กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 712

นอกจากที่ซิ่วไฉเฒ่าจะมาเที่ยวชมโรงเรียนแล้ว ก็ยังมาดูวิธีการไขข้อข้องใจการถ่ายทอดวิชาความรู้ ดูสีหน้าและน้ำเสียงของอาจารย์ทั้งหลายด้วย

อันที่จริงแล้วพุทธะที่แท้จริงจะพูดแค่เรื่องปกติทั่วไปเท่านั้น

อยู่ในวงการขุนนาง การพูดจาภาษาราชการย่อมเป็นเรื่องที่เลี่ยงได้ยาก เพียงแต่ว่าจะเอาแต่พูดภาษาทางการไม่ได้ ต้องจำไว้ว่าภาษาทางการทั้งหมดล้วนมาจากปากของคนเป็น

มนุษย์อยู่บนภูเขาเป็นเทพเซียนก็จะมีแต่กลิ่นอายเซียนที่เมฆและลมพัดเต็มชายแขนเสื้อไม่ได้ ต้องมีกลิ่นอายของมนุษย์อยู่บ้าง

อ่านตำราอริยะปราชญ์มามาก มนุษย์ทุกคนมีความแตกต่าง ต่างคนต่างมีเหตุผล สุดท้ายต่างก็หวังว่าวิถีทางโลกจะเปลี่ยนไปเป็นดีขึ้น ไม่อย่างนั้นหากเอาแต่เหน็บแนมบ่นว่าอย่างเดียว ดึงให้คนข้างกายมาผิดหวังสิ้นหวังไปด้วยกัน แบบนั้นคงไม่ค่อยประเสริฐสักเท่าไร

ซิ่วไฉเฒ่าออกมาจากโรงเรียนแล้วก็มาเดินอยู่ในตรอกซิ่งฮวา อยู่ดีๆ ก็เอ่ยกับหลิวสือลิ่วว่า “ปีนั้นเสี่ยวฉีเดินทางท่องเที่ยวไปเป็นเพื่อนจั่วโย่ว เจ้าเองก็ไปเยี่ยมเยือนนครจักรพรรดิขาวเป็นเพื่อนชุยฉาน”

หลิวสือลิ่วพยักหน้ารับ “ศิษย์พี่ชุยเล่นหมากล้อมเมฆหลากสีกับเจ้านครจักรพรรดิขาวจบแล้วก็ได้เขียน ‘เทียบก่อนหลัง’ ด้วยตัวอักษรแบบหวัดให้กับเจิ้งจวีจงหนึ่งเทียบ ‘เบื้องหน้าไร้ผู้คน เบื้องหลังไร้คนมาหา หยัดยืนอยู่ตรงกลาง’”

ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มเอ่ย “ยังมีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?”

หลิวสือลิ่วตอบ “ถึงอย่างไรก็แพ้หมากล้อม ศิษย์พี่ชุยจึงไม่สะดวกจะพูดอะไรมาก”

คำว่ากลาง (เจิ้ง) พ้องเสียงกับคำว่าเจิ้ง (แซ่)

ดูเอาสิ ลูกศิษย์สายของเหวินเซิ่ง มีใครที่ไม่ปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างจริงใจบ้าง

ภายหลังคนทั้งสองเจอกับผีขี้เหล้าหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกลางทาง คือเฉาเกิงซินใต้เท้าผู้ตรวจการ เขากับหยวนเจิ้งติ้งเจ้าเมืองต่างก็เป็นลูกหลานแซ่สกุลเสาค้ำยันของต้าหลี

ผู้ตรวจการเฉาเพิ่งจะดื่มเหล้ามา ตรงเอวยังห้อยกาเหล้าที่บรรจุเหล้าไว้เต็มล้น คนกับกาเหล้าเดินไปส่ายไปส่ายมาไปขานชื่อยังที่ว่าการ

บางครั้งตอนอยู่ที่ร้านเหล้า หากผู้ตรวจการเฉาเมาเหลาเดินไม่ไหวจริงๆ ก็จะมีลูกจ้างเด็กหนุ่มที่สนิทคุ้นเคยกัน หรือไม่ก็จะเรียกเด็กๆ ข้างทางที่สนิทกันมา แล้วยัดเงินเหรียญทองแดงหนึ่งกำมือเป็นค่าเหนื่อย ให้ช่วยเขาเอาเหล้ากาหนึ่งไปยังที่ว่าการผู้ตรวจการ พอกาเหล้าวางอยู่บนโต๊ะก็ถือว่าช่วยเขาขานชื่อเรียบร้อยแล้ว

ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มตาหยีมองคนหนุ่มผู้นั้น

เฉาเกิงซินเองก็สังเกตเห็นผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อแล้วเช่นกัน อีกฝ่ายกำลังมองประเมินตน แต่ผู้ตรวจการเฉากลับไม่ได้เอ่ยทักทาย ทว่าก็ไม่ยินดีจะมองเมิน หลังส่งเสียงเรอเอิ้กหนึ่งทีจึงเบี่ยงตัวเดินหันข้างอยู่บนถนน ประสานมือคำนับอาจารย์ผู้เฒ่าที่ไม่เคยพบหน้าด้วยรอยยิ้ม

