ทะเลเมฆเหนือม่านฟ้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ อริยะลัทธิเต๋าลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะผู้ที่มาเยือนอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ยิ้มเอ่ย “หาได้ยากๆ”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “มองไกลจากมุมสูง เมื่อเทียบกับสิ่งที่มองเห็นจากกระท่อมเล็กๆ ผุพังของข้าแล้ว ทัศนียภาพของที่นี่ดีกว่ามาก”
เอ่ยคำพูดเกรงใจตามมารยาทกันจบก็ไม่มีเรื่องให้พูดคุยกันอีกแล้ว
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสที่มาเยือนเหนือทะเลเมฆอย่างที่หาได้ยากผู้นี้จึงทำเพียงแค่มองไปยังสนามรบที่วุ่นวายอึกทึกทางทิศใต้
เทพเซียนผู้เฒ่าของลัทธิเต๋าพลันถามว่า “เหตุใดถึงดูเหมือนว่าอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นคล้ายจะมีอคติต่อข้าผู้เป็นนักพรต?”
เฉินชิงตูเอ่ย “เขาก็มีอคติต่อตลอดทั้งลัทธิเต๋านั่นแหละ หาใช่ตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับเจ้าคนเดียวไม่ อันที่จริงเขาเองก็รู้ว่าทำเช่นนี้ไม่เหมาะ เพียงแต่ว่ายังไม่อาจเปลี่ยนความคิดของตัวเองได้”
มักจะมีคนประหลาดบางคนที่สามารถวางเรื่องราววางคำพูดของตัวเองได้ลง มีเพียงคำพูดและการกระทำบางอย่างของคนข้างกายเท่านั้นที่กลับกลายเป็นว่ากักเก็บไว้นาน ยากจะปล่อยวาง
คนแบบนี้อันที่จริงเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็เคยพบเห็นมาไม่น้อย ไม่ต้องพูดถึงใครอื่นไกล ใกล้ๆ นี้ก็มีจั่วโย่ว แน่นอนว่ามีผังหยวนจี้ด้วย
อริยะลัทธิเต๋ายกชายแขนเสื้อขึ้น เริ่มนับนิ้วคำนวณ นักพรตเต๋าไม่ยินดีทำอย่างนี้เป็นการส่วนตัว เพียงแต่ว่าในเมื่อเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสปรากฎตัวแล้วจึงไม่มีพันธนาการอะไรอีก คำนวณอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่าจะมีบุญคุณความแค้นยิ่งใหญ่ขนาดนั้นล้อมพันตัวอยู่ มิน่าเล่า มิน่าเล่า”
ตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ อริยะลัทธิเต๋าท่านนี้คือคนที่อยู่ห่างไกลจากฝุ่นผงในโลกโลกีย์มากที่สุด สามารถฝึกตนอย่างสงบได้อย่างแท้จริง อย่าว่าแต่กิจธุระในกำแพงเมืองปราณกระบี่เลย ต่อให้เป็นเรื่องราวขึ้นๆ ลงๆ ในลัทธิเต๋าบ้านของตนก็ยังไม่คิดจะสนใจ
ไม่มีใครมาหาเขาที่นี่ เขาก็ไม่คิดจะเป็นฝ่ายไปหาใคร
เทพเซียนผู้เฒ่าลัทธิเต๋าที่รับหน้าที่เฝ้าพิทักษ์กำแพงเมืองปราณกระบี่ท่านนี้คือยอดฝีมือผู้บรรลุมรรคาสายลูกศิษย์ใหญ่ของมรรคาจารย์เต๋า หากกลับไปเยือนป๋ายอวี้จิงในใต้หล้ามืดสลัวแห่งนั้น ห้านครสิบสองหอเรือน เรือนหนึ่งในนั้นที่สูงอย่างถึงที่สุดก็คือถ้ำสถิตตระกูลเซียน คือสถานที่ฝึกตนของเขา
เฉินชิงตูเอ่ย “หลายปีมานี้ทำให้เจ้าต้องเสียเวลาเปล่า ยากที่จะพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้นได้ ลำบากเจ้าแล้ว”
นักพรตเต๋ารีบประสานมือคารวะ “มิกล้าๆ”
เฉินชิงตูกล่าวอย่างอ่อนใจ “หากเจ้าเด็กนั่นมาพบเจ้า คาดว่าเจ้าสองคนคงคุยกันได้ถูกคอ”
นักพรตเต๋านับนิ้วคำนวณอีกครั้ง แล้วส่ายหน้าเอ่ย “ไม่แน่เสมอไปหรอก”
เฉินชิงตูจึงไม่คิดจะพูดอะไรให้มากความอีก เพียงแต่ว่าเพิ่งจะมาก็กลับเลย คงไม่ค่อยดีสักเท่าไร จึงยืนอยู่ที่เดิม หลุบตาลงต่ำมองสนามรบ
นักพรตเต๋าพลันร้องเอ๊ะขึ้นมาหนึ่งที “อิ่นกวานหนุ่มผู้นี้ของเรามีความเกี่ยวข้องกับนักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูของพวกเราด้วยหรือนี่?”
