าที่สุด”
หนิงเหยาไม่สนใจหลิวเสี้ยนหยาง ยังพูดอย่างเก็บออมคำว่า “ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ก็อย่าได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นกรณีพิเศษ จึงรู้สึกผิดในใจ ผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยที่ เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสให้การดูแล หมื่นปีที่ผ่านมานี้มีอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ว่าบางคน ก็พูดคุยกันได้ แต่ที่มากกว่านั้นกลับไม่เคยเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว ตัวผู้ฝึกกระบี่เอง ก็ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย อันที่จริงแรกเริ่มข้าก็ไม่รู้สึกว่าทำอย่างนี้จะมีความหมายอะไร จึงไม่ได้ตอบตกลงเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส แต่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็โน้มน้าวข้าอีก เขาบอกว่าอยากจะลองดูใจของเจ้าอีกสักนิดว่าจะมีค่าพอให้เขาคืนกล่องกระบี่ไม้ไหวใบนั้นหรือไม่”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้านึกว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสลืมเรื่องนี้ไปแล้ว เหมือนกับเรื่องไปสู่ขอนั่นแหละ”
หลิวเสี้ยนหยางยื่นนิ้วมาหมุนชามขาวที่วางอยู่บนโต๊ะเบาๆ พึมพำว่า “ถึงอย่างไรเวทกระบี่ก็สูงขนาดนั้น จะมอบให้ผู้น้อยก็มอบให้ไปเยอะๆ เลยสิ จะดีจะชั่วก็ควรจะให้เหมาะสมกับสถานะและเวทกระบี่ของตัวเองหน่อย”
ด้านล่างของโต๊ะ เฉินผิงอันกระทืบเท้าใส่หลังเท้าของหลิวเสี้ยนหยางเต็มแรง
หลิวเสี้ยนหยางจึงยื่นสองนิ้วประกบกันคล้ายท่ามุทรากระบี่ แล้ววางตั้งไว้เบื้องหน้า “ไม่เจ็บๆ ตะพาบปีนรัง!”
อันที่จริงหนิงเหยาไม่ค่อยชอบพูดเรื่องพวกนี้ ความคิดมากมายล้วนแล่นอยู่ในสมองของนาง ผ่านไปแล้วก็คือผ่านไป ก็เหมือนการชำระล้างกระบี่ ไม่ต้องการก็ไม่มีอยู่ แต่หากต้องการ แน่นอนว่าย่อมมีความคิดที่ผุดสืบเนื่องขึ้นมาเอง สุดท้ายกลายเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ และส่วนใหญ่แล้วก็มักจะแสดงออกบนเวทกระบี่ ปณิธานกระบี่หรือวิถีกระบี่เท่านั้น เพียงแค่นี้เอง ไม่จำเป็นต้องให้พูดออกมา แม้แต่น้อย
แต่วันนี้กลับเป็นข้อยกเว้น
หนิงเหยาคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ตอนนี้ความคิดของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสมีไม่มากนัก มีหรือจะลืมเรื่องพวกนี้ เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเคยบอกกับข้าเองว่า ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาล้วนไม่กลัว กลัวก็แต่จะติดหนี้คนอื่นเท่านั้น”
หนิงเหยาเอ่ยเสริมอีกว่า “ความคิดไม่มาก เรื่องที่คิดเรื่องที่กังวลจึงจะเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่าของคนทั่วไป นี่ก็คือสภาพจิตใจที่ผู้ฝึกกระบี่สมควรมี ผู้ฝึกกระบี่ออกกระบี่ก็ควรจะมุ่งตรงไปบนมหามรรคา แสงกระบี่สว่างไสวเจิดจ้า เพียงแต่ข้ากังวลว่าตัวเองที่แต่ไหนแต่ไรมาก็คิดน้อย ส่วนเจ้าก็คิดมากกับทุกเรื่อง แต่กลับกลายเป็นว่าไม่เคยทำความผิดพลาดอะไร กังวลว่าข้าพูดไปแล้วจะไม่เหมาะกับเจ้า ดังนั้นจึงอดทนเอาไว้ไม่พูดเรื่องพวกนี้ วันนี้หลิวเสี้ยนหยางพูดกับเจ้าชัดเจนแล้ว ทั้งคำพูดที่เป็นกลาง คำพูดที่เห็นแก่ตัว และคำพูดจากจิตสำนึกก็ล้วนพูดหมดแล้ว ข้าถึงได้รู้สึกว่าสามารถพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าได้ เรื่องที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสกำชับมา ข้าก็คงไม่ไปควบคุม กะเกณฑ์อะไรอีกแล้ว”
สุดท้ายหนิงเหยาเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรข้าก็มีความคิดเพียงเท่านี้ ไม่ว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่จะรักษาไว้ได้หรือไม่ พวกเราก็ต้องมีชีวิตอยู่ไปด้วยกัน เจ้าและข้าไม่ว่าใครก็ห้ามตาย! วันหน้าออกกระบี่ก็ดี ออกหมัดก็ช่าง ถึงอย่างไรก็มีแต่จะมากกว่าเดิม เพราะเจ้าและข้าต่างก็ไม่ใช่คนที่ความจำแย่ ข้อนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรกับใคร ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสกับจั่วโย่ว ก็ไม่ต้องพิสูจน์กับพวกเขา แค่ข้ารู้ก็พอแล้ว ดังนั้นเจ้าจะรู้สึกผิดอะไร? ในอนาคตใครกล้าเอาเรื่องนี้มาพูด เจ้าชอบใช้หลักการเหตุผล แต่ข้าไม่เคยชอบ ขอแค่พูดให้ข้าได้ยิน ก็มาถามกระบี่กับข้าดู”
เฉินผิงอันยิ้มกว้างสดใส “คราวนี้เข้าใจจริงๆ แล้ว!”
