ทุกคนได้ยินเพียงนักพรตเนิ่นแผดเสียงหัวเราะดังลั่น “เพิ่งจะต่อสู้กันไปได้แค่ครึ่งทาง เห็นๆ กันอยู่ว่าเจ้ายังมีวิธีการอีกมากมาย คิดจะเก็บซ่อนเอาไว้พาลงโลงด้วยกันหรือไร จะไม่เอาออกมาโอ้อวดหน่อยหรือ?! ทำไม ดูแคลนนักพรตเนิ่นอย่างนั้นรึ?”
มือขวายกดาบยาวหิมะขาวที่มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบขึ้นมา ใช้มือซ้ายปาดเบาๆ หนึ่งที กลางฝ่ามือก็มีลูกแสงกลมๆ ที่ก่อตัวจากสายฟ้าปรากฏขึ้นมาลูกหนึ่ง โยนใส่ปากเคี้ยวเหมือนกินกับแกล้มแกล้มสุรา นักพรตเนิ่นหัวเราะเสียงเย็นชา “อาณาเขตนี้ของข้าไม่ได้เอาออกมาให้คนดูเรื่องสนุก หรือไม่เจ้าก็สร้างฟ้าดินขึ้นมาซะ เปลี่ยนสถานที่ต่อสู้ ให้เร็วหน่อย แบ่งเป็นแบ่งตายกันให้รู้แล้วรู้รอดไปเสีย”
การประลองมรรคกถาอยู่ที่ศาลบุ๋น อันที่จริงไม่ว่าใครล้วนเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ก่อนหน้านี้ที่เฉินผิงอันเปิดฉากเข่นฆ่ากับเซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยว ทั้งสองฝ่ายเองก็ต้องคอยออมแรงอยู่ตลอด ต้องกะน้ำหนักให้ดี หลีกเลี่ยงไม่ให้เดือดร้อนผู้บริสุทธิ์ จำเป็นต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ฝึกตนมากมายบนเกาะยวนยางด้วย
ในประวัติศาสตร์ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เคยมีการต่อสู้สุดชีวิตที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันของเซียนกระบี่สองคน ในรัศมีร้อยลี้รอบด้าน แสงกระบี่สาดกระจายนับไม่ถ้วน ผู้ฝึกตนร้อยกว่าคนหลบหนีไม่ทันเลยแม้แต่น้อย จึงถูกแสงกระบี่เฉียบคมที่มาจากกระบี่บินของทั้งสองฝ่ายเสียบเรียงกลายเป็นถังหูลู่ ตอนที่แสงกระบี่สองเส้นนั้นสลายหายไปก็เป็นช่วงเวลาที่จิตวิญญาณของเหล่าผู้ฝึกตนบริสุทธิ์ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องถูกซัดจนแหลกเละไปแล้ว
คนหนึ่งในนั้น เดิมทีมีตำแหน่งสูง เป็นบรรพจารย์ผู้คุมกฎของจวนเซียนสำนักหนึ่ง ผลคือถูกทางสำนักตัดชื่อออกจากทำเนียบขุนเขาสายน้ำของสำนัก กลายไปเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่ต้องคอยหนีหัวซุกหัวซุน และคนผู้นี้ก็คือเซียนกระบี่แห่งเกราะทองทวีปที่มาท่องเที่ยวแผ่นดินกลางอย่างซือถูจีอวี้ ภายหลังต่อมาซือถูจีอวี้จึงตัดสินใจไปกำแพงเมืองปราณกระบี่
หนันกวงจ้าวใช้เสียงในใจพูดต่ออีกครั้ง “นักพรตเนิ่น เจ้ากับข้าไม่มีความแค้นต่อกัน เหตุใดต้องดึงดันจะต่อสู้ให้ตายตกกันไปข้าง หากยังต่อสู้กันต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรต่อทั้งเจ้าและข้าเลยแม้แต่น้อย”
