ภายใต้เปลือกตาของผู้ฝึกกระบี่บนหัวกำแพงและปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ของเปลี่ยวร้างทุกคน เคยมีคนต่างถิ่นผู้หนึ่งที่ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นอิ่นกวานวิ่งไปทางตะวันออกทีมุ่งไปทางตะวันตกที คอยก้มๆ เงยๆ เก็บกวาดสนามรบ ทำให้ทั้งฝ่ายคนกันเองและฝ่ายศัตรูต้องอุทานด้วยความทึ่ง
ภายหลังผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่กลายเป็นอิ่นกวานยังสวมหน้ากากสตรี สวมชุดสีแดงปักปิ่นประดับ เรือนกายอรชรอ้อนแอ้น ออกจากหัวกำแพงเมืองมุ่งหน้าสู่สนามรบ คอยเก็บตกคุณความชอบทางการสู้รบมาจากสี่ทิศ แกล้งเป็นสตรีได้สมจริงยิ่งกว่าสตรีเสียอีก ในสภาวะที่มีอันตรายรายล้อมอยู่รอบด้าน กลับยังตวาดเสียงหวาน ไม่ใช่เสียงคำรามอย่างเดือดดาลอะไรด้วยซ้ำ ตอนที่หลบเลี่ยงเวทคาถาทั้งหลาย เอวอ่อนร่อนบิด กรีดกรายร่ายกระบวนท่า ชุดคลุมอาคมพลิ้วไสว งดงามราวบุปผาผลิบาน…
ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนจบตัวตนที่แท้จริงจึงไม่ถูกเปิดเผย สุดท้ายยังเป็นเพราะลู่จือที่ปากไวเผยความลับสวรรค์ หลังจากนั้นมาลู่จือคิดอยากจะซื้อเหล้าดื่มก็ได้แต่ต้องไหว้วานให้สหายช่วยเหลือ เพราะทางฝั่งของร้านเหล้าได้รับคำสั่งจากเถ้าแก่รองไว้ว่า เซียนกระบี่ใหญ่ลู่ซื้อเหล้า ราคาเพิ่มอีกเป็นเท่าตัว ลู่จือไม่สะดวกจะไปคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กๆ และพวกลูกจ้างดื้อรั้นของร้านเหล้าพวกนั้น อีกอย่างสามารถทำให้เฉินผิงอันไม่มีหน้าเดินออกมาจากคฤหาสน์หลบร้อนได้ อันที่จริงจ่ายเงินเทพเซียนเพิ่มอีกแค่ไม่กี่เหรียญก็ไม่นับเป็นอะไรจริงๆ เพียงแต่ว่าเวลาปกติในกระเป๋าของลู่จือก็ไม่มีเงินสักเท่าไร เพราะเอาไปเติมเต็มหลุมไร้ก้นอย่าง ‘เป่ยโต่ว’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นหมดแล้ว
อาเหลียงเองก็รู้ว่าการที่ลู่จือหลอมกระบี่บิน ‘เป่ยโต่ว’ อย่างไม่สนใจราคาที่ต้องจ่ายก็เพราะอยากจะแกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพง
ก็เหมือนที่นางตัดสินใจเด็ดขาดไว้นานแล้วว่า เมื่อแกะสลักตัวอักษรเสร็จจะจากไป
สำหรับลู่จือแล้ว เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินที่ได้ครอบครองกระบี่บินเล่มนั้น กระบี่บินสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยาน โดยเฉพาะปีศาจใหญ่บนบัลลังก์คนที่นางหมายหัวเอาไว้ ย่อมมีความมั่นใจมากกว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานที่ขาดกระบี่บิน ‘ธรรมดา’ ไปเล่มหนึ่ง
ผู้ฝึกลมปราณของใต้หล้าไพศาลต้องไม่มีทางเข้าใจความดื้อดึงเช่นนี้ของลู่จืออย่างแน่นอน
ขอบเขตไม่ต้องการ? เพียงแค่อยากทิ้งตัวอักษรไว้แล้วก็ตายไป?