หลิวเสี้ยนหยางตบโต๊ะดังป้าบ “น้องสะใภ้ พูดจาแจ่มแจ้งชัดเจน! ไม่เสียแรง ที่เป็นหนิงเหยาซึ่งสามารถพูดคำว่า ‘มุ่งตรงไปบนมหามรรคา แสงกระบี่สว่างไสว เจิดจ้า’ ได้ สมกับเป็นหนิงเหยาที่ปีนั้นข้าแค่มองก็รู้ว่าต้องได้เป็นน้องสะใภ้ของข้าจริงๆ !”
“หลิวเสี้ยนหยาง เหล้าชามนี้ขอคารวะเจ้า! มาช้าไปหน่อย แต่ก็ดีกว่าไม่มา”
หนิงเหยากระดกเหล้าในชามรวดเดียวหมด แล้วจึงเก็บกาเหล้าและชามเหล้าไว้ในวัตถุจื่อชื่อ ลุกขึ้นพูดกับเฉินผิงอันว่า “เจ้าดื่ม
เหล้ากับหลิวเสี้ยนหยางต่อเถอะ รักษาบาดแผลให้หายแล้วค่อยไปสังหารปีศาจบนหัวกำแพงเมือง”
หลิวเสี้ยนหยางลุกขึ้นยืนพร้อมกับเฉินผิงอัน หัวเราะร่าเอ่ยว่า “น้องสะใภ้พูดแบบนี้ได้ ข้าก็วางใจมากแล้ว ต้องโทษที่ข้าออกมาจากบ้านเกิดเร็วเกินไป ไม่อย่างนั้นใครเรียกใครเป็นน้องสะใภ้ ใครเรียกใครว่าภรรยาก็ยังไม่แน่แล้ว”
เฉินผิงอันถองเข้าที่หน้าอกของหลิวเสี้ยนหยาง
หนิงเหยายิ้มถาม “สตรีในตรอกหนีผิงที่ชอบมองคนด้วยหางตา พูดจาเหน็บแนมเสียดหูคนผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้วเล่า?”
หลิวเสี้ยนหยางแยกเขี้ยวนวดคลึงตรงหัวใจตัวเอง พูดหน้าบูดว่า “พูดจาไม่เปิดโปงข้อเสียของผู้อื่น ตีคนไม่ข่วนหน้า นี่คือคุณธรรมข้อแรกที่ยุทธภพบ้านเกิดพวกเรายึดถือ”
หนิงเหยาขี่กระบี่จากไป ปราณกระบี่ดุจสายรุ้งทรงอำนาจเปี่ยมพลัง
หลิวเสี้ยนหยางจุ๊ปากเอ่ยชื่นชม “เฉินผิงอันที่จู้จี้อืดอาดได้ภรรยาที่คล่องแคล่วฉับไวแบบนี้ ช่างน่าประหลาดนัก”
เฉินผิงอันถอนสายตากลับมาแล้วนั่งลง ไม่ได้ดื่มเหล้า สอดสองมือเข้าไว้ใน ชายแขนเสื้อ ถามว่า “ขนบธรรมเนียมการเรียนของสกุลเฉินผู้รอบรู้เป็นอย่างไรบ้าง?”
