สรุปตอน บทที่ 729.3 ดอกหลีขาวเกินไป หมวกหัวเสือ – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
ตอน บทที่ 729.3 ดอกหลีขาวเกินไป หมวกหัวเสือ ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ป๋ายเหย่ออกกระบี่ไม่หยุด ไม่เพียงแต่มองเมินสรรพสิ่งสรรพวิชาที่หยุดชะงักอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลา กลับกลายเป็นว่าแสงกระบี่ยังไร้ร่องรอยให้ตามหา ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือนี่ทำให้การเผาผลาญปราณวิญญาณของป๋ายเหย่เปลี่ยนเป็นเชื่องช้าอย่างถึงที่สุด ต่อให้ออกกระบี่มากแค่ไหน นอกจากปราณวิญญาณที่ถูกเผาผลาญไปเล็กน้อยยามปล่อยกระบี่แล้ว สิ่งที่เผาผลาญไปจริงๆ อันที่จริงก็มีแค่บทกวีในใจเท่านั้น
มีน้ำของน้ำตกเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นมาบนฟ้า หวงเหอหล่นลงฟ้าไหลสู่ทะเลบูรพา พอหล่นลงบนโลกมนุษย์ก็กระแทกเข้ากับลำคลองเย่ลั่วที่จำแลงมาจากมหามรรคาของหย่างจื่ออย่างแรง ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์ถาโถม ในม้วนภาพลายเส้นขุนเขาสายน้ำก่อเกิดเป็นหนองน้ำยาวไกลหมื่นลี้ พลังอำนาจไม่แพ้ให้กับการช่วงชิงบนมหามรรคาระหว่างหย่างจื่อและเฟยเฟยเลย
ป๋ายเหย่ใช้กระบี่ฟันร่างกายธรรมงูยักษ์ของหย่างจื่อที่ไม่คงศีรษะมนุษย์ไว้อีกต่อไปให้ขาดออกเป็นสองท่อน
หยวนโส่วก็ใช้ร่างจริงหมื่นจั้งถือกระบี่บุกเข้ามาเข่นฆ่า อยู่ห่างไปแค่ร้อยกว่าลี้ กลายมาเป็นหนึ่งในปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ที่อยู่ใกล้กับป๋ายเหย่มากที่สุด
กระบี่ไท่ป๋ายปาดไปในแนวขวาง ใช้แสงกระบี่เจิดจ้าที่เปิดแหวกฟ้าดินเสี้ยวหนึ่งมาต้านรับกระบองที่ร่างจริงหยวนโส่วฟาดลงมา
กระบองยาวในมือหยวนโส่วแหลกสลายไปอีกครั้ง มือขวาสะบัดข้อมือทำท่ากำ ในมือก็ปรากฏกระบองยาวที่แกะสลักคำว่า ‘ค้ำมหาสมุทร’ ขึ้นมา ถ่มเลือดสดคำหนึ่งทิ้ง ยังดีที่บทกวีในใจของป๋ายเหย่มิอาจเรียกออกมาซ้ำได้อีก ไม่อย่างนั้นสงครามครั้งนี้จะไม่ต้องสู้กันไปจนตราบชั่วฟ้าดินสลายเลยหรือ?