อาเหลียงเข้าใจ
ลู่จือหวังให้บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เคยมีผู้ฝึกกระบี่หญิงคนหนึ่งได้แกะสลักตัวอักษรทิ้งไว้ที่นี่ นางไม่ต้องการให้คนที่ได้แกะสลักตัวอักษรล้วนเป็นบุรุษทั้งหมด
ลู่จือที่เป็นเช่นนี้ ทำไมจะไม่งดงามเล่า?
นางงดงามอย่างมาก
ตอนนั้นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสสั่งคฤหาสน์หลบร้อนให้แจ้งลู่จือเดินทางไปยังทักษินาตยทวีป แน่นอนว่าย่อมหวังให้วิถีกระบี่ เวทกระบี่ ขอบเขตและกระบี่บินของลู่จือต่างก็สามารถพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้น
ไม่อย่างนั้นต่อให้ลู่จือจะโชคดีแค่ไหน กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งแตกสลาย แต่กายไม่ดับมรรคาไม่สลายบนสนามรบ ลู่จือก็ยังต้องขอบเขตถดถอย นั่นหมายความว่าขอบเขตนางถดถอยจากเซียนเหรินลงมายังหยกดิบแล้ว
หลังจากที่เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน ผู้ฝึกกระบี่คิดจะฝ่าทะลุขอบเขตก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด เมื่อขอบเขตถดถอยแล้วคิดจะให้ขอบเขตขยับสูงขึ้นอีกครั้งก็ยิ่งยากราวกับเดินขึ้นสวรรค์ ก็เหมือนอย่างอาเหลียงกับหลิวชาที่ตกปลาอยู่ในพื้นที่ลับของสวนกงเต๋อ อันที่จริงต่างก็ไม่หวังว่าชีวิตนี้จะได้หวนกลับคืนไปยังขอบเขตสิบสี่อีกแล้ว ไม่ใช่ว่าพอขอบเขตถดถอยแล้วปณิธานก็หดหาย แต่เป็นเพราะคนเรามักต้องมีช่วงเวลาที่พละกำลังหมดสิ้นลง เรื่องราวดีงามในใต้หล้าทั้งหมดไม่อาจหล่นลงแค่บนหัวของคนสองคนได้
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสต้องคาดหวังให้โลกมนุษย์ไม่เพียงแต่มีลู่จือผู้ฝึกกระบี่ที่รอดชีวิตมาจากสนามรบ แต่ในอนาคตยังต้องมีเซียนกระบี่หญิงที่สามารถอาศัยกระบี่บินที่สมบูรณ์แบบสองเล่มมางัดข้อกับขอบเขตสิบสี่บางคนได้ด้วย
อาเหลียงยิ้มถาม “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสจากไป อันที่จริงก็ไม่มีใครมาควบคุมเจ้าได้แล้ว ทำไมถึงเปลี่ยนนิสัยเสียล่ะ?”
ลู่จือกล่าว “ไม่มีอะไร แค่รู้สึกว่าหากไม่ต้องตายได้ก็จะไม่ตาย ดูเหมือนว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่สามารถทำได้”
ยกตัวอย่างเช่นใต้หล้าห้าสีแห่งนั้นยังมีนครบินทะยาน
หรือยกตัวอย่างเช่นนางยังไม่เคยรับลูกศิษย์
แล้วก็อาจเป็นเพราะคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่จากไปแล้วไม่ได้กลับมามีมากเกินไป ลู่จือกังวลว่าทางฝั่งของไพศาลแห่งนี้จะจดจำไม่ได้ว่ามีนางคอยออกกระบี่ในใต้หล้าไพศาลไม่หยุด หรือเคยมีสำนักกระบี่หลงเซี่ยงอยู่
อาเหลียงพยักหน้า “แบบนี้ดีมาก”
ลู่จือหันหน้ามามองเขาอย่างจริงจัง แล้วเอ่ยว่า “ก็แค่หน้าตาขี้เหร่ไปสักหน่อย”
อาเหลียงลูบเส้นผม “แล้วตอนนี้ล่ะ?”