ไหนเลยหนันกวงจ้าวจะคิดได้ว่า ที่บ้านเกิดของผู้เฒ่าชุดเหลืองคนนี้เคยชินกับการที่ขอแค่ลงมือ การตัดสินแพ้ชนะก็คือการแบ่งเป็นตายมาตั้งนานแล้ว ยิ่งคิดไม่ถึงว่านักพรตเนิ่นลงมืออย่างเหี้ยมโหดเช่นนี้ก็เพียงแค่เพราะอัดอั้นมานานเกินไปจริงๆ โทสะจึงอัดแน่นอยู่เต็มท้องนานแล้ว
นักพรตเนิ่นหัวเราะหยัน “อิดๆ ออดๆ เหมือนสตรี ข้าผู้อาวุโสจะเล่นงานเจ้าให้ร่อแร่ปางตายก่อนแล้วกัน แล้วค่อยไปจัดการเจ้าลูกกระต่ายน้อยที่สวมชุดขาวผู้นั้น”
นักพรตเนิ่นไม่ถึงขั้นคิดว่าจะสามารถสังหารขอบเขตบินทะยานตรงหน้าผู้นี้ได้อย่างสิ้นเชิงจริงๆ แต่หากจะให้อีกฝ่ายขอบเขตถดถอยกลับยังพอทำได้
หากใช้คำกล่าวของนายท่านใหญ่หลี่คุณชายบ้านตน ก็คือเป็นคนควรเหลือพื้นที่ว่างไว้เสี้ยวหนึ่ง วันหน้าจะได้กลับมาพบเจอกันได้ใหม่
ตามนิสัยการเข่นฆ่าของนักพรตเนิ่นในอดีต ไหนเลยจะต้องพูดจาไร้สาระแม้แต่ครึ่งประโยค ฆ่าตายแล้วกินให้เกลี้ยงก็ถือว่าสิ้นเรื่องแล้ว
เพราะหลังจากที่ออกมาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง การเดินทางท่องเที่ยวตลอดทางมานี้ได้กินอิ่มหนำ นอนหลับสบาย มักจะเห็นหลี่ไหวเปิดหนังสือนิยายเรื่องราวในยุทธภพสองสามเล่มที่เปิดอ่านบ่อยจนเปื่อยอยู่เป็นประจำ พวกคนมีชื่อเสียงในยุทธภพที่บารมีสะเทือนไปทั้งยุทธจักร หรือไม่ก็วีรบุรุษฝ่ายธรรมะที่ผดุงความยุติธรรมในหนังสือพวกนั้น ยามที่ประลองฝีมือกับคนอื่น ล้วนพูดมากกันทุกคน หากพูดตามคำกล่าวของหลี่ไหวก็คือ เป็นเพราะทั้งสองฝ่ายที่ตีกันเป็นกังวลว่าพวกคนที่มามุงดูจะรู้สึกเบื่อเกินไป หากทั้งสองฝ่ายตีกันเงียบๆ ก็ไม่น่าสนใจมากพอ เสียงตะโกนร้องโห่ก็จะน้อยลงด้วย นักพรตเนิ่นฟังแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอย่างมาก
หนันกวงจ้าวสีหน้ามืดทะมึน ไม่ใช้เสียงในใจพูดอีกต่อไป แต่ทิ้งประโยคอาฆาตไว้ว่า “นักพรตเนิ่น ไว้หน้าเจ้าแล้วก็อย่าได้หน้าไม่อายนัก!”
นักพรตเนิ่นตกใจสะดุ้งโหยง หรือว่าเจ้าคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือคนที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำ?
พลันสงสัยไม่แน่ใจขึ้นมา แต่พอคิดอีกทีก็ช่างแม่งมันเถอะ ตะพาบเฒ่าคนหนึ่งที่แม้แต่การประชุมในศาลบุ๋นก็ยังไม่มีคุณสมบัติจะเข้าร่วม จะร้ายกาจได้สักเท่าไรกันเชียว?
เจ้าคิดว่าตัวเองคือต่งซานเกิงหรือว่าอาเหลียงกันล่ะ?