เกี่ยวกับสกุลเฉินผู้รอบรู้ นอกจากปฏิทินเหลืองของถ้าสวรรค์หลีจู และเฉินฉุนอันที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งทักษินาตยทวีปแล้ว ลูกหลานสกุลเฉินอิ่งอินที่เคยสัมผัสมาก่อนอย่างแท้จริงก็มีเพียงสตรีที่ชื่อว่าเฉินตุ้ยเท่านั้น ปีนั้นเฉินผิงอันกับหนิงเหยาเคยขึ้นภูเขาไปตามหาต้นข่ายที่ขึ้นบนสุสานซึ่งมีความหมายอย่างมากสำหรับตระกูลปัญญาชนพร้อมกับเฉินตุย เฉินซงเฟิงหลานชายคนโตของสกุลเฉินลำธารหลงเหว่ย และยังมีหลิวป้าเฉียวผู้ฝึกกระบี่แห่งสวนลมฟ้า
ตอนนั้นความประทับใจที่เฉินผิงอันมีต่อสตรีคนต่างถิ่นผู้นั้นไม่ดีไม่แย่
หลิวเสี้ยนหยางไม่ชอบดื่มเหล้า จึงสั่งบะหมี่หยางชุนและผักดองมาอย่างละจาน เทผักดองใส่บะหมี่แล้วคนให้เข้ากัน เท้าข้างหนึ่งเหยียบบนม้านั่งตัวยาว กินสองสามคำบะหมี่หยางชุนก็หมด จากนั้นก็อึ้งตะลึง มองชามที่ว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่งถึงหันหน้ามาถามว่า “บะหมี่หยางชุนนี่เก็บเงินหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “นอกจากเหล้าแล้ว ทุกอย่างล้วนไม่เก็บเงิน”
หลิวเสี้ยนหยางกล่าวอย่างคนกระจ่างแจ้งในฉับพลัน “ข้าก็ว่าแล้วเชียว ทำการค้าแบบนี้ ไม่ช้าก็เร็วเจ้าต้องถูกคนฟันตายแน่”
หลิวเสี้ยนหยางนึกถึงคำถามก่อนหน้านี้ของเฉินผิงอันขึ้นมาได้ จึงเอ่ยว่า “ศึกษาอยู่ที่นั่น สงบสุขมั่นคงมาก ตอนที่ข้าเพิ่งไปถึงที่นั่นก็ได้ของขวัญชิ้นใหญ่มาหลายชิ้น อย่างพวกลมเปิดหน้าหนังสือ ปลาน้าหมึกอะไรพวกนั้น ภายหลังก็ล้วน ส่งมาให้เจ้ากับเจ้าขี้มูกยืดน้อยหมดแล้ว อยู่กับสกุลเฉินผู้รอบรู้นั่น ไม่มีอุปสรรคใดให้พูดถึง ก็แค่ทุกวันต้องไปฟังอาจารย์ถ่ายทอดความรู้ไขข้อข้องใจ บางครั้งก็ออกไปทัศนศึกษาข้างนอก ทุกอย่างล้วนราบรื่นอย่างมาก ข้าชอบไปนั่งชื่นชมทัศนียภาพอยู่บนก้อนหินใหญ่ริมแม่น้าสายหนึ่ง ก้อนหินนั่นค่อนข้างคล้ายหินหลังควายที่ปีนั้น พวกเราสามคนชอบไปเล่นกันประจำ ต่อให้ข้าอยากจะระบายความทุกข์ให้เจ้าฟัง แสร้งทำเป็นว่าตัวเองน่าสงสารก็ยังไม่มีโอกาส เมื่อเทียบกับเจ้าแล้ว ข้าก็โชคดีกว่ามากจริงๆ หวังว่าวันหน้าจะยังรักษาความโชคดีนี้ไปได้เรื่อยๆ”
เฉินผิงอันผ่อนลมหายใจโล่งอก
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “ต่อให้มีความน้อยเนื้อต่าใจเหมือนภรรยาตัวน้อยที่ไม่ได้รับความยุติธรรมจริงๆ แต่ข้าหลิวเสี้ยนหยางยังต้องรอให้เจ้าช่วยออกหน้าให้อีกหรือ? ลองถามโนธรรมในใจตัวเองดูเถิด นับตั้งแต่ที่พวกเราสองคนเป็นสหายกันมา ใครที่คอยดูแลใครกันแน่?”
เฉินผิงอันชูชามเหล้าขึ้น ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าเกือบจะถูกเจ้าสัตว์เดรัจฉานเฒ่าของภูเขาตะวันเที่ยงตัวนั้นต่อยตาย ภายหลังก็ยังไม่ใช่ข้าที่ช่วยระบายความแค้นให้เจ้าไปได้เล็กน้อยหรอกหรือ?”
