ทางฝั่งของภูเขาอ๋าวโถว จวนที่หลิวจวี้เป่าเข้าพัก ท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภของธวัลทวีปท่านนี้กำลังชมขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือ บนพื้นของห้องโถงใหญ่มีม้วนภาพภูเขาสายน้ำภาพหนึ่งปรากฏขึ้น
ภรรยาของเขาไปทำธุระของตัวเองแล้ว เพราะนางได้ยินมาว่าที่เกาะนกแก้วมีร้านผ้าห่อบุญอยู่แห่งหนึ่ง เพียงแต่ว่าสตรีชวนบุตรชายให้ไปด้วยกัน หลิวโยวโจวไม่เต็มใจจะตามไปด้วย สตรีจึงเสียใจอย่างมาก แต่พอคิดถึงพวกสตรีที่คุ้นเคยกันดีบนภูเขาเหล่านั้น ยามที่เดินเที่ยวร้านผ้าห่อบุญกับนาง ทุกครั้งที่เจอของถูกใจ จะต้องทำท่าชั่งน้ำหนักถุงเงินในมืออย่างเลี่ยงไม่ได้ หากซื้อได้ไหวก็จะกัดฟันซื้อ ถูกใจแต่ซื้อไม่ไหวก็ต้องแสร้งทำเป็นว่าไม่ชอบ…พอสตรีคิดถึงเรื่องพวกนี้ก็อารมณ์ดีได้ทันที
นอกจากหลิวโยวโจวแล้วยังมีผู้ถวายงานสกุลหลิวอีกสองคนอย่างเพ่ยอาเซียงและหลิ่วสุ้ยอวี๋แห่งศาลเหลยกง
ยังมีคนนอกอีกสองคน อวี้พ่านสุ่ยกับฮ่องเต้เด็กหนุ่มราชวงศ์เสวียนมี่ หยวนโจ้ว
ฮ่องเต้เด็กหนุ่มสีหน้าสดใสมีชีวิตชีวา “ใต้เท้าอิ่นกวานท่านนี้อารมณ์ร้ายไม่เบาเลย ถูกใจข้านัก!”
ความสามารถสูง ชื่อเสียงโด่งดัง เจ้าอารมณ์ เจอกับเซียนเหริน นึกจะตีก็ตีกันขึ้นมาทันที
หลิวโยวโจวหัวเราะหึหึ “ภาพในห้องหนังสือบ้านข้าภาพนั้น คราวนี้ต้องมีมูลค่ามากแน่ๆ”
หลิ่วสุ้ยอวี๋นั่งอยู่บนเก้าอี้ท่วงท่าเกียจคร้าน เท้าคางด้วยมือข้างเดียว จุ๊ปากเอ่ยชื่นชม “เขาก็คืออาจารย์พ่อของเผยเฉียนสินะ”
เพ่ยอาเซียงมองภาพหมัดกระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบในภาพวาดแล้วเอ่ยอย่างสงสัยว่า “กดขอบเขตไว้ค่อนข้างมากแล้ว เข่นฆ่าเอาชีวิตกับเซียนเหรินคนหนึ่งจะประมาทเกินไปหน่อยหรือไม่”
หลิวจวี้เป่าหัวเราะดังลั่น “เจ้าอ้วนอวี้ คุ้นตามากเลยใช่หรือไม่?”
อวี้พ่านสุ่ยพยักหน้ารับ ลูบหนวดหรี่ตา “วิธีการที่ใช้ซิ่วหู่อย่างมาก”
……
ริมลำคลอง ซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้เดินขึ้นเขาต่อ แต่ให้เฉินผิงอันเดินขึ้นไปบนยอดเขาคนเดียว ส่วนเขาย้อนกลับไปที่ริมลำคลองเพียงลำพัง
ซิ่วไฉเฒ่าเป็นกังวลใจอย่างมาก ลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ยังอดไม่ไหวถามว่า “ไม่ได้จริงๆ หรือ?”