ไม่เพียงเท่านี้ท่วงทำนองปณิธานกระบี่ของป๋ายเหย่ที่เหลืออยู่ทำให้จิตธรรมบังเกิดขึ้นอีกครั้ง หยวนโส่วที่ความดุร้ายยิ่งกำเริบหนักจึงฟาดกระบองทุบตีสะเปะสะปะ นึกอยากจะทุบฟ้าดินให้แหลกไปพร้อมกันเสียเลย
ส่วนอู่เยว่ที่อยู่ใกล้กับป๋ายเหย่ที่ถือกระบี่มากที่สุด สภาพการณ์ก็คล้ายคลึงกับป๋ายอิ๋ง
เมฆล่องลอยตะวันตกดิน เส้นทางดินโคลนคดเคี้ยว สกุณาโศกล้อมพงไพร สนแห้งเหี่ยวโก่งโค้งงอ ผาสูงชันอันตราย น้ำกระทบหินดุจเสียงอสนีบาต…มหามรรคาฟ้าคราม มีเพียงข้าที่ไร้ทางออก
ขนาดข้าป๋ายเหย่ยังออกไปไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับอู่เยว่ปีศาจใหญ่ที่อยู่ในฟ้าดินจิตธรรมก็ยิ่งไร้ทางออก
ภาพปรากฎการณ์ประหลาดของฟ้าดินเช่นนี้ทำให้อู่เยว่ที่ต่อให้มีสามเศียรหกกร กายธรรมสูงตระหง่านยิ่งใหญ่จนแทบจะค้ำฟ้ายันดิน ไม่ว่าจะออกหมัดหรือใช้ศาสตราวุธก็ล้วนไม่อาจเปิดฟ้าออกไปได้
เยี่ยมเยือนเซียนป๋ายเหย่
กว่าหย่างจื่อจะชนน้ำของแม่น้ำหวงเหอนั้นให้แหลกไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย คิดไม่ถึงว่าป๋ายเหย่จะฟันกระบี่มาใส่อีกครั้ง
ผมขาวสามพันจั้ง ข้าเคยตกมังกรขาวได้ ชักดาบตัดน้ำไหล ปล่อยมังกรขาวกลับคืน
กระบี่บินขาวหิมะสามพัน ประหนึ่งฝนพร่างพรมพร้อมกันในธารา กระบี่ฟันปีศาจบนบัลลังก์หย่างจื่อที่ร่างจริงเป็นงูยักษ์
ห่างไปไกลอีกฝั่งหนึ่งของลำธารก็ยิ่งมีขุนพลม้าขาว ควบม้าข้ามลำคลอง ม้าเหล็กจัดเรียงขบวน หนาแน่นดุจภูเขาหิมะ ม้าศึกก้มดื่มน้ำในลำธาร
ลูกธนูสาดยิงอย่างพร้อมเพียง หอกเหล็กพุ่งบุกมาเบื้องหน้า ปราณกระบี่ดุจสายฝน
กวีหน้าด่านป๋ายเหย่
ทำให้หย่างจื่อเจ็บปวดจนพูดไม่ออก
ปีศาจใหญ่หนิวเตาที่หลุดพ้นจากกรงขังเสื้อเกราะสีทองแล้ว เตรียมจะขยับประชิดตัวป๋ายเหย่ ฟ้าดินพลันแปรเปลี่ยน ก้อนเมฆลอยเกลื่อนฟ้า หมื่นลี้เต็มไปด้วยสีสันแห่งใบไม้ร่วง ทุ่งกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ลมเย็นเยือกบังเกิด
จุดที่ลมพัดก็คือจุดที่ปราณกระบี่ผุดขึ้นมา ปราณกระบี่ทับซ้อนหนาหนักดุจเทือกเขาเรียงราย ยอดเขาที่ทอดยาวติดต่อกันขัดขวางธารดวงดาว สกัดกั้นดาวโต้วหนิว