เจ้าอาเหลียงผู้นั้น ปีนั้นเพียงแค่เพราะว่าตัวเองอุดอู้เบื่อหน่ายเลยคว้าเอาตัวผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่ผ่านทางมามาตบจนได้รับบาดเจ็บ แม้แต่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตก็ไม่ได้ถูกตนตบจนแตก ก็แค่หยอกเล่นเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรภูเขาใหญ่แสนลี้บ้านตนกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทั้งสองฝ่ายเป็นดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ผลคืออาเหลียงที่อยู่ในภูเขาใหญ่แสนลี้ถึงกับไล่ฟันมันไปไกลหลายพันลี้ สุดท้ายแม้แต่เฒ่าตาบอดก็ยังทนมองไม่ไหวจนต้องลงมือ เลยถูกอาเหลียงปล่อยกระบี่ใส่ติดต่อกันสิบแปดครั้ง
สตรีแซ่จูแห่งเซียนเสียมองเซียนกระบี่ชุดเขียวที่ทะยานลมลอยตัวอยู่กลางอากาศแวบหนึ่ง พอถอนสายตากลับมาแล้วก็ถามคุณชายหนุ่มหล่อเหลาของสกุลเซี่ยมี่อวิ๋นที่เปิดบทกลอนอ่านอย่างว่องไวเสียงเบาว่า “เซี่ยหยวน เจ้ารู้สึกว่าคนผู้นี้อายุเท่าไร?”
เซี่ยหยวนกำลังยุ่งอยู่กับการหาแรงบันดาลใจจากตำรารวมบทกวีที่ตัวเองชื่นชอบ เรื่องของการร่ายบทกลอนนี้พิถีพิถันในเรื่องใช้หินของภูเขาลูกอื่นมาขัดเกลาเป็นหยกมากที่สุด ถูกสตรีขัดจังหวะอารมณ์สุนทรีในการร่ายกวี เขาก็ทอดถอนใจหนึ่งที เงยหน้าขึ้นมองผู้เฒ่าชุดเหลืองที่อยู่ห่างไปไกลแวบหนึ่งแล้วตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ควรอายุมากอยู่มานานหลายพันปีแล้ว”
สตรีหัวเราะอย่างฉุนๆ “ไม่ได้หมายถึงเขา!”
เซี่ยหยวนอึ้งตะลึง ก่อนจะหัวเราะฮ่าๆ “เจ้าหมายถึงเซียนกระบี่ชุดเขียวที่ฝึกควบวิชาอสนีหรือ หากจะให้ข้าเดานะ มากสุดก็ร้อยปี พอๆ กับ ‘เซียนกระบี่สวีจวิน’ แห่งเกราะทองทวีป ล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์บนวิถีกระบี่ที่ถือกำเนิดขึ้นมาตามโชคชะตาในไพศาลของพวกเรา แต่คนตรงหน้าพวกเราคนนี้กลับหนุ่มกว่าหน่อย”
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าอวี๋เยว่ได้ยินแล้วก็เหลือกตามองบนทันที อัดอั้นแทบแย่ แต่ก็ไม่อาจบอกความจริงกับเซี่ยหยวนได้ว่าผู้ฝึกกระบี่ชุดเขียวตรงหน้าผู้นี้ก็คืออิ่นกวานที่เด็กอย่างเจ้าคิดถึงคำนึงหาอยู่ตลอด คือคนที่ทำให้เจ้าเซี่ยหยวนร้องตะโกนเสียงดังว่า ‘เจอหน้าแล้วต้องหมอบกราบสามครั้ง’ ผู้นั้น
ตระกูลชนชั้นสูงที่อยู่อันดับสูงสุดของใต้หล้าไพศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งตระกูลที่เกี่ยวข้องกับเรือข้ามทวีปซึ่งมีการค้าขายกับภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่ สำหรับอิ่นกวานหนุ่มที่เคยปรากฎตัวในห้องโถงประชุมของเรือนชุนฟาน อันที่จริงต่างก็พอมีความเข้าใจบ้างไม่มากก็น้อย ทว่าสิ่งที่รู้มามีไม่มาก เพราะทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่มีการควบคุมอย่างเข้มงวด ยกตัวอย่างเช่นสกุลเซี่ยมี่อวิ๋นของธวัลทวีปก็ยังได้แค่อาศัยช่องทางต่างๆ บนภูเขา โดยเฉพาะกับสกุลหลิวที่เนื่องจากคบหากันมาหลายรุ่น และมีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กันอยู่ตลอด ทำให้ได้รู้ว่าอิ่นกวานคนสุดท้ายที่เข้ามาแทนที่ตำแหน่งของเซียวสวิ้น นอกจากจะทำการค้าเก่งมากแล้ว ยังมีพลังอำนาจมีบารมีหนาหนัก ครั้งแรกที่ปรากฏตัวในภูเขาห้อยหัว ข้างกายก็มีเซียนกระบี่จากท้องถิ่นและต่างถิ่นกลุ่มใหญ่ติดตามมาด้วย นั่นคือเซียนกระบี่ตัวจริงหลายสิบท่านที่มีผลงานการสู้รบเกริกก้องเชียวนะ!
