กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 752

สรุปบท บทที่ 752.1 หมัดของขอบเขตสิบเอ็ด: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปตอน บทที่ 752.1 หมัดของขอบเขตสิบเอ็ด – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

ตอน บทที่ 752.1 หมัดของขอบเขตสิบเอ็ด ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

สองมือของเจียงซ่างเจินกำเป็นหมัด หรี่ตาลงเอ่ยเสียงแผ่ว “ระวังตัวด้วย”

หันเจี้ยงซู่เห็นบิดาต้องยอมก้มหัวให้คนอื่น คือภาพอันน่าสังเวชที่ไม่เคยเห็นมาก่อนตลอดชีวิต ถึงขั้นเป็นเรื่องที่นางไม่อาจจินตนาการถึงได้เลย จิตวิญญาณของหันเจี้ยงซู่พลันแกว่งไกว แทบจะเกิดลางว่าจิตแห่งมรรคาเสียการควบคุม ยังคงเป็นริ้วคลื่นปราณกระบี่ที่ชักนำจากใบหลิวท่อนหนึ่งนั้นที่ทำให้นางฟื้นคืนสติได้ในฉับพลัน ฝืนกลืนเลือดสดคำหนึ่งลงคอ พลันยกมือขึ้นมากำใบหลิว ยอมชักนำจิตวิญญาณและวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุอย่างไม่เสียดาย ครั้นจึงใช้เวทลับกักกระบี่บินใบหลิวที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้านี้เอาไว้ หันเจี้ยงซู่ถึงขั้นยอมตายแต่ก็ต้องขัดขวางไม่ให้เจียงซ่างเจินออกกระบี่ให้จงได้

ต่อให้จะประคับประคองตัวไว้ได้แค่ชั่วครู่ชั่วยาม หันเจี้ยงซู่ก็ยังคงไม่สนใจอยู่ดี

และในวินาทีที่หันอวี้ซู่แสร้งทำเป็นอ่อนข้อขอชีวิต ก้มหัวคารวะแบบลัทธิเต๋านั้นเอง เขาก็ปล่อยท่าไม้ตายที่แท้จริงออกมาทันที คือความสามารถก้นกรุวิชาหนึ่งที่ยกเอาค่ายกลปกป้องภูเขาของพื้นที่มงคลสามภูเขาออกมา

คือภาพห้าขุนเขาที่แท้จริงซึ่งแขวนอยู่ในศาลบรรพจารย์สำนักว่านเหยามานานหลายพันปี อีกทั้งตามคำกล่าวของบิดา ภาพนี้เมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์ของสำนักว่านเหยาแล้วมีแต่จะยาวนานยิ่งกว่า

ปีนั้นบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาของสำนักว่านเหยายังเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มคนตัดฟืน จับผลัดจับผลูฝ่าตราผนึกชั้นหนึ่งที่ง่อนแง่นใกล้คลายตัว บุกเข้าไปในพื้นที่มงคลสามภูเขาที่ไม่เคยมีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าไพศาลโดยบังเอิญ ท่ามกลางภูเขาบรรพบุรุษที่ในอนาคตถูกเขานำมาใช้ก่อสำนักตั้งพรรคก็ได้ค้นพบม้วนภาพที่เป็นอาวุธเซียนชิ้นนี้โดยบังเอิญ นับแต่นั้นก็ได้ก้าวเดินลงบนเส้นทางการฝึกตน อยู่ในพื้นที่มงคลสามภูเขาที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นพื้นที่มงคลระดับสูง เรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝน ท่ามกลางเส้นทางของการเดินขึ้นสู่ที่สูงได้สกัดดึงเอาปราณวิญญาณฟ้าดินมาอย่างต่อเนื่อง เป็นเหตุให้ปราณวิญญาณเกือบครึ่งของพื้นที่มงคลมารวมตัวอยู่บนร่างของเขา แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดสุดท้ายบรรพจารย์ก็ยังปิดด่านล้มเหลว ในฐานะผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยาน ปณิธานอันเข้มข้นทั่วร่างและปราณวิญญาณที่มีมากมายนับไม่ถ้วนล้วนกลับคืนสู่พื้นที่มงคลทั้งหมด

ส่วนสรุปแล้วเป็นใครกันแน่ที่มีความกล้าหาญ มีฝีมือการวาดภาพและมีจิตวิญญาณอันเปี่ยมล้นจนสามารถวาดภาพห้าขุนเขาและเก้าแม่น้ำแปดลำคลองนี้ออกมาได้ ตรงช่วงล่างของภาพวาดได้ลงนามที่มิอาจสืบสาวหาหลักฐานไว้ว่า อาจารย์ซานซานจิ่วโหว