เชี่ยอวิ๋นยืนนิ่งไม่ขยับ ดึงเนื้อหนังมังสาออกอีกครั้งเบี่ยงหลบกระบี่ของป๋ายเหย่มาเล็กน้อย ตั้งท่ารอคอย มองม่านฟ้าแวบหนึ่ง เดิมทีนึกว่าจุดที่ปราณกระบี่จะหล่นกระแทกคือจุดที่ฟ้าลดตัวลงตรงหน้าโลงศพหยกขาว ก้มหน้าลงมองโลกมนุษย์อีกที เดาว่าจะเป็นภาพชนบทที่รวงข้าวแตกหน่อในเดือนสามหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าจะไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ภาพที่เห็นคือภาพร้านเหล้าข้างทางในหมู่ชาวบ้าน เด็กหนุ่มเรียนวิชากระบี่ เมามายใต้ต้นหลิว ดื่มเหล้าร่วมจอก เขาองอาจห้าวหาญตั้งแต่เด็ก จอมยุทธหนุ่มน้อยออกเดินทาง ก้มหน้ายิ้มกับจอกเหล้า ปลิดชีพคนแม้ผู้คนพลุกพล่าน
จอมยุทธพเนจรป๋ายเหย่
ครั้งนี้เชี่ยอวิ้นมิอาจหลบกระบี่ของจอมยุทธพเนจรหนุ่มน้อยคนนั้นได้
นาทีถัดมาเชี่ยอวิ้นเพิ่งจะประสานเรือนกายได้สำเร็จ ร่างก็มาอยู่ในม่านราตรีที่มีดวงดาวลอยอยู่บนฟ้าอีกครั้ง เขาได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน ขนาดตนยังรู้สึกหงุดหงิดเต็มทีแล้ว คาดว่าจิตสังหารของปีศาจบนบัลลังก์ตนอื่นก็คงยิ่งยืนหยัดหนักแน่น ปณิธานในการสังหารยิ่งเปี่ยมล้น
ในฝันขี่กวางขาวไปยังขุนเขาตะวันตก ขุนเขาสูงตะหง่านเสียดฟ้า ยอดเขาสามสิบสองรวมกลุ่ม เทพธิดานับพันลอยล่องตามเมฆา ขับขานบทกวีเทพเซียนแสงม่วงเรืองรอง ทุกท่านร่วมกันเปิดสวรรค์ให้แก่ข้า เจินหลิงหลอมหยกพันปี เหยียบข้ามสะพานสายรุ้ง เจ๋อเซียนย่างก้าวมรกตล้อมพัน ลืมตนสู่ไร้ที่สิ้นสุด ไท่ป๋ายกว้างใหญ่ไพศาล ดวงดาวดารดาษเรียงร้อย ดื่มเหล้าเมาหัวปักหัวปำ ถือกระบี่พิงสนโบราณหมื่นปี ใครเล่าบอกว่าธารฟ้าใต้ฝ่าเท้าคือสายน้ำกว้าง ในดวงตาเห็นว่าแคบดุจแถบผ้า พลันหันหน้ากลับมามอง ยิ้มยื่นมือกวักเรียกเด็กหนุ่ม…
สนามรบอีกแห่งหนึ่ง
ฝูลู่อวี๋เสวียนคือคนประเภทที่ว่าไม่จำเป็นต้องม้วนชายแขนเสื้อลงมือด้วยตัวเอง บวกกับที่ป๋ายอิ๋งเองก็มีวิธีการไม่ต่างกัน ดังนั้นอวี๋เสวียนจึงสอนคำสุภาษิตแก่ป๋ายอิ๋งไปหลายคำ อะไรที่บอกว่าไม่ว่าจะแย่งอะไรก็อย่าแย่งไปนอนในโลง กบต้องการชีวิตงูต้องการกินอิ่ม อะไรที่บอกว่าอย่างข้าผู้อาวุโสนี้เรียกว่านกไร้ขนแต่สวรรค์คอยให้การดูแล อย่างเจ้านั้นเรียกว่าแม่หมูถูกอัดอยู่มุมกำแพงยังร้องอู๊ดๆๆ สามที…
