กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 728

สรุปบท บทที่ 728.3 ห้าสูงสุด สี่กระบี่เซียน หนึ่งป๋ายเหย่: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

อ่านสรุป บทที่ 728.3 ห้าสูงสุด สี่กระบี่เซียน หนึ่งป๋ายเหย่ จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บทที่ บทที่ 728.3 ห้าสูงสุด สี่กระบี่เซียน หนึ่งป๋ายเหย่ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

เลี่ยนเจินที่ติดตามมาด้านหลังคนทั้งสองทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดชะงักไป

ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ข้าก็ไม่ได้จะให้เทียนซือใหญ่ต้องยอมสละชีวิตให้ได้ ใต้หล้าไม่มีเหตุผลเช่นนี้ ปากตรงใจคด คุณธรรมน้ำใจไม่ใช่ของจริงก็ไม่อาจเอ่ยสองคำว่าคุณธรรมได้อย่างเต็มปาก ข้าหวังแค่ว่าเทียนซือใหญ่จะพยายามอย่างเต็มที่ แค่นี้ก็เพียงพอ เพียงพออย่างมากแล้ว ยกตัวอย่างเช่นต่อให้จะช่วยป๋ายเหย่ไม่ได้ แต่จะดีจะชั่วก็ไปช่วยอวี๋เสวียนเสียหน่อย ลำพังเพียงแค่การกระทำนี้ วันหน้าภูเขามังกรพยัคฆ์ที่อยู่ในใต้หล้าไพศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายในพรรคยันต์ลัทธิเต๋าของพวกเจ้า เกี่ยวกับผู้ที่จะได้ครอบครองสองคำว่า ‘ฝูลู่’ นั้น ก็คงไม่ต้องทะเลาะกันหน้าดำหน้าแดงอีกต่อไป ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา เดี๋ยวก็มีคนตายเข้าจริงๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ คนบนภูเขาและเรื่องราวด้านล่างภูเขาทำให้เกิดบัญชีเลอะเลือนน้อยใหญ่มากน้อยแค่ไหน? แน่นอนว่าข้าก็แค่ยกตัวอย่างให้ฟังเท่านั้น ทำอย่างไรถึงจะไม่ทำให้เทียนซือใหญ่ลำบากใจก็ทำอย่างนั้นเถิด”

จ้าวเทียนไล่พูดตรงไปตรงมายิ่งกว่า “ข้าคิดว่าจะไปเยือนใบถงทวีปสักรอบ คงไม่เปลี่ยนใจแล้ว”

ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับ “ยอดเยี่ยม คู่ควรกับคำกลอนแนวนอนบทนั้น ข้าเชื่อว่าสายเต๋าของภูเขามังกรพยัคฆ์จะเป็นดั่งปณิธานของภูเขามังกรพยัคฆ์ที่บอกว่า ‘นครแห่งเต๋าอยู่บนภูเขาของข้า ยิ่งนานยิ่งรุ่งเรือง’ จริงๆ”

จ้าวเทียนไล่ยิ้มเอ่ย “ซิ่วไฉเฒ่ายุ่งมากจริงๆ”

ซิ่วไฉเฒ่าทรุดตัวนั่งลงข้างกายนักพรตน้อย เอ่ยว่า “ยุ่งวุ่นวายอยู่ตลอด แต่ไม่ได้ยุ่งจนถึงขั้นทำอะไรไม่สำเร็จสักเรื่อง ต่อให้จะทำสำเร็จได้แค่เรื่องเดียวก็ถือว่าไม่เลวมากแล้ว”

จ้าวเทียนไล่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้าง

นักพรตน้อยลุกขึ้นยืนแล้ว เพราะไม่ยินดีจะอยู่ใกล้ชิดกับซิ่วไฉเฒ่า

ซิ่วไฉเฒ่าถาม “จะดื่มเหล้าไหม?”

จ้าวเทียนไล่เอ่ย “เจ้าจะเลี้ยงข้าหรือ?”