ซิ่วไฉเฒ่าผงกศีรษะตอบรับ

บัณฑิตที่เป็นขุนนางในใต้หล้านี้ไม่สามารถสง่างามเจ้าเสน่ห์ ไม่ยึดติดกับพันธนาการเช่นนี้ได้ทุกคน แต่ขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องการคนแบบนี้อยู่สักหลายๆ คนจริงๆ

ส่วนหยวนเจิ้งติ้งใต้เท้าเจ้าเมืองผู้นั้น ยิ่งมีมากกลับยิ่งเป็นประโยชน์

ในสายตาของซิ่วไฉเฒ่า ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครสูงกว่าหรือต่ำกว่า ล้วนเป็นคนหนุ่มที่โดดเด่นด้วยกันทั้งคู่

เดินผ่านตรอกมากมายในตรอกเล็ก เดินผ่านตรอกหนีผิงที่ค่อนข้างจะเงียบเหงา แล้วก็เดินผ่านตรอกฉีหลง สหายฉางมิ่งที่สวมชุดตัวยาวสีขาวหิมะยืนรออยู่บนบันไดอย่างนอบน้อมนานแล้ว นางคำนับซิ่วไฉเฒ่า แต่กลับไม่เอ่ยอะไร

ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มจนหุบปากไม่ลง สหายฉางมิ่งจึงพาพวกเขาไปที่ร้านยาสุ้ย ซิ่วไฉเฒ่าขอขนมมากินสองสามชิ้น หลิวสือลิ่วเองก็ลองชิมดู แน่นอนว่าไม่กล้ากินอย่างเต็มที่ ก่อนหน้านี้ตัวแทนเถ้าแก่สือโหรวตกใจสะดุ้งโหยง กำลังคิดจะคารวะ ‘นายท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งที่เดินออกมาจากภาพแขวน’ ด้วยพิธีการใหญ่ แต่ซิ่วไฉเฒ่ากลับโบกมือด้วยรอยยิ้ม บอกว่าไม่ต้องๆ หลิวสือลิ่วพูดคุยเรื่องเป็นการเป็นงานกับสหายฉางมิ่ง แน่นอนว่านางไม่มีความเห็นต่าง หากมีฝนสีทองตกลงมาในอาณาเขตขุนเขาเหนืออีกสักครั้งสองครั้ง เก้าอี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขุนเขาสายน้ำในพื้นที่มงคลรากบัวที่ว่างเปล่ารอคอยคนมานั่งจะเป็นเหมือนหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิหลังฝนตกที่ผุดกรูกันขึ้นมา อีกทั้งในฐานะที่เพิ่งเลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับกลางได้ไม่นาน หลังจากนี้ไปไม่ว่าจะเป็นจำนวนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพอภิบาลเมือง หรือระดับขั้นร่างทองของพวกมันที่อยู่ในพื้นที่มงคลรากบัวก็จะไม่พ่ายแพ้ให้กับพื้นที่มงคลระดับกลางลำดับสูงสุดแห่งอื่นในใต้หล้า

เงินหล่นลงมาจากฟ้า เดิมทีก็เป็นเรื่องที่หาได้ยากอยู่แล้ว เงินที่หล่นลงมายังหล่นลงในกระเป๋าของคนผู้หนึ่งพอดิบพอดี ก็ยิ่งหาได้ยากเข้าไปใหญ่

ภูเขาลั่วพั่วมีสหายฉางมิ่งผู้นี้นั่งพิทักษ์อยู่บนภูเขา ทรัพย์สินเงินทองจึงไหลมาเทมา อยากขวางก็ขวางไม่อยู่

ดังนั้นก่อนที่ซิ่วไฉเฒ่าจะเดินเข้าประตูไปพร้อมกับสหายฉางมิ่ง รวมถึงตอนที่เดินออกมาจากประตู เขาจึงหัวเราะร่าเอ่ยขอบคุณนางรอบละครั้ง

ครั้งแรกฉางมิ่งเพียงบอกว่าเป็นหน้าที่ของนางอยู่แล้ว ครั้งที่สองนางจึงยิ้มตาหยีตามความเคยชิน รับคำขอบคุณนั้นเอาไว้แล้ว

ออกมาจากตรอกฉีหลง ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยว่า “ศิษย์น้องเล็กของเจ้าไม่อยู่ เจ้าก็ไปพบกับสหายสนิทของศิษย์น้องเล็กเจ้าหน่อยแล้วกัน คนที่ปกป้องเฉินผิงอันอย่างถึงที่สุด ต้องมีเขาเป็นคนหนึ่งในนั้นแน่นอน”

ร้านตีเหล็กริมลำคลองหลงซวี หลิวสือลิ่วได้เจอกับหลิวเสี้ยนหยางที่นั่งอาบแดดงีบหลับอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่