พูดจาเหลวไหลส่งเดชได้โดยที่ไม่ถ่วงรั้งการทำเรื่องใหญ่ที่สำคัญอันดับหนึ่งของอวี๋เสวียน
เขาใช้ยันต์กระดาษทองสองแผ่นซึ่งด้านในซุกซ่อนยันต์หลากชนิดหลายระดับขั้นนับพันใบ ให้พวกมันไปลอยตัวตรงฝั่งตะวันออกและตะวันตกของฟ้าดินเล็กอย่างเงียบเชียบ แบ่งออกเป็นยันต์ตะวันและยันต์จันทราที่แยกกันอยู่ฝั่งตะวันออกกับฝั่งตะวันตก สุดท้ายกลายมาเป็นยันต์อักษร ‘สว่าง’
ตะวันจันทราส่องแสงสว่างเรืองรอง และภายใต้แสงสว่างที่สะท้อนเจิดจ้านั้นก็ไม่มีจุดใดที่มืดมน ดังนั้นบนภูเขาจึงมีคำชมบอกว่าเมื่อยันต์นี้ของอวี๋เสวียนปรากฎตัว บนโลกก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยันต์จุดตะเกียงอีกแล้ว
เพียงแต่ว่าอวี๋เสวียนเรียกยันต์สองแผ่นนี้ออกมาก็เพื่อยืนยันเรื่องหนึ่งให้มั่นใจ ระดับความเร็วในการไหลรินของแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่อยู่ท่ามกลางตราผนึกฟ้าดินของฝูเหยาทวีปนั้น สรุปแล้วเร็วหรือช้ากันแน่ หากมีการแบ่งช้าเร็วอยู่จริงแล้วความต่างที่แน่ชัดคืออย่างไรกันแน่ ทว่าต่อให้ยันต์ตะวันจันทราจะรวมกันเป็นยันต์อักษรสว่าง กระนั้นก็ยังมิอาจตรวจสอบเรื่องนี้ได้ คิดจะมองระดับขั้นของกาลเวลาท่ามกลางกรงขังที่มีตราผนึกหนาชั้น มีฟ้าดินเล็กแห่งแล้วแห่งเล่ากั้นขวางให้เห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งยังลำบากอย่างยิ่ง
ฝูลู่อวี๋เสวียนโยนยันต์กระดาษสีเขียวออกไปอีกสองแผ่น แบ่งสมาธิออกไปสองทาง ด้านหนึ่งท่องคาถา ส่วนในจักรวาลชายแขนเสื้อข้างหนึ่งก็เรียกเอายันต์แสงอาทิตย์และยันต์นาฬิกาน้ำอีกสองแผ่นออกมา
“นาฬิกาแดดหยุดนิ่ง แสงดาวเคลื่อนคล้อย หอมกลิ่นฝนอวลอยู่ด้านข้าง น้ำค้างหวานลอยตัวสูง แสงตะวันบอกเวลา น้ำไหลกำหนดเวลา จงรีบมารับคำสั่ง ณ บัดนี้!”
“แสงอยู่บนเทียน น้ำอยู่บนลูกศร ส่องสว่างกลางอากาศ แก่นบริสุทธิ์ล้อมวน ปราณฟ้าล้วนขาวโพลน นาฬิกาแดดเล็ก ละลายเมฆทะลุฟ้า! จงมา!”