นอกฟ้าดินของม้วนภาพ หันเจี้ยงซู่หันหน้าเข้าหาประตูภูเขาของภูเขาไท่ผิง หันหลังให้กับสองฝ่ายที่คุมเชิงกันอยู่บนสนามรบห่างไปไกล แต่ภาพเหตุการณ์ผิดปกติ ฟ้าพลิกดินตลบของที่แห่งนั้นราวกับภาพขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้ภาพหนึ่งที่ถูกพับทบอย่างไม่ใส่ใจ เป็นเหตุให้ทั้งหันอวี้ซู่และเซียนกระบี่แปลกหน้าผู้นั้นต่างก็หายตัวไป ราวกับว่าได้เข้าไปในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลแห่งหนึ่งในเวลาเดียวกัน ตัดขาดฟ้าดิน สาบสูญไปนับแต่นี้

นี่ทำให้หันเจี้ยงซู่สัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวที่แท้จริง การจับคู่เข่นฆ่ากันระหว่างผู้ฝึกตนเซียนเหรินและเซียนกระบี่พสุธาอันตรายถึงเพียงใด น่าเหลือเชื่อถึงเพียงใด บิดาของนางยามอยู่ในพื้นที่มงคลสามภูเขาแทบไม่เคยลงมือ จำนวนครั้งที่ประลองฝีมือกับสหายเก่าที่มาเยี่ยมเยียนก็นับนิ้วได้ อีกทั้งยังไม่เคยป่าวประกาศให้คนนอกรู้ และในฐานะที่หันอวี้ซู่คือผู้ฝึกลมปราณที่มีคุณสมบัติในการฝึกตนเป็นรองแค่บรรพจารย์บุกเบิกขุนเขาในประวัติศาสตร์ของสำนักว่านเหยา ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เคย ‘บินทะยาน’ ไปท่องเที่ยวใต้หล้าไพศาลมาก่อน

เจียงซ่างเจินเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “จักรวาลในชายแขนเสื้อนี้สะบัดได้อย่างตระการตานัก ต่อให้เป็นข้าที่อยู่ในสถานการณ์นั้นก็ต้องไม่ทันระวังผลุบเข้าไปในถ้ำสวรรค์กาเหล้าในมือของพ่อเจ้า ดูท่าเจ้าสำนักหันจะซ่อนตัวอยู่ก้นบึ้งของสระน้ำ ทำตัวเป็นตะพาบเฒ่าพันปีมานานหลายปี ได้เรียนรู้เวทคาถาชั้นสูงมาไม่น้อย ครั้งนี้ตัดใจยอมเปิดเผยโฉมหน้าก็เพราะคิดจะทำแผนการที่เดิมต้องลงมือหลายครั้งให้เสร็จสิ้นในครั้งเดียว มีการเตรียมความพร้อมมาก่อนจริงดังคาด และม้วนภาพดั้งเดิมของภาพห้าขุนเขาที่แท้จริงนี้ เดิมทีก็ควรเอามารับมือกับเซียนเหรินคนอื่นที่เป็นศัตรูกับเขา”

เจียงซ่างเจินหัวเราะ ค้อมเอวไปหยิบกาเหล้าที่วางอยู่ข้างเท้าขึ้นมาจิบเหล้าหนึ่งคำ ไม่ได้มีท่าทีว่าจะออกกระบี่ทำลายตราผนึกฟ้าดินเลยแม้แต่น้อย ราวกับไม่คิดจะไปช่วยเหลือเฉินผิงอัน กลับกันสีหน้ายังเอื่อยเฉื่อย เอ่ยเนิบช้ากับหันเจี้ยงซู่ว่า “ข้าไม่ได้เตือนให้สหายระวังตัว ไม่มีความจำเป็น ข้าแค่เตือนตัวเองว่าเส้นทางของการฝึกตนอีกครึ่งชีวิตที่เหลือนี้จะต้องระมัดระวังผู้ฝึกตนอย่างหันอวี้ซู่เอาไว้ตลอดเวลา ตอนนี้ยังต้องเพิ่มหันเจี้ยงซู่ในอนาคตไปอีกคนหนึ่ง ข้าต้องยอมรับผิดกับเจ้า ก่อนหน้านี้ข้าดูแคลนเจ้าเกินไป รอไปก่อนเถอะ พอลมมรสุมผ่านไปแล้ว ข้าจะเอาความอดทนครึ่งหนึ่งของยามที่คืนรองเท้าปักให้เจ้าในปีนั้นมาเล่นกับสำนักว่านเหยาของพวกเจ้าให้ดีๆ สักครา ใบถงทวีปต่อให้ไม่มีคนแก่ที่ดีๆ เหลืออยู่ ก็ยังคงไม่ได้หยัดยืนกันได้ง่ายขนาดนั้น”

