อ่านสรุป บทที่ 819.1 เด็กหนุ่มข้ามแม่น้ำ จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บทที่ บทที่ 819.1 เด็กหนุ่มข้ามแม่น้ำ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
ธารดวงดาวพราวพร่าง ยอดเขาเขียวขจีรวมกลุ่มราวช่อดอกไม้ ในจวนเซียนสองสามหลังของภูเขาตะวันเที่ยงที่ห่างไปไกลคล้ายจะมีเหล่าเซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่เรียกหาสหายให้มาหา กำลังจัดงานเลี้ยงสุรากันเป็นการส่วนตัว แสงเทียนสว่างไสวอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ส่องให้ทั่วบริเวณสว่างจ้าราวกับนครแห่งแสงไฟ
ดวงดาวบนท้องฟ้าเคลื่อนคล้อย ในโลกมนุษย์มีการยกจอกสุราผลัดกันชน ช่างเป็นเรื่องที่ชวนให้สบายอุรายิ่งนัก
ยามสามแสงไฟยามห้าไก่ขัน คือช่วงเวลาสำหรับอ่านหนังสือและฝึกกระบี่
โรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่อยู่ใกล้กับยอดเขาชิงอู้มากที่สุด เฉินผิงอันกับหลิวเสี้ยนหยางเอนกายนอนรับลมอยู่บนเก้าอี้หวาย หลิวเสี้ยนหยางนอนกรนหลับครอกๆ ไปนานแล้ว ส่วนเฉินผิงอันที่อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็กำลังเปิดหนังสือเกี่ยวกับนาฬิกาน้ำและปรากฎการณ์ดวงดาวบนท้องฟ้า เฉินผิงอันปิดหน้าหนังสือลง เก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เอ่ยเสียงเบาว่า “ถึงยามจื่อแล้ว”
ตามคำกล่าวของลัทธิเต๋า มีคำพูดลี้ลับที่บอกว่า ‘ยามจื่อเกิดไฟหยาง สองร้อยสิบหก’ ผู้ฝึกตนจะเลือกเวลานี้ในการบำเพ็ญตน หล่อหลอมเรือนกาย สร้างโอสถทอง หยินหมดเหลือเพียงหยาง เรือนกายเหมือนหยกเย็นฉ่ำ ตามคำกล่าวของเด็กชายผมขาว หวังลู่หยวนโจรข้าวสารหนึ่งในตัวสำรองสิบคนรุ่นเยาว์ เดิมทีก็เป็นคนดูแลเอกสารในอารามเต๋าขนาดเล็กที่ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่ง บังเอิญเก็บตำราลัทธิเต๋าเล่มหนึ่งที่ถูกคนทิ้งได้โดยบังเอิญ จึงฝึกตนไปตามวิชานั้น หลอมปราณต้นกำเนิดอยู่ในกระถางใหญ่อย่างขุนเขาสายน้ำ หล่อเลี้ยงไข่มุกสีดำหมื่นเม็ด ตอนที่บรรลุมรรคามีภาพบรรยากาศที่ไอน้ำจางหายท้องฟ้าใสกระจ่าง เมฆเคลื่อนออกแสงจันทร์สาดส่อง
คำพูดประโยคนี้แน่นอนว่าเป็นความทรงจำส่วนหนึ่งที่อู๋ซวงเจี้ยงมอบให้คู่รักเทียนหรานตอนอยู่บนเรือราตรี อู๋ซวงเจี้ยงที่สามารถ ‘ไขหมื่นสรรพสิ่งหล่อหลอมให้ตัวเองใช้งาน’ ให้คำวิจารณ์ที่สูงเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นหากไม่ผิดไปจากที่คาด หวังลู่หยวนผู้นี้ต้องเป็นวีรบุรุษผู้กล้าแห่งพื้นที่หนึ่งของใต้หล้ามืดสลัวในอนาคตแน่นอน เงื่อนไขก็คืออย่าได้ถูกเจ้าลัทธิรองของป๋ายอวี้จิงหมายหัว ร้อยปีนี้เป็นช่วงที่เต๋าเหล่าเอ้อนั่งเฝ้าพิทักษ์ป๋ายอวี้จิง คอยตรวจตราใต้หล้าอยู่พอดี เฉินผิงอันเดาว่าหวังลู่หยวนผู้นี้มีความเป็นไปได้ที่จะแอบเดินทางไปยังใต้หล้าห้าสี รอคอยให้ประตูใหญ่เปิดออกอีกครั้ง รอให้ลู่เฉินเป็นผู้ดูแลกิจการในป๋ายอวี้จิงแล้วค่อยกลับมายังใต้หล้ามืดสลัวก็ยังไม่สาย
หลิวเสี้ยนหยางลืมตาขึ้น ขยี้แก้ม อ้าปากหาว เปลี่ยนท่านอนที่สบายกว่าเดิมด้วยการหดตัวเข้าหากัน สองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ อดไม่ไหวบ่นว่า “เพิ่งจะยามจื่อเองหรือ? นี่ไม่ใช่ว่ายังต้องรออีกหลายสิบชั่วยามหรือไร หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้แต่แรกข้าจะมาให้ช้าหน่อย ข้าไม่อยู่บ้าน แม่นางอวี๋ก็ต้องอยู่ที่ร้านริมลำคลองเพียงลำพัง นางขี้ขลาด หากกลางดึกกลางดื่นถูกผีพรายมาเคาะประตูเข้าจะทำอย่างไร”