อวี๋เสวียนกัดฟันโยนยันต์กระดาษเขียวออกไปอีกแผ่น นั่นคือยันต์ตระหง่านที่เขาสร้างขึ้นมาเอง
ในภูเขาไร้เครื่องบอกเวลา เซียนปลูกฝูหรงสิบสองดอกกลางน้ำพุใสกระจ่าง เมื่อริ้วคลื่นไหลรินผ่านจึงกำหนดเวลาเป็นสิบสองชั่วยาม ไม่ต่างจากการดูผ่านแสงตะวัน
เมื่อยันต์สามแผ่นนี้ปรากฏตัว พริบตานั้นมหามรรคาก็ปรากฏจนหมดสิ้น
แม้ว่ายันต์สีเขียวทั้งสามแผ่นจะเผาไหม้จนสิ้นในชั่วพริบตา ทว่าต่อให้จะได้เหลือบมองเพียงแค่แวบเดียว อวี๋เสวียนก็มองไปเห็นความลับสวรรค์แล้ว จึงเอ่ยเตือนป๋ายเหย่ว่า “ระวังแม่น้ำแห่งกาลเวลาจะไหลทวนย้อนกลับ…”
แล้วฝูลู่อวี๋เสวียนก็พลันหลุดหัวเราะพรืด
ที่แท้ตอนที่ฝูลู่อวี๋เสวียนเอ่ยเสียงในใจออกไปได้ครึ่งหนึ่งก็มีกระบี่เซียนสามเล่มทยอยกันแหวกตราผนึกสามชั้นของฟ้าดินฝูเหยาทวีปเข้ามาถึงพอดี กระบี่เซียนสามเล่มนั้นสลายสามคำกล่าวของฝูลู่อวี๋เสวียนที่ว่า ‘ระวัง’ ‘แม่น้ำแห่งกาลเวลา’ ‘ไหลทวนย้อนกลับ’ พอดี
ไม่เพียงเท่านี้ เชี่ยอวิ้นที่อยู่ในฟ้าดินจิตธรรมของป๋ายเหย่ก็ยิ้มบางๆ เอ่ยกับป๋ายเหย่พอดีว่า “ผู้ที่ภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์ ป๋ายเหย่ช่างสมคำเล่าลือจริงๆ”
‘เชี่ยอวิ้น’ ผู้นี้แน่นอนว่าไม่อาจควบคุมกระบี่เซียนทั้งสามเล่มได้ แต่ ‘เชี่ยอวิ้น’ กลับสามารถควบคุมแม่น้ำแห่งกาลเวลาในตราผนึกสามชั้นนั้นได้
ดังนั้นต่อให้ฝูลู่อวี๋เสวียนจะตรวจสอบจนรู้ความลับสวรรค์ก็มิอาจบอกความจริงส่วนหนึ่งแก่ป๋ายเหย่ได้
ป๋ายเหย่เอ่ย “เจี่ยเซิง”
วิชาตัวตายตัวแทน อยู่ที่ป๋ายอิ๋ง แต่วิชาสลับตัวกลับอยู่ที่เชี่ยอวิ้น ดังนั้นเชี่ยอวิ้นที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ จะบอกว่าเป็นหรือตายก็ล้วนได้ทั้งนั้น
แสงกระบี่เส้นสุดท้ายทะลุประตูมองข้ามจางลู่เซียนกระบี่ใหญ่ที่ทำหน้าที่เฝ้าประตู คนเฝ้าประตูแค่ขัดขวางคนเท่านั้น กระบี่ผุๆ ท่อนหนึ่งมีอะไรให้น่าขัดขวางกัน อีกอย่างจางลู่ก็รู้ตัวเองดีว่าต่อให้อยากขวางก็ขวางไม่อยู่
แสงกระบี่เส้นนั้นจึงพุ่งไปยังกำแพงมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งที่เหลืออยู่ทันที
เฉินผิงอันพลันเงยหน้าขึ้น แม้ว่าจะมีตราผนึกฟ้าดินของกระโจมเจี่ยจื่อกั้นขวางก็ยังคงสัมผัสได้ถึงปราณกระบี่ขุมนั้น
หลีเจินทำท่าจะพูด แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่มองชุดคลุมสีเทาที่เพื่อขัดขวางไม่ให้กระบี่เซียนท่อนนั้นหล่นลงบนมือเฉินผิงอันจึงพุ่งผ่านหัวกำแพงเมืองทางทิศเหนือเป็นครั้งแรกเงียบๆ
เฉินผิงอันเซสะดุดล้ม กายธรรมร่างหนึ่งพลันผงาดขึ้นมา นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเฉินชิงตูที่ถือกระบี่ยาว เงื้อกระบี่ฟาดเข้าใส่ชุดสีเทา “หลงจวินรับกระบี่”