พูดคุยกับหลิวเสี้ยนหยางไม่จำเป็นต้องรักษาหน้าตาใดๆ เรื่องของความหน้าไม่อายนี้ เฉินผิงอันรู้สึกว่าอย่างมากสุดตนก็มีความสามารถได้แค่ครึ่งของหลิวเสี้ยนหยางเท่านั้น
หลิวเสี้ยนหยางยังคงยกเท้าวางบนม้านั่งตัวยาว ใช้ตะเกียบเคาะโต๊ะ แสร้งพูดอย่างลึกลับว่า “เรื่องนี้เจ้าคงไม่รู้สินะ นั่นเป็นแผนการที่ข้าคิดคำนวณมาเป็นอย่างดีแล้ว หากไม่ใช้แผนเจ็บตัวแบบนี้ เด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลนแห่งตรอกหนีผิงอย่างเจ้า ตอนนั้นหน้าตาหล่อเหลาไม่ได้เสี้ยวของข้าเลยสักนิด ผอมอย่างกะลำไม้ไผ่บวกกับ ผิวดำเป็นถ่าน จะมีโอกาสได้ใกล้ชิดหนิงเหยาหรือ? เจ้าบอกมาเองเลยว่า ใครกันแน่ที่เป็นพ่อสื่อคนสำคัญที่สุดระหว่างพวกเจ้าสองคน?”
เฉินผิงอันหัวเราะร่าชอบใจ
หลิวเสี้ยนหยางรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย “คิดไม่ถึงเลยว่านอกจากเหล้าหมักข้าวเหนียวของบ้านเกิดแล้ว การดื่มเหล้าครั้งแรกที่แท้จริงในชีวิตนี้ของข้า จะไม่ใช่การคล้องแขนดื่มสุรามงคลกับภรรยาของตัวเองในอนาคต พี่น้องอย่างข้านี้ก็นับว่ามีคุณธรรมน้าใจมากนัก ไม่รู้เหมือนกันว่าภรรยาของข้าตอนนี้เกิดหรือยัง นางที่รอคอยข้าอยู่จะร้อนใจหรือไม่”
เฉินผิงอันดื่มเหล้า คำที่หลิวเสี้ยนหยางบอกว่าหลังออกจากบ้านเกิดไปก็ไม่เคยดื่มเหล้าอีก ดูท่าแล้วน่าจะเป็นความจริง
“ในสกุลเฉินผู้รอบรู้ ส่วนใหญ่ล้วนมีแต่คนดี แต่นิสัยเสียๆ น้อยใหญ่บางอย่างที่พวกคนหนุ่มสาวสมควรมี ล้วนเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “ข้าที่อยู่ที่นั่นก็ได้รู้จักกับสหายบางส่วนเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นคนหนึ่งในนั้น คราวนี้ก็มาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วย คือน้องชายแท้ๆ ของเฉินตุ้ยผู้นั้น มีนามว่าเฉินซื่อ นิสัยไม่เลวเลยล่ะ ตอนนี้เป็นนักปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อแล้ว
ดังนั้นย่อมไม่ขาดกลิ่นอายของตำรา อีกทั้งยังเป็นลูกหลานสกุลเฉิน แน่นอนว่าต้องมีกลิ่นอายของนายท่านใหญ่อยู่บ้าง ยิ่งมีกลิ่นอายของเซียนบนภูเขา นิสัย สามอย่างนี้ บางครั้งก็แสดงนิสัยหนึ่งในนั้น บางครั้งก็แสดงสองนิสัย น้อยครั้งนักที่จะแสดงสามนิสัยพร้อมกัน ถึงเวลานั้นต่อให้คิดจะขวางก็ขวางไม่อยู่”
เฉินผิงอันถาม “ขอบเขตของเจ้าตอนนี้คือ?”
มองตื้นลึกไม่ออก รู้แค่ว่าหลิวเสี้ยนหยางน่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลาง คนหนึ่ง
หลิวเสี้ยนหยางโบกมือ “อย่าถามเลย ไม่อย่างนั้นเจ้าคงอับอายจนต้องกุมหัวร้องไห้คร่าครวญ”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “เรื่องที่เกี่ยวกับข้า สามารถแพร่ไปถึงเรือนชุนฟานได้ ย่อมไม่ใช่แค่เรื่องที่ข้าเปิดร้านเท่านั้น เรื่องการต่อสู้หลายๆ ครั้งที่ผ่านมา เจ้าก็ล้วน ได้ยินมาหมดแล้วไม่ใช่หรือ?”