หันเจี้ยงซู่เพียงแค่กำใบหลิวท่อนนั้นไว้แน่น กระบี่บินที่ปราณกระบี่ไหลรินด้วยตัวเองทำให้มือทั้งมือของนางถูกบาดเหวอะหวะจนกระดูกขาวโผล่ สภาพน่าสังเวชจนแทบมิอาจทนมองได้

“กระบี่จะจากไปจริงๆ เจ้าคิดว่าตัวเองจะจับไว้ได้อยู่หรือ?”

เจียงซ่างเจินขยับดวงจิตเล็กน้อยดึงเอาใบหลิวกลับมาลอยอยู่ตรงหน้าเขา ยื่นนิ้วไปดีดมันเบาๆ หนึ่งครั้งคล้ายรังเกียจที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้เปรอะเปื้อนเลือดสดๆ ของพี่หญิงเจี้ยงซู่ จึงไม่อยากแตะต้อง

หันเจี้ยงซู่พยายามใช้เวทลับเสียงในใจพูดคุยกับบิดา แต่น่าเสียดายที่ต้องเปลืองแรงเปล่า เขาลากเซียนกระบี่ผู้นั้นเข้าไปในอยู่ภาพห้าขุนเขาที่แท้จริงด้วยกันจริงเสียด้วย

เพียงแต่ว่าหันเจี้ยงซู่ก็อดกังขาระคนกังวลไม่ได้ บิดาเป็นคนอดทนข่มกลั้นเสมอมา เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงได้คิดจะต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับเซียนกระบี่แปลกหน้าผู้หนึ่งที่มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับภูเขาไท่ผิง?

เจียงซ่างเจินพลันหันหน้ามาเอ่ย “หยางผู่ เจ้าคือบัณฑิต สอนประโยคเด็ดๆ ที่ข่มขู่คนได้ดีให้ข้าสักประโยคสิ”

หยางผู่มีสีหน้ากระอักกระอ่วน แต่ก็ยังขบคิดอย่างตั้งใจ สุดท้ายพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ถึงอย่างไรก็ผูกปมล่างคานแล้ว (เปรียบเปรยถึงการผูกปมแค้น) พอมีโอกาสก็ต้องค้นบ้านยึดทรัพย์ฟาดกระบองใส่ให้หนัก”

เจียงซ่างเจินเอ่ยสัพยอก “ใช้ได้นี่นา เติบโตมาในภูเขาหรือ?”

ไม่คิดว่าหยางผู่จะพยักหน้ารับอย่างเปิดเผย “ตอนเด็กถูกพวกโจรจับตัวไปบนภูเขา อยู่ในรังโจรนานเกินครึ่งเดือน เลยได้เรียนรู้คำพูดหยาบๆ มาบ้าง”

เจียงซ่างเจินรู้สึกประหลาดใจเป็นทบทวี “ใช้ได้ๆ รอดตายจากหายนะใหญ่ย่อมต้องมีโชคดีรออยู่ ข้าก็คือตัวอย่างที่ดีที่สุด พี่หยางผู่ วันหน้าเป็นนักปราชญ์วิญญูชนไปก่อนแล้วค่อยเป็นอริยะเป็นเจ้าขุนเขาอะไรนั่น ถึงเวลานั้นอย่าได้ตาสูงมองไม่เห็นหัวใคร ดูแคลนข้ากับเจ้าขุนเขาเฉินเสียล่ะ”

หยางผู่เอ่ยอย่างจนใจ “เจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียงพูดล้อข้าเล่นแล้ว นอกจากนักปราชญ์ เรื่องอื่นๆ แม้แต่จะคิดข้าก็ยังไม่กล้าคิดเลย”

หากไม่เป็นเพราะการพบเจอกันโดยบังเอิญอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุที่ทำให้หยางผู่รู้สึกเหมือนฝันไปในวันนี้ เขาก็คงไม่กล้าเชื่อจริงๆ ว่าที่แท้เจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียงจะเป็นคนที่น่าสนใจถึงเพียงนี้ พูดจาน่าฟัง เข้าถึงได้ง่าย