ซิ่วไฉเฒ่าไม่เอ่ยอะไรอีก

ในมือจ้าวเทียนไล่ถือขลุ่ยไม้ไผ่เขียว เอ่ยว่า “เหล้าหมักกุ้ยฮวาพวกนั้น เจ้าดื่มไปไหหนึ่ง ถือว่าข้าเลี้ยงเจ้า ส่วนไหที่เหลือรบกวนเจ้าเอากลับไปวางไว้ที่เดิมด้วย”

ซิ่วไฉเฒ่ากำลังรอประโยคนี้อยู่พอดี เขาจึงยกมือขึ้น เหล้าไหหนึ่งกลิ้งไถลออกมาจากชายแขนเสื้อทันที แน่นอนว่าเขาไม่ได้ละโมบอยากได้ปราณวิญญาณของพืชหญ้าแห่งขุนเขาสายน้ำน้อยนิดแค่นี้ แต่เป็นเพราะกระหายในรสชาติของสุรานี้จริงๆ

ซิ่วไฉเฒ่าดื่มเหล้าหนึ่งอึก “อันที่จริงตอนนั้นที่กระบี่ของป๋ายเหย่หล่นลงในหนึ่งทวีป ข้าก็รู้แล้วว่าจุดจบจะเป็นเช่นไร ตอนนี้ความต้องการเพียงอย่างเดียวในใจก็คือหวังให้สถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดนั้นเปลี่ยนเป็นดีขึ้นอีกสักหน่อย”

ยกตัวอย่างเช่นขอให้อวี๋เสวียนมีชีวิตรอดไปได้ และทางที่ดีที่สุดก็ยังคงเป็นฝูลู่อวี๋เสวียนผู้นั้น หรือยกตัวอย่างเช่นป๋ายเหย่ไม่ถึงขั้นตายไปอย่างสิ้นซาก ต่อให้นับจากนี้ไปใต้หล้าไพศาลจะสูญเสียเซียนกระบี่ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดไปคนหนึ่ง ต่อให้ป๋ายเหย่ถึงขั้นไม่ได้อยู่ในใต้หล้าไพศาลแล้ว แต่ขอแค่ ‘ป๋ายเหย่’ ยังอยู่ จะดีจะชั่วซิ่วไฉเฒ่าก็ไม่ต้องดื่มเหล้าใจสลายเพิ่มอีกหนึ่งกา ป๋ายเหย่อยู่ที่ไหนล้วนคือป๋ายเหย่ ยังคงเป็นป๋ายเหย่ที่ทำให้ดอกหลีใต้หล้าบานสะพรั่งขาวโพลนผู้นั้น

จ้าวเทียนไล่เป่าขลุ่ยไม้ไผ่ สมกับเป็นเสียงสวรรค์จริงๆ (เทียนไล่แปลว่าเสียงสวรรค์หรือเสียงจากธรรมชาติ)

นกกระสาเหลืองบินวนล้อมอยู่รอบยอดเขา นกหลวนสีเขียวกางปีกกระพือเหนือทะเลเมฆ ราวกับไข่มุกสีเหลืองและสีเขียวมากมายที่กลิ้งพลิกแต่งแต้มอยู่บนม่านมุกสีขาว

ซิ่วไฉเฒ่าดื่มเหล้าพลางขับขานบทกวีสอดรับเสียงเพลงไปด้วย

ขุดเจาะทิวทัศน์งามเปิดพื้นที่อมตะ ฝึกตนร่างทองเรืองรองไม่แก่เฒ่า จวนม่วงชุดเหลืองภูมิลำเนาฟ้า ดอกท้องามผลิบานใต้หล้ารับวสันต์

สามยอดเขาสายฝนจำแลงมังกรบิน พวยพุ่งทะยานฟ้าพบราชาฟ้าร้อง ธาราแก้วใสอุ่นไอหมื่นขุม เจินเหรินขึ้นเขาขานเรียกว่าเซียน

นักพรตน้อยคนนั้นส่ายหน้า “โคลงกลอนตลกขบขันสู้บทเพลงจากขลุ่ยเสียงสวรรค์ไม่ได้”

แล้วก็เอ่ยเสริมมาอีกประโยค “อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบได้ติด สมกับเป็นอริยะปราชญ์ศาลบุ๋นจริงๆ หากจะพูดถึงความสามารถและพรสวรรค์ด้านการแต่งกลอนก็แพ้ให้กับพวกนักประพันธ์ในโลกมนุษย์หลุดลุ่ยเลย”

ก่อนหน้านี้เลี่ยนเจินยอบตัวคารวะอย่างแช่มช้อย จากนั้นจึงนั่งลงข้างกายเทียนซือใหญ่

รอกระทั่งจ้าวเทียนไล่เก็บขลุ่ยไม้ไผ่ลงไปแล้ว ซิ่วไฉเฒ่าก็ดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาไหหนึ่งของจวนเทียนซือหมดพอดี