หลิวเสี้ยนหยางถาม “ตอนนี้เจ้าคือผู้ฝึกกระบี่?”
เฉินผิงอันได้แต่ส่ายหน้า
หลิวเสี้ยนหยางถามอีกครั้ง “ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเท่าไร?”
เฉินผิงอันไม่อยากพูดอีก
หลิวเสี้ยนหยางชี้ไปที่พื้น “แล้วยังไม่คุกเข่าพูดกับนายท่านใหญ่หลิวอีกหรือ?”
เฉินผิงอันพูดเสียงขุ่น “จะดีจะชั่วข้าก็ยังเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดคนหนึ่ง”
หลิวเสี้ยนหยางทำหน้าตกตะลึง “ต่อยแม่นางคนหนึ่งไป เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกหรือ?”
เฉินผิงอันถามอย่างประหลาดใจ “เจ้าคือผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางแล้ว?”
หลิวเสี้ยนหยางยื่นสองมือออกมาขยับคอเสื้อให้เข้าที่ สะบัดชายแขนเสื้ออีก สองสามที กระแอมอยู่สองสามครั้ง
แต่เฉินผิงอันกลับเปลี่ยนหัวข้อคุยไปแล้ว “นอกจากเพื่อนคนนั้นของเจ้า คราวนี้ คนของสกุลเฉินผู้รอบรู้ยังมีใครมาอีกบ้าง?”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “เจ้าจะมาสนใจเรื่องพวกนี้ไปทำไม?”
เฉินผิงอันเองก็สะบัดชายแขนเสื้อ พูดหยอกล้อว่า “ข้าคือลูกศิษย์ผู้สืบทอด สายเหวินเซิ่ง เจ้าสำนักสกุลเฉินอิ่งอินคือผู้สืบทอดของสายหย่าเซิ่ง เจ้าไปขอศึกษาต่ออยู่กับสกุลเฉินผู้รอบรู้ ตามระบบสายบุ๋นของใต้หล้าไพศาลแล้ว เจ้าลองว่ามาสิว่าลำดับศักดิ์นี้จะนับกันอย่างไร?”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “บังเอิญนัก ครั้งนี้เจ้าประมุขสกุลเฉินก็มาเยือน กำแพงเมืองปราณกระบี่เหมือนกัน ข้าเองก็รู้จักเขา มักจะขอความรู้จากท่านผู้เฒ่าอยู่เป็นประจำ ส่วนเรื่องที่ว่าสรุปแล้วลำดับศักดิ์ของพวกเราสองคนจะนับอย่างไรกันแน่ ก็รอให้ข้าถามผู้อาวุโสท่านนี้ก่อนค่อยว่ากัน”
เฉินผิงอันหุบยิ้ม แสร้งทำสีหน้ากระอักกระอ่วน ตอนที่ก้มหน้าดื่มเหล้ากลับรวมเสียงให้เป็นเส้นพูดกับหลิวเสี้ยนหยางเบาๆ ว่า “ไม่ต้องรีบร้อนกลับแจกันสมบัติทวีป จะอยู่ต่อในทักษินาตยทวีปก็ได้ แค่ไม่ต้องไปแจกันสมบัติทวีป โดยเฉพาะใบถงทวีปกับฝูเหยาทวีปที่ห้ามไปเด็ดขาด บัญชีเก่าระหว่างภูเขาตะวันเที่ยงกับนครลมเย็นปล่อยทิ้งไว้ก่อนค่อยว่ากัน รอให้ตัวเองได้เป็นเซียนกระบี่เสียก่อน ไม่ใช่เซียนกระบี่ ห้าขอบเขตบน แล้วจะฝ่าค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขาตะวันเที่ยงได้อย่างไร? ข้าเคยคำนวณมาแล้ว หากไม่ใช้กลอุบายและวิธีการบ้างเลย ต่อให้เจ้าและข้ามีพลังการต่อสู้เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ ก็ยังยากจะที่ได้เปรียบภูเขาตะวันเที่ยง ค่ายกลกระบี่ของพวกเขามิอาจดูแคลนได้ อีกทั้งตอนนี้ยังมีผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่อำพรางตัวตนอย่างลึกล้าเพิ่มมาอีกคน เขาปิดด่านนานเก้าปีแล้ว ดูจากสถานการณ์ต่างๆ ความเป็นไปได้ที่จะฝ่าด่านประสบความสำเร็จมีอยู่ไม่น้อย