หลี่เซิ่งพยักหน้า หลังจากที่แบ่งร่างของเฉินผิงอันออกเป็นสามส่วนก็ได้พิสูจน์เรื่องหนึ่งให้เห็นแล้ว และเมื่อมั่นใจว่าไม่มีข้อผิดพลาด เขาจึงเอ่ยกับซิ่วไฉเฒ่าว่า “ในอดีตตอนที่อยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน ภัยแฝงที่ทิ้งไว้หลังจากเฉินผิงอันทำลายจิตบุ๋นสีทองดวงนั้นใหญ่เกินไป ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่ว่าขาดวัตถุแห่งชะตาชีวิตของห้าธาตุไปชิ้นหนึ่งเท่านั้น บวกกับที่ภายหลังผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ เป็นเหตุให้นอกจากเฉินผิงอันจะไม่อาจมีจิตหยินและจิตหยางได้แล้ว ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่อาจหลอมตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตได้ด้วย”
หลี่เซิ่งหยุดชะงักไปชั่วครู่ มองคนหนุ่มที่เดินรั้งท้ายสุดขึ้นไปบนภูเขาทัวเยว่แล้วเอ่ยว่า “น่าเสียดายอย่างมาก”
ซิ่วไฉเฒ่าอัดอั้นอยู่นานเพราะพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว ถึงท้ายที่สุดก็ได้แต่กระทืบเท้าเบาๆ ผู้เฒ่าได้แต่ทอดถอนใจยาวเหยียด “เจ้าขี้มูกยืดน้อยที่ผิดแล้วไม่รู้จักแก้ไขเอ้ย!”
หลี่เซิ่งเอ่ย “สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ไม่ใช่การกระทำที่จงใจของชุยฉานหรอกหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าทรุดตัวลงนั่งยอง เหม่อลอย เงียบไปนานมาก ก่อนจะพยักหน้า “อันที่จริงควรต้องโทษข้า”
หลี่เซิ่งกล่าว “ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายไปเสียทั้งหมด เจ้าที่เป็นอาจารย์ก็ไม่ต้องโทษตัวเองเกินไปนัก”
ป๋ายเจ๋อยิ้มเอ่ย “ความคิดร้อยพันเปิดกว้าง เส้นทางก็มีมากมาย”
อำเภอพ่านสุ่ย
ก่อนหน้านี้เจิ้งจวีจงแบ่งความคิดมาที่นี่ได้ไม่นาน ฟู่จิ้นก็มาที่ห้องนี้ มาเล่นหมากล้อมกับกู้ช่าน
ฝีมือการเล่นหมากล้อมของกู้ช่านธรรมดา ฟู่จิ้นจึงวางเม็ดหมากโดยใช้ฝีมือที่สูสีกับกู้ช่าน
เจิ้งจวีจงนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน ไม่ได้มีความสนใจกับกระดานหมากเท่าใดนัก หยิบเอาตำราสองสามเล่มที่กู้ช่านวางไว้ข้างมือขึ้นมา
ตอนที่กู้ช่านอยู่นครจักรพรรดิขาวและฝูเหยาทวีป นอกจากจะฝึกตนแล้วก็จะอ่านความรู้ของร้อยสำนักและรวมเล่มบทประพันธ์มากมาย หนังสือเบ็ดเตล็ดก็ยิ่งอ่านมากกว่า
ยกตัวอย่างเช่นหนังสือสองเล่มในมือเจิ้งจวีจง เล่มหนึ่งคือวิธีการคิดคำนวณค่าใช้จ่ายจากการสร้างเรือลำใหญ่ซึ่งเป็นฉบับสำเนาคัดลอก
เล่มหนึ่งคือกลโกงในการสอบเคอจวี่ ตัวอักษรเล็กเท่ามด เรียงแน่นอัดเป็นพรืด ระยะห่างมีความพิถีพิถัน
หนังสือพวกนี้ อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนบนภูเขาเลย ต่อให้เป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษาล่างภูเขาก็ไม่คิดจะแตะต้อง
สำหรับเฉินผิงอันที่โผล่เพิ่มมาอีกคนบนเกาะยวนยาง อันที่จริงเจิ้งจวีจงค่อนข้างจะประหลาดใจ ดังนั้นจึงเปิดหนังสืออ่านพลางโบกชายแขนเสื้อสร้างขุนเขาสายน้ำไปด้วย
สถานการณ์บนกระดานหมากเข้าสู่ช่วงปลายของกลางการประลอง กู้ช่านก็โยนเม็ดหมากยอมรับความพ่ายแพ้โดยตรง
ฟู่จิ้นผงกศีรษะ
บนม้วนภาพวาด เสียงในใจของทุกคนล้วนดังเข้าหูอย่างชัดเจน
สำหรับเรื่องนี้ทั้งกู้ช่านและฟู่จิ้นต่างก็เห็นจนชินตาแล้ว