หลังจากหลิวสือลิ่วบอกชื่อแซ่ตัวเองเรียบร้อย หลิวเสี้ยนหยางด้านหนึ่งก็รีบบอกให้อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งนั่งลง อีกด้านหนึ่งก็ค้อมเอวช่วยนวดไหล่ให้ซิ่วไฉเฒ่า ถามเขาว่าแรงเบาไปหรือว่าหนักไป อีกด้านหนึ่งก็เอ่ยกับหลิวสือลิ่วว่าข้ากับผู้อาวุโสคือคนครอบครัวเดียวกัน คนครอบครัวเดียวกัน

ซิ่วไฉเฒ่าหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ แต่ก็ไม่ได้พูดโพล่งไปว่าพวกเราสองฝ่ายเป็นคนครอบครัวเดียวกันตั้งแต่เมื่อไหร่

หลิวสือลิ่วเองก็รู้สึกว่าน่าสนใจ เขาจึงไม่พูดแฉเหมือนกัน ถือเป็นการยอมรับคนครอบครัวเดียวกันอย่างคนหนุ่มผู้นี้ไปโดยปริยาย

ซิ่วไฉเฒ่าหรี่ตาเสพสุข บอกกับคนหนุ่มว่าแรงกำลังดี สบายจริง ผ่อนคลายนัก จากนั้นผู้เฒ่าก็โคลงศีรษะอย่างแช่มชื่นเลียนแบบเด็กเล็กยามท่องตำรา เอ่ยประโยคหนึ่งว่าเพชรนิลจินดาไยต้องฉกชิงรีดไถ ยังล้ำค่าสู้ดินริมธารหยางเสี้ยนมิได้ด้วยซ้ำ

หลิวเสี้ยนเอ่ยอย่างตกอกตกใจ “บทกลอนที่ในอักขราภูมิศาสตร์ของเราเพิ่งจ่ายเงินซื้อมา ท่านอาจารย์ก็รู้ด้วยหรือ? ดูท่าความรู้ที่ยิ่งใหญ่ของท่านอาจารย์ ใต้หล้าไพศาลแห่งนี้คงรองรับไว้ไม่หมดแล้ว อย่างน้อยที่สุดต้องบวกกับใต้หล้าแห่งที่ห้าไปด้วย”

ในเมื่อเป็นอาจารย์ของเฉินผิงอัน ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นอาจารย์ของเขาหลิวเสี้ยนหยางครึ่งตัวแล้ว

เอ่ยคำประจบไปเรียบร้อยแล้ว

หลิวสือลิ่วที่เรือนกายใหญ่โตจึงได้แต่นั่งอยู่บนขั้นบันได เขาวางสองหมัดไว้บนหัวเข่าเบาๆ สายตามองตรงไปข้างหน้า ถือเสียว่าไม่ได้ยิน

เพียงแต่อาจารย์กลับเอาจริงเอาจังอย่างยิ่ง “คำพูดประเภทนี้ คนกันเองพูดให้กันฟังก็พอแล้ว ห้ามเอาไปพูดข้างนอก ห้ามเอาไปพูดข้างนอก ไม่อย่างนั้นย่อมง่ายที่จะทำให้คนอิจฉาตาร้อน”

หลิวเสี้ยนหยางนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ที่อยู่ด้านข้าง พูดอย่างเต็มไปด้วยเหตุผลชอบธรรม “อาจารย์เป็นเช่นนี้ แน่นอนว่าเพราะท่านมีจิตใจที่กว้างขวาง แต่พวกเราที่เป็นลูกศิษย์ หากมีโอกาสช่วยพูดประโยคที่เป็นธรรมแทนอาจารย์ ย่อมเป็นหน้าที่ที่มิอาจปฏิเสธ คำพูดดีๆ อย่าไปกลัวว่าจะพูดเยอะเกิน!”

หลิวสือลิ่วอดไม่ไหวหันมามองหลิวเสี้ยนหยางที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความจริงใจ มองลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่ได้ยินอาจารย์เล่าให้ฟังว่าไปขอศึกษาต่อที่สกุลเฉินผู้รอบรู้ของทักษินาตยทวีปนานหลายปีผู้นี้ จากนั้นหลิวสือลิ่วก็หวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ได้เห็นบนภูเขาลั่วพั่ว เว่ยซานจวิน เซียนกระบี่คนนั้น เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเฉินหน่วนซู่ แม่นางน้อยชุดดำโจวหมี่ลี่ ดูเหมือนว่าต่างก็รู้ความมีเหตุผลกันอย่างมาก ถ้าอย่างนั้นเขาก็วางใจแล้ว ขอแค่ศิษย์น้องเล็กไม่พูดจาเหมือนหลิวเสี้ยนหยางผู้นี้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาใดๆ

ซิ่วไฉเฒ่าพูดคุยเรื่องความรู้ในตำราอย่างจริงจังกับหลิวเสี้ยนหยางอยู่พักใหญ่

คนหนึ่งถามคนหนึ่งตอบ ซิ่วไฉเฒ่าพึงพอใจอย่างมาก อ่านตำราศึกษาเล่าเรียนตื้นเขินหรือลึกซึ้ง หลังจากขยันหมั่นเพียรแล้วก็ยังต้องดูที่คุณสมบัติสูงต่ำด้วย แต่ความจริงจังตั้งใจมีอยู่จริงหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องดูที่คุณสมบัติแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!