ไม่อย่างนั้นสองฝ่ายที่ลมและน้าเปลี่ยนทิศ หลี่ถวนจิ่งอดีตเจ้าสวนลมฟ้าตายไป กว่าที่ภูเขาตะวันเที่ยงจะเงยหน้าอ้าปากได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยนิสัยของคนมากมายในศาลบรรพจารย์ภูเขาตะวันเที่ยง ป่านนี้คงไปแก้แค้นสวนลมฟ้านานแล้ว ไม่มีทางอดทนรอให้หวงเหอปิดด่านและรอให้หลิวป้าเฉียวฝ่าทะลุขอบเขตเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน สวนลมฟ้าไม่ใช่ภูเขาตะวันเที่ยง ฝ่ายหลังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ ราชสำนักต้าหลี ในเรื่องของความสัมพันธ์กับด้านล่างภูเขา หวงเหอกับหลิวป้าเฉียวสืบทอดนิสัยการวางตัวในสังคมจากหลี่ถวนจิ่งผู้เป็นอาจารย์ของพวกเขา นั่นคือ ลงจากภูเขาก็แค่ไปท่องอยู่ในยุทธภพเท่านั้น ไม่เคยเข้าร่วมกับราชสำนัก ดังนั้น หากพูดถึงแค่ความสัมพันธ์ควันธูปกับสกุลซ่งต้าหลี สวนลมฟ้าก็ด้อยกว่าภูเขา ตะวันเที่ยงมากนัก แม้ว่าช่างหร่วนจะเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของต้าหลี ไม่ว่า จะทางส่วนรวมหรือทางส่วนตัวต้าหลีก็ให้ความเคารพและอยากดึงเขามาเป็นพวก ดังนั้นภายหลังจึงแบ่งพื้นที่ขนาดใหญ่ในแถบขุนเขาเก่ายกให้สำนักกระบี่หลงเฉวียนไปด้วย แต่จิตใจของคนเป็นจักรพรรดิ ฮ่องเต้หนุ่มมีหรือจะยอมให้สำนักกระบี่ หลงเฉวียนค่อยๆ กลายเป็นใหญ่ สุดท้ายฮุบครองกิจการทั้งหมดไปเพียงลำพัง? มีหรือจะยอมให้ช่างหรวนรวบรวมตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ส่วนใหญ่ของทวีปไปไว้ที่สำนักตัวเองคนเดียว อย่างมากสุดก็ใช้สำนักศึกษากวานหูเป็นเส้นแบ่ง สร้างสถานการณ์การ คุมเชิงหนึ่งเหนือหนึ่งใต้ระหว่างสำนักกระบี่หลงเฉวียนกับภูเขาตะวันเที่ยงขึ้นมา ดังนั้นขอแค่มีโอกาสที่ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนคนหนึ่งจะปรากฎตัวที่ภูเขา ตะวันเที่ยง ต้าหลีก็ย่อมต้องให้ความช่วยเหลือภูเขาตะวันเที่ยงอย่างเต็มที่แน่นอน และต้าหลีก็มีคนมีความสามารถมากมาย เพื่อให้สะดวกต่อการสยบโชคชะตาของแคว้นจูอิ๋ง พวกเขาก็ย่อมต้องหน่วงเหนี่ยวสำนักกระบี่หลงเฉวียนต่อไป”
“สำนักอย่างภูเขาตะวันเที่ยงนี้ ต่อให้ผูกปมแค้นกับเจ้าและข้า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่ว่าการวางตัวเป็นคนก็ดี หรือวางตัวเป็นเทพเซียนบนภูเขาก็ช่าง ผู้ฝึกตนของ ภูเขาตะวันเที่ยงล้วนมีวิธีการรับมืออันยอดเยี่ยม อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง พูดถึงแค่สตรีน่าสงสารคนนั้น หากไม่พูดถึงเรื่องบุญคุณความแค้น ดูแค่จากผลลัพธ์ ถึงอย่างไรก็สามารถใช้ความรักกักขังหลี่ถวนจิ่งเอาไว้ได้