ซิ่วไฉเฒ่าตัดใจโยนกาเหล้าทิ้งไปในทะเลเมฆไม่ลง จึงเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ เอ่ยว่า “ไม่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่น สิ่งเดียวที่จะทำมีเพียงคงสติมีปัญญาเท่านั้น (สิ่งศักดิ์สิทธิ์ภาษาจีนคือเสินหลิง คงสติมีปัญญาภาษาจีนคือเสินหมิง) ต่างกันแค่คำเดียวกลับต่างราวฟ้ากับเหว มหาสมุทรความรู้โจวมี่ผู้นั้นต้องการใช้การแบ่งแยกแข็งแกร่งและอ่อนแอซึ่งเป็นการแบ่งที่ง่ายที่สุดมาทำให้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันไป ตัดขาดสรรพชีวิตในฟ้าดิน ดังนั้นเจ้าเดินทางไปใบถงทวีปครั้งนี้ ระดับความอันตรายอาจไม่เป็นรองฝูเหยาทวีปที่มีป๋ายเหย่เฝ้าพิทักษ์เลย ต้องระวังเจี่ยเซิงผู้นั้นให้ดี ระวังแล้วระวังอีก”

จ้าวเทียนไล่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

ใบหน้าเป็นคนหนุ่ม ทว่ากลิ่นอายบนตัวกลับเคร่งขรึมโบราณ

ลมภูเขาโชยมาปะทะใบหน้า หล่อเหลาสง่างามเหนือธรรมดา

เลี่ยนเจินถามอย่างใคร่รู้ “ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ข้าสามารถถามเรื่องหอบินทะยานได้ไหม?”

ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มเอ่ย “มีอะไรถามไม่ได้เล่า ในยุคบรรพกาลสรวงสวรรค์ตั้งอยู่ท่ามกลางธารดวงดาวที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง คำว่าทะยานลมของเซียนเหรินในทุกวันนี้ ไม่แน่ว่าต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็อาจไปไม่ถึง ในอดีตยามที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงมาเยือนพื้นดินโลกมนุษย์ นอกจากคนจำนวนน้อยนิดที่มีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่จนมองเมินแม่น้ำแห่งกาลเวลาได้แล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่ที่เหลือก็จำต้องเดินทางไปกลับผ่านหอบินทะยานนั่นเช่นกัน ดังนั้นหอบินทะยานจึงไม่เพียงแต่มีประโยชน์ในการชักนำเซียนดินให้บินทะยานเท่านั้น ชิงถงเทียนจวินเป็นผู้รับผิดชอบหอบินทะยานหนึ่งในนั้น ซึ่งอันที่จริงก็มีอยู่แค่สองแห่งเท่านั้น”

ส่วนอีกแห่งหนึ่งนั้น ก็คือภูเขาทัวเยว่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างนั่นเอง

เพียงแต่ว่าไม่ได้เป็นหอบินทะยานอย่างสมชื่อมานานแล้ว ตอนนั้นที่เฉินชิงตู หลงจวินและกวนจ้าวพากันไปถามกระบี่ยังภูเขาทัวเยว่ ไม่ได้เป็นการกระทำที่ใช้แค่อารมณ์เท่านั้น

ทว่าเรื่องวงในที่หลงเหลืออยู่เหล่านี้ ซิ่วไฉเฒ่าไม่คิดจะปากมากพูดถึงมันอีก

ขนาดจ้าวเทียนไล่ยังไม่เล่าให้สหายเลี่ยนเจินฟัง แค่เหล้าหมักกุ้ยฮวาไหเดียวเท่านั้น ซื้อปฏิทินเหลืองเก่าแก่ได้แค่ไม่กี่หน้า แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีสหายอู๋เล่ยที่คิดว่าการยืนอยู่เพียงลำพังไม่เหน็ดเหนื่อย (ไม่เหน็ดเหนื่อยอ่านว่าอู๋เล่ยพ้องกับชื่อตัวละคร) ในฐานะหนึ่งในสี่วิญญาณกระบี่ของกระบี่เซียน คาดว่าคงรู้ความจริงมากกว่าเทียนซือใหญ่เสียอีก