บทสนทนาระหว่างเฉินผิงอันกับอวี๋เยว่และหลินชิง ล้วนถูกคนทั้งหลายของนครจักรพรรดิขาวแอบฟัง
ฟู่จิ้นยิ้มเอ่ย “อิ่นกวานท่านนี้เข้าใจพูดจริงๆ”
เจิ้งจวีจงวางตำราในมือลง ยิ้มกล่าว “ขอแค่เรียนรู้ได้ คนคนหนึ่งยอมรับในคำพูดของผู้อื่น ถึงจะมีความจริงใจ ถึงขั้นที่ว่าการปฏิเสธของเจ้ายังมีน้ำหนัก ไม่อย่างนั้นคำพูดทั้งหมดของพวกเจ้า ต่อให้พูดเสียงดังแค่ไหน ไม่ว่าจะพูดอย่างดุดัน หรือพูดประจบสอพลอ ก็ล้วนเบาราวขนห่าน เรื่องนี้ฟู่จิ้นเรียนรู้ไม่ได้แล้ว อายุมากแล้ว แต่กู้ช่านเจ้าเรียนรู้มาได้ไม่เลว”
ฟู่จิ้นพยักหน้า “ก็เหมือนว่าเงินร้อนน้อยเหรียญนั้นของเฉินผิงอันได้กลายเป็นศาลาที่ติดตามคนไปด้วย ดังนั้นขอแค่เฉินผิงอันได้เจอกับซูจื่อบนเส้นทางของชีวิตในอนาคต ซูจื่อก็จะยินดีเดินเข้ามานั่งพักในศาลา เพราะความจริงใจ ผู้ฝึกตนบนยอดเขาอย่างซูจื่อ คนที่เขียนบทประพันธ์ได้องอาจห้าวหาญอย่างซูจื่อ ไม่มีทางปฏิเสธความจริงใจนี้ของผู้เยาว์ ถ้าอย่างนั้นต่อให้ซูจื่อเคยมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อเฉินผิงอันในจุดอื่น ความรู้สึกไม่ดีนั้นก็จะถูกลดทอนให้หายไปได้เอง”
อันที่จริงนี่ก็คือการถามกระบี่ การถามหมัด อีกทั้งเขายังสามารถชนะมาได้อย่างเงียบเชียบด้วย
เพราะมีความสัมพันธ์กับก็ช่าน ฟู่จิ้นจึงค่อนข้างเข้าใจเฉินผิงอันผู้นี้
กู้ช่านพยักหน้า หลักการเหตุผลข้อนี้ตื้นเขินอย่างมาก ก็แค่ว่ารู้ง่ายทำได้ยาก เพราะบนเส้นทางชีวิตคน ส่วนใหญ่มักจะมีความรู้มากมายที่ต้องนำมาใช้ประคับประคองหลักการเหตุผลที่มองดูเหมือนเรียบง่าย
อาจารย์เคยบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นหลักการเหตุผลที่สมบูรณ์แบบข้อใดก็ตาม ล้วนเป็นเรือนทั้งหลัง ไม่ใช่แค่เสาคานไม่กี่ต้น
หลายปีมานี้เขาไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนั้นมาไม่ต่ำกว่าร้อยครั้ง แน่นอนว่าสามารถค้นพบเรื่องหนึ่ง นับตั้งแต่หลิวเหล่าเฉิงไปจนถึงหลิวจื้อเม่า แล้วค่อยไปถึงจางเย่ เถียนหูจวิน ฯลฯ นิสัยของคนพวกนี้แตกต่างกันไป ประสบการณ์ในชีวิต เส้นทางการเดินขึ้นเขาฝึกตนก็ไม่เหมือนกัน แต่สำหรับนักบัญชีอย่างเฉินผิงอัน ต่อให้เป็นคนที่รู้สึกเป็นศัตรูกับเขา ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รู้สึกชิงชังเฉินผิงอันเท่าใดนัก ไม่มีความดูแคลนอย่างยามที่คนฉลาดมองคนโง่ ไม่มีความเหยียดหยามอย่างยามคนที่ขอบเขตสูงกว่าปฏิบัติต่อผู้ฝึกตนกลางภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหยกดิบ ก่อกำเนิดที่มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระสองคนอย่างหลิวเหล่าเฉิงและหลิวจื้อเม่าที่ต่างก็มองนักบัญชีที่ตอนนั้นขอบเขตไม่สูงเป็นคู่ต่อสู้ที่มิอาจดูแคลน
เจิ้งจวีจงยิ้มกล่าว “เฉินผิงอันมี ‘เงินร้อนน้อย’ มากมายที่เป็นเช่นนี้ เท่ากับว่าเขาสร้างศาลาพักเท้าได้มากมายแล้ว ส่วนสำนักพีหมา สวนน้ำค้างวสันต์ นครเหนือเมฆ ถ้ำสวรรค์วังมังกร ต่างก็ไม่ได้เป็นแค่ศาลาหลังหนึ่งแล้ว แต่เป็นท่าเรือตระกูลเซียนทั้งหลายของเฉินผิงอัน เฉินหลิงจวินออกจากบ้านเกิดไปเดินลงน้ำ อยู่ในอุตรกุรุทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆกลับเดินลงน้ำได้อย่างราบรื่น เหตุผลก็อยู่ที่ตรงนี้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!