เป็นเหตุให้หลี่ถวนจิ่งมิอาจเลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตบนได้ตลอดชีวิต ในช่วงเวลาระหว่างนี้ ศาลบรรพจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงจะต้องพูดจารุนแรงกับสตรีคนนั้นไว้มากมายอย่างแน่นอน สามารถทำร้ายไปถึงจิตแห่งกระบี่และจิตแห่งมรรคาของ หลี่ถวนจิ่งได้ ต้องไม่ได้ง่ายดายแค่เพราะสตรีผู้นั้นนิสัยร้ายกาจ ทรยศความรักลึกล้า ที่เขามีต่อนางเท่านั้น ด้วยสายตาและจิตใจอันกว้างขวางของหลี่ถวนจิ่งแล้ว เรื่องแค่นี้ย่อมไม่มีทางทำให้เขามอดดับไปได้ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าภูเขา ตะวันเที่ยงทำให้หลี่ถวนจิ่งค้นพบความจริงอย่างหนึ่ง สตรีผู้นั้นรักหลี่ถวนจิ่ง นี่เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน แต่ก็เพราะมีความรักลึกล้า สุดท้ายแล้วสตรีผู้นั้นกลับเลือกสำนักหรือไม่ก็ทำเรื่องที่หลี่ถวนจิ่งไม่อาจยอมรับ ยิ่งไม่อาจปล่อยวางได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้หลี่ถวนจิ่งจะฆ่านางตายไปแล้วก็ยังเคียดแค้นมายาวนานหลายร้อยปี ตระกูล แห่งหนึ่ง ขนบธรรมเนียมประจำตระกูลเป็นอย่างไร สำนักแห่งหนึ่ง ขนบธรรมเนียมประจำสำนักเป็นอย่างไร ดูจากการเลือกและการละทิ้งที่พวกบุคคลใหญ่ๆ กระทำต่อเรื่องใหญ่ๆ แล้วก็มาดูนิสัยใจคอของเด็กรุ่นหลังที่พวกเขาอบรมสั่งสอนออกมา สุดท้ายค่อยดูนิสัยด้านการเลือกและสละผลประโยชน์ของคนลำดับล่าง ดูทั้งระดับบนกลางและล่าง ก็ยากที่จะผิดพลาดได้แล้ว ปีนั้นสตรีสกุลสวี่ของนครลมเย็นผู้นั้นเป็นทั้งพันธมิตรกับวานรย้ายภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยง แล้วก็วางแผนทำร้ายกันเองด้วย ตอนนี้เป็นอย่างไร ทั้งสองฝ่ายยังใช่พันธมิตรที่ความสัมพันธ์ยิ่งแน่นหนามั่นคงหรือไม่? จะว่าไปแล้วก็เพราะนิสัยเข้ากันได้ดี สันดานเหมือนกัน ผู้ที่เห็นแก่ประโยชน์ตนเอง ส่วนมากแล้วภายนอกมักจะมีเพื่อนมากเสมอ ขอแค่เจ้าออกกระบี่แล้วไม่ทำร้ายไปถึงรากฐานและภายในของพวกเขา สหายภายนอกของภูเขาตะวันเที่ยงก็ยังคงเป็นสหายของภูเขาตะวันเที่ยง ถึงขั้นที่ว่าจะทำให้ผู้ฝึกตนจำนวนมากที่เดิมทีรู้สึกเฉยๆ ต่อ ภูเขาตะวันเที่ยงกลายมาเป็นเพื่อนของภูเขาตะวันเที่ยง หรืออาจถึงขั้นยินดีผดุงความเป็นธรรมแทนภูเขาตะวันเที่ยงด้วย”
“มาพูดถึงเด็กหญิงแซ่เถาในปีนั้นคนนั้นบ้าง นางกับบุตรชายเจ้าประมุขสกุลสวี่นครลมเย็นมีนิสัยเป็นอย่างไร หากเจ้ายินดีฟัง ข้าก็สามารถบอกเล่าเรื่องเล็กๆ สิบกว่าเรื่องให้เจ้าฟังได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย
เพราะถูกขนบธรรมเนียมประจำตระกูลกล่อมเกลา พวกเขาจึงไม่ทำให้คนประหลาดใจแม้แต่น้อย ภูเขาตะวันเที่ยงในทุกวันนี้ไม่ใช่ภูเขาตะวันเที่ยงเหมือน ตอนที่หลี่ถวนจิ่งมีชีวิตอยู่บนโลกอีกแล้ว แล้วก็ไม่ใช่ภูเขาตะวันเที่ยงที่เมื่อหลี่ถวนจิ่งลาจากโลกนี้ไปก็ไม่มีใครมาคอยข่มทับอีกแล้ว ตอนนี้คือสถานการณ์ที่ใหญ่ยิ่งกว่า ซึ่งหนึ่งทวีปก็คือหนึ่งแคว้น ข้าและเจ้าจำเป็นต้องพิจารณาว่าควรจะสะบั้นความสัมพันธ์ควันธูประหว่างสกุลซ่งต้าหลีและภูเขาตะวันเที่ยงอย่างไร ทำอย่างไรจึงจะตัดภูเขาตะวันเที่ยงออกจากพันธมิตรมากมายของพวกเขาได้ ก่อนจะถามกระบี่ ควรจะไล่เรียงความพัวพันของผลประโยชน์ระหว่างสามขุนเขาใหญ่ภายในของ ภูเขาตะวันเที่ยงได้อย่างไร