ซิ่วไฉเฒ่าลุกขึ้นยืน ยิ้มเอ่ย “แม้ว่าจะไม่ได้สมใจปรารถนา แต่ก็ได้พึ่งใบบุญแม่นางเลี่ยนเจินจริงๆ คราวก่อนได้ดื่มชาดีไปหนึ่งกา วันนี้ยังได้ดื่มเหล้าดีที่นี่อีกไห ข้าคนนี้เป็นแขกมาเยือนถึงบ้าน ก็เป็นซิ่วไฉเฒ่านี่นะ ย่อมต้องยากจนกระเป๋าฟีบแบน ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาล้วนเน้นย้ำในเรื่องมารยาทพิธีการเป็นที่สุด คราวก่อนมอบกลอนคู่กลอนแนวนอนให้ วันนี้ก็จะมอบตราประทับชิ้นหนึ่งให้กับคนหนุ่มคนหนึ่งของภูเขามังกรพยัคฆ์ที่สร้างกระท่อมถามมรรคามานานหลายปี วันหน้ารบกวนเทียนซือใหญ่หรือไม่ก็แม่นางเลี่ยนเจินนำไปมอบต่อให้เขาด้วย”

จ้าวเทียนไล่ลุกขึ้นยืน “พูดไปพูดมาก็ยังคงเป็นดั่งคำว่าน้ำดีไม่ไหลเข้านาคนอื่นนั่นเอง”

จ้าวเหยาที่ในอดีตนั่งรถลากเทียมวัวออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู คือหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของฉีจิ้งชุน

ภายหลังเดินทางมาเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็เคยมาฝึกตนอยู่ในอารามเต๋าแห่งหนึ่งของภูเขามังกรพยัคฆ์ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ไม่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อด้วยซ้ำ สถานะยังคงเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊ออยู่เหมือนเดิม สุดท้ายจ้าวเหยาก็ไปยังใต้หล้าแห่งที่ห้า

ดูเหมือนว่าคนที่เขาคิดถึงคำนึงหาอยู่ตลอดเวลาจะอยู่ในนครบินทะยานแห่งนั้น

เพราะเบาะแสบางอย่าง ตามการอนุมานของเจินเหรินอารามเต๋า จ้าวเหยาถึงขั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่ตื้นเขินกับป๋ายเหย่

จ้าวเทียนไล่เพียงแค่ใช้สองมือถือขลุ่ย คลี่ยิ้มไม่พูดไม่จา

เลี่ยนเจินรู้ว่าเจ้านายไม่ยินดีจะสัมผัสกับวาสนารักในโลกโลกีย์มากเกินไป นางจึงได้แต่รับหน้าที่นี้แทน ยื่นมือไปรับตราประทับเนื้อหยกขาวมาจากมือของเหวินเซิ่ง ในความเป็นจริงแล้วนางกับคนหนุ่มจ้าวเหยาผู้นั้นก็ไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน

ซิ่วไฉเฒ่าพูดกลั้วหัวเราะ “ไม่ใช่ของที่น่าอายต้องปิดบังหูตาคนอื่นเสียหน่อย แม่นางเลี่ยนเจินสามารถอ่านเนื้อหาบนตราประทับได้ตามสบาย ถึงอย่างไรก็ไม่รีบร้อนนำไปส่งต่อให้กับจ้าวเหา จำเป็นต้องเก็บรักษาไว้แทนเขาถึงเก้าสิบกว่าปี”

เลี่ยนเจินจึงไม่เกรงใจอีกต่อไป ใช้สองนิ้วคีบตราประทับ ยกขึ้นดู

ตราประทับสี่ตัวอักษร

ตะเกียงใจไม่มืดมน

ซิ่วไฉเฒ่าพลันหันหน้าไปมองทิศตะวันตกเฉียงใต้ของใต้หล้าไพศาลแวบหนึ่ง

……

ใต้หล้าแห่งที่ห้า นครบินทะยานเพิ่งจะบุกเบิกภูเขาแดนบินแห่งหนึ่งที่ห่างจากนครบินทะยานไปไกลมาก ทว่าตอนนี้แค่เพิ่งจะมีเค้าโครงของนครเท่านั้น

ผู้ฝึกกระบี่ของนครบินทะยานมีมากมาย ทว่าต่อให้จะรับเอาตัวผู้ฝึกลมปราณของฝูเหยาทวีปกลุ่มหนึ่งที่เดินทางไกลมาพึ่งพานครบินทะยานเอาไว้ นอกจากการเข่นฆ่าแล้ว จำนวนคนยังคงไม่พอ ยังคงพบเจอกับอุปสรรคในทุกๆ เรื่องราว ในขั้นตอนระหว่างนี้ เติ้งเหลียงผู้ถวายงานที่มีชาติกำเนิดจากธวัลทวีปมีคุณความชอบไม่น้อยจริงๆ เขาแบกรับหน้าที่สำคัญในการสมัครรวบรวมผู้ฝึกตนของฝูเหยาทวีป ยามรับรองดูแลผู้คนก็รอบคอบรัดกุมมากยิ่งกว่าคนสองสายอย่างสายสิงกวานและสายอิ่นกวานเสียอีก