กระบี่สุดท้ายในชีวิตนี้ของเฉินชิงตูกลับเป็นกระบี่ที่มีไว้สังหารหลงจวินหลังจากร่างดับไปนานหลายปีแล้ว
หลีเจินนั่งยองอยู่บนหัวกำแพงเมือง สองมือกุมหัว ไม่มองภาพที่ตนเคยเห็นมาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง
มุมหนึ่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ดอกหลีเบ่งบานขาวสะพรั่ง บุปผาผลิดอกขาวพร่าตาเกินไปแล้ว
ใต้ต้นไม้มีเด็กน้อยคนหนึ่งปรากฏตัวมาจากความว่างเปล่า เขากวาดตามองไปรอบด้าน ท่าทางมึนงงเล็กน้อย สุดท้ายแหงนหน้ามองไปยังดอกหลีต้นนั้น
หมวกหัวเสือใบหนึ่งพลันหล่นลงบนศีรษะของเด็กน้อย ซิ่วไฉเฒ่าคนหนึ่งลูบหมวกหัวเสือที่เตรียมไว้อย่างตั้งใจใบนั้นพลางพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “โชคชะตาก็เป็นเช่นนี้ เมื่อเข้ามาอยู่ในแก้วแล้วก็ยกขึ้นดื่มเสียเถิด น้องป๋ายเหย่ ข้าพาเจ้าไปดื่มเหล้าดีไหม?”
กำแพงมืองปราณกระบี่ พอเฉินผิงอันลุกขึ้นได้อย่างไม่ง่ายนักก็มองเห็นผ้าขาดๆ กองหนึ่งสีขมุกมัวห่อหุ้มปลายกระบี่ท่อนหนึ่งลอยอยู่เบื้องหน้าตน นี่มันเรื่องอะไรกัน? หมาแก่หลงจวินกับเจ้าโจรน้อยหลีเจินรู้จักใช้แผนการแล้วหรือ? ดูท่าแล้วจะลงทุนไม่น้อยเลยนะ
เรือนกายของผู้เฒ่าคนหนึ่งมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ค้อมเอวตบศีรษะอิ่นกวานหนุ่ม เอ่ยว่า “ถือเป็นการชดเชยให้กับการผิดสัญญาก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง กลับเห็นภาพที่ร่างของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสค่อยๆ สลายหายไป ไม่รอให้เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เฉินชิงตูก็เป็นฝ่ายนั่งลงบนพื้นด้วยตัวเอง สองมือวางแนบหน้าท้อง กำเป็นหมัดเบาๆ ผู้เฒ่ายิ้มถาม “กระบี่นี้เป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็รู้สึกว่าจะไปสนใจเรื่องอื่นกะมารดามันอะไรนักหนา จึงพูดไปตามตรงว่า “ร้ายกาจ”
เฉินชิงตูหัวเราะ “แค่ขยับปากก็พูดส่งเดชจริงๆ เหมือนข้าในปีนั้น”
ริมลำคลองในปีนั้น ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มเอ่ยประโยคว่า ‘ตีกันก็ตีสิ’
เฉินผิงอันเอ่ย “วางใจเถอะ”
เฉินชิงตูพยักหน้า “ดีมาก”
เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรอีก
แล้วร่างของเฉินชิงตูก็จางหายไปจากโลกมนุษย์เช่นนี้
อิ่นกวานหนุ่มที่สวมชุดคลุมอาคมสีแดงสดกำสองหมัดวางไว้บนหัวเข่า ครู่หนึ่งต่อมาชุดคลุมอาคมบนร่างของเฉินผิงอันก็พลันเปลี่ยนเป็นชุดสีขาว เขาลุกขึ้นยืน เดินมายังหัวกำแพงเมือง มองไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
จากนั้นเรือนกายหนึ่งก็มาปรากฏตัวอยู่ด้านข้าง ชายฉกรรจ์เคราดกสะพายกระบี่ มือกระบี่หลิวชา
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!