เจียงซ่างเจินหัวเราะ เขาเองก็อ่อนใจเหมือนกัน สาเหตุคงเป็นเพราะตนพูดจาเลื่อนเปื้อนเหลวไหลมาเยอะ อุตส่าห์พูดจาจากใจจริงสองสามคำกลับดันไม่มีคนเชื่อ สู้เจ้าขุนเขาเฉินไม่ได้จริงๆ

คาดว่านี่ก็คงเป็นสาเหตุที่เฉินผิงอันได้เป็นเจ้าขุนเขา ส่วนตนกลับเป็นได้แค่ผู้ถวายงานกระมัง? จะดีจะชั่วก็ควรช่วงชิงตำแหน่งผู้ถวายงานอันดับหนึ่งมาให้ได้สินะ? ถึงอย่างไรใบถงทวีปก็เส็งเคร็งเต็มไปด้วยมลพิษสกปรกเช่นนี้แล้ว สำนักกุยหยกมีเหวยอิ๋งอยู่ ไม่มีทางเกิดเรื่องไม่คาดฝัน เจ้าเด็กนี่เป็นเสือหน้ายิ้ม เดิมทีก็จิตใจอำมหิตไม่แพ้ตน ยิ่งเป็นผู้ที่ได้รวบรวมความสามารถของตนและตาเฒ่าสวินเอาไว้ บอกตามตรง เป็นฝ่ายยกตำแหน่งให้เหวยอิ๋ง เจียงซ่างเจินไม่มีความรู้สึกไม่ยินยอมใดๆ แล้วก็ไม่ได้เป็นอย่างที่โลกภายนอกจินตนาการกันที่บอกว่าเหวยอิ๋งฉวยโอกาสที่เจียงซ่างเจินปิดด่านรักษาบาดแผล บีบให้เจ้าสำนักที่เพิ่งได้นั่งตำแหน่งไม่นานต้องลงจากตำแหน่งอะไรนั่นด้วย ส่วนสีหน้าหม่นหมองซีดเซียวหลังจากที่เจียงซ่างเจิน ‘ออกจากด่าน’ นั้น ก็แน่นอนว่าเป็นความตั้งใจของเจียงซ่างเจิน เหวยอิ๋งเป็นเด็กรุ่นหลังที่เฉลียวฉลาดยิ่ง ไม่จำเป็นต้องให้เอ่ยเตือนก็รู้ได้ด้วยตัวเอง วันหน้ายิ่งมีแต่จะช่วยดูแลพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของสกุลเจียงมากขึ้น

อันที่จริงเจียงซ่างเจินกำลังคิดคำนวณเวลาอยู่ในใจตลอด ขอแค่ผ่านช่วงเวลาที่คิดไว้ไปแล้วเฉินผิงอันยังคงไม่อาจหนีออกมาจากภาพห้าขุนเขาที่แท้จริงรุ่นบรรพบุรุษนั้นได้ เขาก็จะออกกระบี่ช่วยเหลือคน

ส่วนข้อที่ว่าจะเผาผลาญตบะ อายุขัยจะลดทอนลงหรือไม่ ก็ไม่มีเวลามามัวสนใจแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ก็ไม่เห็นมีอะไรให้ต้องคิดคำนวณผลได้ผลเสีย คนเรามีชีวิตอยู่บนโลกขอแค่สะใจสบายอารมณ์ก็พอ เจียงซ่างเจินไม่ได้เพิ่งจะเป็นเช่นนี้เอาวันนี้ แต่เป็นแบบนี้มานานมากแล้ว

ก็เหมือนอย่างที่หันเจี้ยงซู่กล่าว เจียงซ่างเจินย่อมรู้ตัวดีว่าตนไม่อาจเป็นวีรบุรุษผู้กล้าอะไรได้ ชื่อเสียงฉาวโฉ่เละเทะ เป็นภมรที่ดอมดมบุปผาไปทั่ว ไม่ว่าไปที่ใดก็ก่อเรื่องที่นั่น ตอนอยู่ในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาก็ยิ่งลงมืออย่างอำมหิตไร้ปราณี

ดีแต่จะเล่นสนุกอยู่ในโลกมนุษย์ ทรยศความจริงใจของคนนับไม่ถ้วน

ในฟ้าดินของม้วนภาพ

เฉินผิงอันและหันอวี้ซู่ต่างคนต่างก็ยังคงลอยตัวอยู่ที่เดิม แต่ห่างไปประมาณสามสิบก้าว กลับเป็นวิชาอภินิหารของเซียนเหรินผู้หนึ่งบวกกับฟ้าดินม้วนภาพ เป็นเหตุให้ทั้งสองฝ่ายคล้ายอยู่บนขอบฟ้าที่ใกล้กันในระยะประชิด

เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน นอกจากตราผนึกยันต์ก่อนหน้านี้แล้วยังมีฟ้าดินกว้างใหญ่ของม้วนภาพลายเส้นขาวดำที่อาณาเขตกว้างขวางมากยิ่งกว่าคอยกักขังตนเอาไว้ อยู่ท่ามกลางขุนเขาสายน้ำของม้วนภาพนี้ มีขุนเขาเก่าแก่ห้าแห่งตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าและดิน นอกจากนี้ยังมีแม่น้ำน้ำลึกเก้าสายที่ไหลรินผ่านไปอย่างเงียบเชียบ รวมไปถึงลำคลองใหญ่ที่กระแสน้ำเดี๋ยวไหลเอื่อยเดี๋ยวไหลแรงแปรเปลี่ยนตลอดเวลาอีกแปดสาย ภาพบรรยากาศนับพันนับหมื่น เปี่ยมไปด้วยความหมายแห่งมรรคาอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้

เฉินผิงอันถอนหายใจ พูดอย่างมีโทสะเล็กน้อย “สหายหันทำอะไร? ก่อนหน้านี้สำนักว่านเหยารับรองแขกได้จริงใจพอแล้ว ข้าบอกว่าจะถามกระบี่ต่อสำนักว่านเหยาก็เป็นแค่คำพูดด้วยอารมณ์เท่านั้น เหตุใดสหายหันต้องถึงขั้นย้ายขุนเขาเคลื่อนสายน้ำ ยกเอาสำนักว่านเหยาครึ่งหนึ่งมาทรมาทรกรรม ยังไม่ทันได้ต่อสู้กันก็เผาผลาญเงินฝนธัญพืชไปร้อยกว่าเหรียญแล้ว ใครจะชดใช้ให้ได้? สหายหัน ฝีเท้าก้าวใหญ่เกินไป รอให้ฝุ่นผงกลบลงพื้น คิดจะเดินกลับไปทางเดิม หาบันไดลงให้ตัวเองอีกครั้ง ก็ไม่ใช่แค่ประโยคว่า ‘สหายเฉินมีเวทกระบี่สูงส่งเทียมฟ้า’ มาทำให้จบเรื่องกันไปได้แล้ว”

สีหน้าของหันอวี้ซู่มืดทะมึน คล้ายจะโมโหยิ่งกว่าเฉินผิงอันเสียอีก “เฉินผิงอัน เจ้ามีตบะเช่นนี้ อันที่จริงเรื่องในวันนี้ เดิมทีสามารถปิดฉากลงดีๆ ได้”

เซียนเหรินท่านนี้ไม่จำเป็นต้องปล่อยจิตหยินเดินทางไกล ตัวอยู่ในฟ้าดินเล็กที่เขาเป็นผู้ควบคุม เทพหญิงที่ก่อนหน้านั้นซ่อนตัวอยู่ในเมฆหมอก เห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลประเภทเทพเมฆา คือภาพลวงตาที่จำแลงมาจากมหามรรคาบางอย่าง เวลานี้ร่างกายของนางยิ่งมั่นคงและชัดเจนมากขึ้น ดวงตาสีทองทั้งคู่ยิ่งบริสุทธิ์เข้มข้น อวิ๋นตุนใหญ่เหมือนภูเขาลูกเล็ก ตัวนางเองก็เหมือนกายธรรมร่างทองของผู้ฝึกตนที่ถือกระบองเล็กตีอวิ๋นอ๋าว ชุดสีสันสดใสพลิ้วปลิวสะบัด ทุกครั้งที่ตีอวิ๋นตุนหนึ่งครั้ง ระหว่างฟ้าดินก็จะเกิดทะเลเมฆหนึ่งผืน สายฟ้าแลบแปลบปลาบคลอเสียงฟ้าร้องครืนครั่น มีเจียวหลงว่ายวนผลุบโผล่อยู่ด้านใน

แส้สายฟ้าสีทองเส้นหนึ่งพลันระเบิดออกมาจากในทะเลเมฆ พริบตาเดียวก็สับเปลี่ยนวิถีการโคจรหลายครั้ง พุ่งเข้าฟาดโบยใส่เฉินผิงอัน

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!