ขี่ลาท่ามกลางฝนโปรยปราย บนศีรษะสวมงอบไม้ไผ่สาน ตรงเอวห้อยดาบไม้ไผ่ ผิวปากเดินท่องอยู่ในยุทธภพ
อาเหลียงรู้สึกมาโดยตลอดว่าไม่มีบนภูเขาล่างภูเขาอะไรทั้งนั้น ในโลกมนุษย์ไม่ว่าเดินไปทางไหนล้วนเป็นยุทธภพ
เนื้อแพะตุ๋นของเป่ยหล่ง ผ้าขี้ริ้วในหม้อไฟของอวี๋โจว ปลาหลีราดน้ำแดงใต้น้ำตกของถ้ำสวรรค์เล็กหวงเหอ ล้วนเป็นกับแกล้มเหล้าที่เลิศรสอร่อยที่สุด
อาเหลียงหันหน้าไปยิ้มเอ่ยกับซีผิง “พวกเราสามารถเอาอย่างกำแพงเมืองปราณกระบี่ ประชุมส่วนประชุม แต่ก็สามารถให้คนออกมาสูดอากาศผ่อนคลายสมองบ้าง ได้หรือไม่?”
จิงเซิงซีผิงพยักหน้ารับ จากนั้นก็ไปปรึกษากับเจ้าลัทธิสามท่านของศาลบุ๋น เพียงไม่นานก็มีคนสองกลุ่มทยอยกันเดินออกมาจากประตูใหญ่
จั่วโย่วกับฉีถิงจี้เดินออกมาด้วยกัน
หลินจวินปี้ จ้าวเหยากวงเทียนซือน้อย ฟ่านชิงรุ่นเทพเจ้าแห่งโชคลาภน้อยของสกุลฟ่านเสวียนอวี๋
คนสองกลุ่มที่เดินออกมาจากศาลบุ๋นก่อนใครคือผู้ฝึกกระบี่กับคนรุ่นเยาว์
หลังจากนั้นก็มีคนทยอยกันเดินข้ามธรณีประตูออกมา นั่งลงบนขั้นบันได จับกลุ่มสองสามคน บ้างนั่งสูงบ้างนั่งต่ำ
การประชุมในศาลบุ๋นก็มีเหล้าให้ดื่ม เพียงแต่ว่ามาดื่มเหล้าด้านนอกการมองเห็นเปิดกว้าง จึงให้รสชาติที่แตกต่างออกไปจริงดังคาด
ซีผิงลุกขึ้นยืน กลับไปยืนอยู่ตรงหน้าประตูอีกครั้ง คนที่เข้าร่วมประชุมบางคนที่เพิ่งจะยกก้นขึ้นเตรียมจะเดินออกไปนอกประตูจึงรู้ว่าจำนวนคนที่ได้ออกไปมีจำกัด จึงวางก้นลงอีกครั้งเงียบๆ
ฟ่านชิงรุ่นนั่งอยู่บนขั้นบันได บิดข้อมือหนึ่งทีก็มีพัดพับเล่มหนึ่งโผล่มา บนพัดวาดเป็นสาวงามผู้สูงศักดิ์ บนหน้าพัดพวกนางบ้างก็ยิ้มแย้มแววตาสว่างไสว บ้างวาดภาพอยู่ในหอหลากสี บ้างดีดพิณใต้ต้นไม้ บ้างอ่านตำราพร้อมจุดธูปไปด้วย
ตอนอยู่ในศาลบุ๋นไหนเลยจะกล้าทำเช่นนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!