เจ้าอารามเสวียนตู ซุนไหวจง เวทกระบี่เลิศล้ำค้ำฟ้ามานานแล้ว
อีกทั้งยังถูกขนานนามให้เป็นบุคคลอันดับห้าที่ฟ้าผ่าก็ไม่มีทางขยับเขยื้อนของใต้หล้ามืดสลัว
นักพรตเต๋าเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ยิ่งคิดไม่ถึงว่านักพรตซุนผู้นี้จะออกจากใต้หล้าบ้านตัวเองมาเยือนใต้หล้าไพศาล”
ไม่คำนวณก็แล้วไป แต่พอคำนวณก็คำนวณได้ร้อยพัน จนแทบจะล่วงรู้ฟ้าลิขิต
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “สายเซียนกระบี่ของลัทธิเต๋าสายนั้นพอจะมีดีอยู่บ้าง นักพรตซุนผู้นั้นก็เป็นคนที่น่าสนใจไม่น้อย”
ขอแค่พูดถึงเรื่องกระบี่แล้วเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ‘พอจะมีดีอยู่บ้าง’ นั่นก็แสดงว่าต้องมีดีมากจริงๆ
ไม่อย่างนั้นเฉินชิงตูที่กินอิ่มว่างงานจะคอยพร่ำพูดอยู่ข้างหูจั่วโย่วทุกสามวันห้าวันว่าเวทกระบี่ของเจ้าไม่สูงมากพอหรือ? และหากพูดถึงแค่เวทกระบี่ อันที่จริงจั่วโย่วก็คือบุคคลอันดับหนึ่งอย่างสมศักดิ์ศรีของใต้หล้าไพศาลมานานแล้ว
กระบี่เซียนสี่เล่ม ช่วงแรกเริ่มสุดก็คือตัวแทนของ ‘ทฤษฎีที่มีชื่อเสียง’ สี่สายของวิถีกระบี่ในใต้หล้า
จวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์มีเล่มหนึ่ง บัณฑิตที่เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเล่มหนึ่ง เต๋าเหล่าเอ้อร์ครอบครองเล่มหนึ่ง บวกกับเล่มสุดท้ายที่ใต้หล้าไพศาลป่าวประกาศแก่คนภายนอกมาโดยตลอดว่าหอสยบกระบี่หนึ่งในเก้าหอพิทักษ์เมืองเป็นผู้สยบเอาไว้
ในความเป็นจริงแล้วกระบี่เซียนเล่มที่อยู่ในมือของบัณฑิตทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางนั้น เดิมทีควรเป็นของสายเซียนกระบี่ลัทธิเต๋าสายนี้ ตามเหตุตามผลแล้วก็ควรถูกตั้งบูชาไว้ในศาลบรรพจารย์ของอารามเสวียนตู เพียงแต่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันไปถึงเส้นสายต้นกำเนิดที่ซับซ้อนอย่างถึงที่สุด บวกกับที่ซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตูเป็นผู้บำเพ็ญตนประเภทที่ว่ามีกลิ่นอายของจอมยุทธมากกว่ากลิ่นอายกระบี่ จึงไม่เคยคิดจะอาศัยอำนาจไปช่วงชิงมันกลับคืนมายังอารามเสวียนตูแห่งใต้หล้ามืดสลัว
นี่ถึงได้มีวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่บัณฑิตคนหนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟันผ่าถ้ำสวรรค์หวงเหอ แล้วจึงมีประโยคที่ว่า ‘ป๋ายเหย่ซือไร้เทียมทาน คือความภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์’ เลื่องลือไปทั่วใต้หล้า
นักพรตเฒ่าเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “อยู่ๆ ก็คิดถึงอารามเสวียนตูแห่งนั้นขึ้นมา ยามที่ดอกท้อบานสะพรั่ง หากบนดอกท้อมีนกขมิ้นเกาะอยู่ด้วยจะยิ่งชวนให้คนเคลิบเคลิ้ม ไม่กล้ากะพริบตา มีเพียงจิตใจที่หวั่นไหว”
เฉินชิงตูยิ้มเอ่ย “ไม่ใช่ว่า ‘งดงามอย่างถึงที่สุด’ เลยหรือ?”
นักพรตเต๋าส่ายหน้า “คำนี้ธรรมดาไปแล้ว”
……
กิจการของร้านเหล้าที่เป็นคูหาติดกันสามร้านซบเซา อันที่จริงไม่เพียงแต่ร้านนี้เท่านั้น ร้านเหล้าเหลาสุราทั้งหมดในนครก็ล้วนเป็นเช่นนี้
มีเพียงคนแก่ สตรี เด็กและคนอ่อนแอ หรือไม่ก็บุรุษที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตถูกทำลาย ไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่เท่านั้นที่จะอยู่ในนคร แล้วนับประสาอะไรกับที่สงครามบนหัวกำแพงเมืองนั้นดุเดือดรุนแรง น้อยคนนักที่จะมาจ่ายเงินซื้อเหล้าดื่มในเวลานี้
ลูกจ้างในร้านสองคนที่เป็นคนวัยเดียวกันอย่างเด็กหนุ่มชิวหล่งและเด็กสาวหลิวเอ๋อต่างก็ประหลาดใจ เพราะเด็กชายเถาป่านเพื่อนร่วมงานที่อายุน้อยที่สุดในร้าน ก่อนหน้านี้เฝิงคังเล่อวิ่งตะบึงมากระซิบข้างหูเขาอยู่พักหนึ่ง ทั้งสองก็พากันวิ่งไปไกล กระทั่งกลับกันมาอีกครั้ง เด็กทั้งสองต่างก็หน้าเขียวจมูกบวม เนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่น พอนั่งลงแล้วเฝิงคังเล่อก็บอกให้ท่านพ่อของตนทำบะหมี่หยางชุนมาให้สองถ้วยใหญ่ คนทั้งสองเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ เพราะตัวเล็กเกินไป เท้าทั้งสองจึงลอยพ้นเหนือพื้น เด็กทั้งสองเลยต้องยืดตัวฟุบกินบะหมี่จากบนโต๊ะ ไม่มีผักดอง เพราะเถาป่านบอกว่าไม่ซื้อเหล้าก็ไม่มีผักดองให้กิน นี่คือกฎของร้าน
หลิวเอ๋อนั่งลงด้านข้าง ยิ้มถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!