เดิมทีหลี่เป่าผิงยังเป็นห่วงหลี่ไหวอยู่บ้างว่าจะถูกการประลองเวทคาถาบนยอดเขาครั้งนี้ทำให้เดือดร้อนหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าหลี่ไหวราวกับคนที่ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ ยืนอยู่ที่เดิมได้อย่างมั่นคง พึมพำพูดอะไรบางอย่างอยู่กับตัวเองคนเดียว
จบเห่แล้ว หากสู้แพ้ยังพูดง่าย อย่างมากก็แค่ลากนักพรตเนิ่นเผ่นหนีไปด้วยกัน หากไม่ได้จริงๆ ถึงอย่างไรก็มีเฉินผิงอันอยู่ ขอแค่หลบอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็พูดง่าย
แต่หากว่าสู้ชนะ ไม่เพียงแต่ช่วยให้เฉินผิงอันเสียเรื่อง นักพรตเนิ่นยังจะต้องผูกปมแค้นไว้บนภูเขาด้วยหรือไม่? จากนั้นก็จะเดือดร้อนให้ตนถูกคนหมายหัว ในยุทธภพมีแค่เป็นโจรพันวันเท่านั้น ไหนเลยจะมีหลักการที่ต้องป้องกันโจรพันวัน
ดังนั้นหลี่ไหวจึงใช้เสียงในใจถามหยั่งเชิงว่า “พี่ใหญ่เนิ่น พวกเรายอมแพ้ได้หรือไม่? ไม่อย่างนั้นวันหน้าท่องอยู่ในยุทธภพ ข้าอาจต้องอกสั่นขวัญผวาอยู่ทุกวัน กลัวว่าจะถูกใครเอากระบองมาฟาดเอานะ”
นักพรตเนิ่นรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า แต่แข็งใจแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำเตือนของนายท่านใหญ่หลี่
การต่อสู้ครั้งนี้ข้าผู้อาวุโสยังไม่เจ็บไม่คัน มือยังไม่ทันร้อนเลยนะ!
ความเคลื่อนไหวบนมือของนักพรตเนิ่นยิ่งว่องไว ออกดาบอย่างอำมหิต ราวกับสายฟ้าหนักหมื่นชั่ง
บีบคั้นบินทะยานผู้นั้น หากไม่คุกเข่าโขกหัวยอมแพ้ถึงจะถือว่ามีความจริงใจ ก็จะต้องเข้าไปในฟ้าดินเล็กของอีกฝ่ายแล้วฆ่าแกงกันให้เต็มคราบสักครั้ง
แต่พอคิดอีกที นักพรตเนิ่นกลับรู้สึกเหมือนโดนทัณฑ์สวรรค์ผ่าลงหัว มารดามันเถอะ ตอนนี้อยู่ในฟ้าดินเล็กของตน แน่นอนว่าเขาสามารถพูดคุยกับหลี่ไหวได้ตามสบาย แต่หลี่ไหวสามารถมองเมินตราผนึกหนาชั้นของฟ้าดินมาพูดคุยกับตนได้อย่างไร?
นายท่านใหญ่ก็คือนายท่านใหญ่
หรือว่าเฒ่าตาบอดได้ถ่ายทอดวิชาลับบางอย่างให้เขา? แต่หลี่ไหวก็เคยบอกเองนี่นาว่าเขาไม่เคยเรียนอะไรมาจากเฒ่าตาบอดแม้แต่ครึ่งกระบวนท่า
หลี่ไหวเห็นว่านักพรตเนิ่นไม่ได้ยินคำพูดของตนก็ได้แต่หันไปถามหลี่เป่าผิง “เป่าผิง ทำอย่างไรดีล่ะ?”
หลี่เป่าผิงเอ่ย “ผู้อาวุโสท่านนี้ต้องหยุดมือแน่ ส่วนหลังจากนี้จะทำอย่างไร เจ้าไม่ต้องคิดมาก ผู้อาวุโสย่อมจัดการได้อย่างเหมาะสม”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!