ไม่เพียงเท่านี้ เติ้งเหลียงยังช่วยปรับปรุงแก้ไของค์กรในส่วนของจวนเฉวียนฝู่นครบินทะยานให้สมบูรณ์ และจวนเฉวียนฝู่ที่มีเกาเหย่โหวเป็นผู้นำ ทุกวันนี้ขนบธรรมเนียมเป็นอย่างไร ผู้คนทั่วทั้งนครล้วนรับรู้ เรียกได้ว่าเห็นเงินตาโตจนถึงขั้นเสียสติ อะไรที่บอกว่าผู้ฝึกตนของจวนเฉวียนฝู่มาถึง ฟ้าสูงสามฉื่อดินบางหนึ่งจั้ง อะไรคือผ่านที่ใดไม่เหลือต้นหญ้าแม้สักตน หยุดแต่พอสมควร คำพูดติดปากแต่ละคำแพร่สะพัดไปนับไม่ถ้วน

และเติ้งเหลียงยังเคยเป็นผู้ฝึกกระบี่สายของอิ่นกวานมาก่อน ถ้าอย่างนั้นก็ย่อมต้องมีความสามารถที่ได้รับการถ่ายทอดจากอิ่นกวานคนก่อนมาหลายส่วน ดังนั้นยามอยู่กับผู้ฝึกตนของจวนเฉวียนฝู่ที่เที่ยวกวาดหาค้นเก็บของตกหล่นตามขุนเขาแม่น้ำทั้งหลายด้วยความฮึกเหิมตื่นเต้น เติ้งเหลียงจึงได้นั่งตำแหน่งของแขกผู้ทรงเกียรติอย่างมั่นคง

เนื่องจากภูเขาที่อาณาเขตการปกครองขยับออกไปเป็นวงกว้างอย่างมองไม่เห็นอีกครั้งลูกนี้แทบจะตั้งอยู่ตำแหน่งใจกลางของนครบินทะยานและทิศใต้ของใต้หล้าแล้ว ดังนั้นจึงเกิดข้อพิพาทกับผู้ฝึกตนใบถงทวีปที่พากันผลักดันรุดหน้าไปทางเหนือ ยึดครองเอาภูเขาไปเป็นของตัวเองอย่างบ้าคลั่งตลอดทางหลายครั้งแล้ว

แดนบินที่นครบินทะยานเลือกเฟ้นอย่างตั้งใจแห่งนี้เป็นพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลที่สมชื่ออย่างแท้จริง นอกจากจะมีแม่น้ำใหญ่ยาวหมื่นลี้สายหนึ่งแล้ว ยังสามารถสร้างขุนเขาทั้งห้าขึ้นมา ขุนเขาสายน้ำอิงแอบเคียงข้าง หากนำไปวางไว้ในใบถงทวีป ไม่แน่ว่าอาจเป็นพื้นที่มังกรลุกผงาดของราชวงศ์แห่งหนึ่งก็เป็นได้

แดนบินที่เหลืออีกสามแห่งใช้สำหรับช่วยนครบินทะยานขยับขยายอาณาเขตไปเป็นวงกว้าง อันที่จริงล้วนไม่เผด็จการป่าเถื่อนเหมือนกับแถบทิศใต้แห่งนี้ที่เมื่อเทียบกันแล้วถือว่าอยู่ใกล้นครบินทะยานที่ตั้งอยู่ใจกลางของฟ้าดินมากกว่า

หากเอ่ยตามคำพูดที่เซียนกระบี่ใหญ่หญิงซึ่งเป็นผู้นำสายอิ่นกวานชั่วคราวบางคนทิ้งไว้หลังผ่านการถามกระบี่ไปครั้งหนึ่ง ก็คือ ‘จะรังแกใบถงทวีปพวกเจ้าแล้วจะทำไม’

สำหรับเรื่องนี้ฉีโซ่วและเกาเหย่โหวในฐานะผู้นำของสองสายอย่างสิงกวานและจวนเฉวียนฝู่ก็รู้สึกจนใจมากเหมือนกัน แล้วนับประสาอะไรกับที่กำแพงมืองปราณกระบี่ก็มีความทรงจำที่ย่ำแย่ต่อใบถงทวีปอย่างถึงที่สุดจริงๆ