ทำอย่างไรจึงจะมองนิสัยใจคอของบรรพจารย์ทุกคนในศาลบรรพจารย์ได้อย่างถ่องแท้ แล้วนำมาวิเคราะห์ถึงวิธีการอันเป็นดั่งสมบัติก้นกรุ ที่ภูเขาตะวันเที่ยงจะเอาออกมาใช้ยามที่เผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ คิดเรื่องทั้งหมดนี้ให้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่อยออกระบี่ แบบนั้นการออกระบี่ที่เหมือนกันก็จะสามารถทำให้ศัตรูรู้สึกเจ็บปวดได้เป็นร้อยเท่า หลังออกกระบี่แล้วก็ไม่เพียงแต่ทำร้ายเรือนกายของอีกฝ่าย ยังต้องทำร้ายไปถึงจิตใจของอีกฝ่ายด้วย สองอย่างนี้แตกต่างกันราวฟ้า กับเหว ผู้ฝึกตนรักษาบาดแผลก็แค่ปิดด่านเท่านั้น ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้ภูเขา ตะวันเที่ยงรู้สึกเคียดแค้นเหมือนมีศัตรูร่วมกัน กลับกลายเป็นหันมาช่วยให้พวกเขารวบรวมจิตใจคน แต่หากออกกระบี่ได้อย่างแม่นยำ นอกจากจะทำร้ายคนคนหนึ่งหรือคนหลายคนได้แล้ว ยังสามารถลามไปถึงจิตใจของคนได้เป็นวงกว้าง เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้เจ้าและข้าจะออกกระบี่อย่างสาแก่ใจ เก็บกระบี่กลับมาอย่างสะใจเต็มคราบแล้ว คนของภูเขาตะวันเที่ยงก็จะยังคงต้องกลัดกลุ้มไปอีกสิบปีร้อยปี และย่อมมี คนสิบคนร้อยคนช่วยออกกระบี่ต่อแทนเจ้าและข้า แต่ละกระบี่ทำลายไปถึงใจคน”
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะ มองเฉินผิงอันที่เปลี่ยนจากคนใบ้ครึ่งตัวมาเป็นผีขี้บ่นโดยไม่ทันรู้ตัว แล้วหลิวเสี้ยนหยางก็พลันเอ่ยถ้อยคำที่ชวนประหลาดใจว่า “ขอแค่ ตัวเจ้าเองยินดีจะมีชีวิตอยู่ต่อ ไม่เหมือนเจ้าตอนที่ข้าเพิ่งรู้จักแรกๆ ที่ไม่เคยคิดว่าการตายเป็นเรื่องใหญ่อะไร
ถ้าอย่างนั้นการที่เจ้าเดินออกมาจากถ้าสวรรค์หลีจูก็คือเรื่องที่ถูกต้องที่สุดแล้ว เพราะอันที่จริงเจ้าเหมาะที่จะใช้ชีวิตในโลกอันวุ่นวายใบนี้ยิ่งกว่าใคร แบบนี้ข้าก็วางใจจริงๆ แล้ว”
เฉินผิงอันรู้สึกร้อนใจไม่น้อย จึงเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “สรุปว่าเจ้าฟังเข้าหูบ้างหรือไม่?!”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ฟังเข้าหูแล้ว ข้าไม่ใช่คนหูหนวกเสียหน่อย”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าระงับความอัดอั้นไปหนึ่งคำ
หลิวเสี้ยนหยางถามสัพยอกว่า “หลายปีมานี้เจ้าคิดเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลาเลยหรือ?”
เฉินผิงอันพูดเสียงขุ่น “ฝึกหมัดฝึกตนล้วนไม่เคยอยู่ว่าง เพราะฉะนั้นขอแค่มีเวลาว่างก็จะคิดถึงเรื่องนี้”
หลิวเสี้ยนหยางชี้นิ้วไปที่ชามเหล้า “พูดมากขนาดนี้ คอแห้งแล้วกระมัง”
เฉินผิงอันเพียงแค่เอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ โดยไม่ทันรู้ตัว เขาก็ไม่มีความคิดที่จะดื่มเหล้าแล้ว
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ย “เจ้าเข้าใจจริงๆ หรือไม่ว่าเหตุใดภูเขาตะวันเที่ยงและ นครลมเย็นถึงได้เป็นเช่นนี้?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!