สุดท้ายก็ลงมือตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในการประชุมศาลบรรพจารย์ครั้งที่สอง นั่นคือตั้งป้ายศิลาแผ่นหนึ่งไว้บนจุดที่สูงที่สุดของภูเขา แกะสลักคำง่ายๆ ว่า ‘ปราณ’ เอาไว้

นอกจากนี้ยังตั้งป้ายคำว่า ‘กระบี่’ ไว้ทางทิศตะวันออก คำว่า ‘กำแพง’ ไว้ทางทิศตะวันตก คำว่า ‘เมือง’ ไว้ทางทิศเหนือ

เรื่องไม่คาดคิดที่ใหญ่ที่สุดก็คืออาณาเขตของป้ายศิลาอักษร ‘กระบี่’ นั้น นักพรตหนุ่มคนหนึ่งที่มีชื่อว่าซานชิง ไม่เพียงแต่ใช้กระบี่ฟันป้ายหิน ยังขับไล่ผู้ฝึกกระบี่ของนครบินทะยานออกจากพื้นที่ทั้งหมดด้วย

บนซากปรักอักษร ‘กระบี่’ แห่งนั้น หนิงเหยาขี่กระบี่มาถึงยอดเขา จากนั้นก็ขี่กระบี่ตรงไปหาซานชิงผู้นั้น ไปถึงอาณาเขตของใต้หล้ามืดสลัว หนิงเหยาไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ถามกระบี่ทันที สุดท้ายใช้หนึ่งกระบี่ฟันตราประทับอักษรภูเขาที่เคยเป็นภูเขาห้อยหัวให้หล่นร่วงลงพื้น ไม่เพียงเท่านี้ หนิงเหยายังใช้กระบี่เกี่ยวตราประทับอักษรภูเขาขึ้นมา ย้ายป้ายศิลาตัวอักษร ‘กระบี่’ กลับมาไว้บนภูเขา ก่อนที่นางจะย้ายตราประทับไปได้ทิ้งอีกประโยคหนึ่งให้กับซานชิงที่หน้าซีดขาวว่า วันหน้าอยากจะถามกระบี่อีกก็บอกข้าสักคำ ใต้คมกระบี่แบ่งเป็นตาย

ลูกศิษย์คนสุดท้ายของมรรคาจารย์เต๋าที่ใช้กระบี่ทำลายตัวอักษร ‘กระบี่’ ยอมรับเรื่องนี้โดยปริยาย จากนั้นก็จำต้องปิดด่านพักรักษาตัวชั่วคราว

ผ่านศึกครั้งนี้ บุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าใหม่เอี่ยมที่เดิมทีผู้คนยังมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่บ้าง ย่อมต้องเป็นหนิงเหยาอย่างมิต้องสงสัย

ระหว่างที่หนิงเหยาไปกลับป้ายศิลาอักษรกระบี่ก็ได้รับกระบี่บินส่งข่าวฉบับหนึ่งจากนครบินทะยานว่า อาณาเขตป้ายศิลาอักษร ‘ปราณ’ ทางทิศใต้ได้เกิดข้อพิพาทกับผู้ฝึกตนกลุ่มใหญ่ของใบถงทวีป

เนื่องจากการประชุมในศาลบรรพจารย์ก่อนหน้านี้บรรยากาศตึงเครียด ระหว่างนั้นสายอิ่นกวานจึงพูดถึงเรื่องที่ว่าจะคบค้าสมาคมกับคนนอกอาณาเขตอย่างไร หลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้ฝึกกระบี่จำนวนมากเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ไม่กล้าออกกระบี่เต็มสังหารศัตรูอย่างกำลัง

ดังนั้นหนิงเหยาจึงได้แต่ขี่กระบี่เดินทางไปยังทิศใต้ ออกกระบี่กับคนนอกอีกครั้ง

นับแต่นั้นมาตลอดทั้งนครบินทะยานซึ่งรวมถึงผู้ฝึกกระบี่ที่สร้างนครทางทิศใต้ล้วนเข้าใจแล้ว มีเพียงกับผู้ฝึกตนของใบถงทวีปเท่านั้นที่ไม่ต้องเกรงใจกันเกินไป ขอแค่เป็นฝ่ายที่มีเหตุผล ก็สามารถทำให้เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของใบถงทวีปกลุ่มนี้ ‘โมโห’ (ชี่ อ่านเสียงเดียวกับคำว่าปราณ) ตายทั้งเป็นโดยไม่ต้องชดใช้ด้วยชีวิตได้

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!