เฉินผิงอันวางสองมือทับซ้อนกันไว้บนหน้าท้อง มองไปยังธารดวงดาวที่แขวนอยู่บนม่านฟ้า ยิ้มเอ่ยว่า “ความใจกล้าของเซอเยว่ไม่น้อยหรอก”
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะร่า “ข้ากับแม่นางอวี๋เป็นคู่สร้างคู่สมที่ฟ้าประทานมาจริงๆ”
เฉินผิงอันพยักหน้า ลุกขึ้นยืน เดินไปตรงระเบียงมองท่าเรือที่ห่างไปไกล ต่อให้เป็นกลางดึก ท่าเรือป๋ายลู่ก็ยังคงมีเรือข้ามฟากตระกูลเซียนลอยขึ้นลอยลงอย่างต่อเนื่อง ลำหนึ่งในนั้นมีผู้ฝึกตนหญิงที่มีชาติกำเนิดจากตรอกฮวามู่ยอดเขาม่านเยว่ที่ถือตะกร้ามาเด็ดดอกไม้ ดอกไม้ที่เด็ดมาในตะกร้าหากไม่ได้มาจากภูเขาใต้อาณัติ ก็จะมาจากอารามเต๋าและวัดแห่งต่างๆ ที่มีชื่อเสียงของราชวงศ์ล่างภูเขา ยังมีผลไม้ตระกูลเซียนอีกมากที่ซื้อมาจากภูเขาแห่งอื่น ล้วนจำเป็นต้องผ่านท่าเรือตระกูลเซียนทั้งสิ้น ในอดีตภูเขาตะวันเที่ยงไม่มีตรอกมู่ฮวาอะไรทั้งนั้น เพียงแต่ว่ายี่สิบปีที่ผ่านมานี้มีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นต่อเนื่อง งานเฉลิมฉลองถูกจัดขึ้นหลายครั้ง ภายใต้คำแนะนำจากเถียนหว่านบรรพจารย์หญิงของยอดเขาจูอวี๋ ตรอกนี้จึงถูกสร้างขึ้นมาชั่วคราว ส่วนใหญ่แล้วจะเลือกผู้ฝึกตนหญิงฝ่ายนอกที่คุณสมบัติธรรมดาทว่ารูปโฉมงดงามให้มาเป็นขุนนางเด็ดดอกไม้ สตรีถือตะกร้า
หลิวเสี้ยนหยางยังคงเอนกายนอนบนเก้าอี้หวายไม่ยอมขยับตัว เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “พอถึงเวลาเข้าจริง ไม่ว่าอะไรที่ควรคิดหรือไม่ควรคิดก็ล้วนคิดหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปคิดให้มากความอีกเลย ถามกระบี่เรื่องใหญ่เท่าก้น สู้ได้ก็สู้ สู้ไม่ได้ก็เผ่นหนี”
ยอดเขาทั้งหลายของภูเขาตะวันเที่ยงไม่ได้ชอบเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำกันนักหรือ หลิวเสี้ยนล้วนเคยดูมาหมดแล้ว ไม่พลาดไปแม้แต่ครั้งเดียว แต่ไม่เคยทุ่มเงินลงไป
เฉินผิงอันฟุบตัวอยู่บนระเบียงรั้ว ยิ้มเอ่ยว่า “หนีกะผายลมน่ะสิ ไม่มีเหตุผลที่จะสู้ไม่ได้”
หลิวเสี้ยนหยางร้องโอ้โห “คำพูดนี้ไม่เหมือนคำพูดของเฉินผิงอันเลยนะ”
ยามค่ำคืนเย็นสบายไร้ไอร้อน หลิวเสี้ยนหยางเงียบไปครู่หนึ่งก็ถามว่า “นอนไม่หลับหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ชินแล้ว”
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ย “ใจหลับก่อน แล้วค่อยตาหลับ ถึงจะสามารถหลับบำรุงจิตได้อย่างแท้จริง ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างยังรู้เรื่องนี้ เจ้าอ่านตำราของลัทธิพุทธและเต๋ามาก็ตั้งมาก หลักการเหตุผลเล็กน้อยแค่นี้ก็ไม่เข้าใจหรือ?”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจ “รู้กับทำได้มันคนละเรื่องกัน”
เฉินผิงอันหันตัวกลับมา ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าเป็นนักเล่านิทานก็หาเงินได้ง่ายๆ งั้นหรือ ไม่ใช่เลย ตอนที่ข้าอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเป็นสักหน่อย ผลคือคิดอยากจะหลอกเอาเงินเหรียญทองแดงสองสามเหรียญมาจากเด็กๆ พวกนั้นก็ยังยาก”
หลิวเสี้ยนหยางลุกขึ้นนั่ง เอ่ยว่า “เจ้าจำเรื่องวุ่นวายไปมากมายขนาดนั้น ทำไม อยากจะช่วยแก้ทำเนียบวงศ์ตระกูลให้ภูเขาตะวันเที่ยงงั้นหรือ?”
เฉินผิงอันนวดคลึงปลายคาง “หากยอดเขาอีเซี่ยนยินดีจ่ายเงิน ให้ราคาสูง ข้าก็ไม่ถือสาจริงๆ”
หลิวเสี้ยนหยางเอนกายนอนบนเก้าอี้หวาย “พวกเขามาแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มเดินเข้าไปในห้อง ไปเปิดประตูต้อนรับแขก
เพราะการออกกระบี่ของหวงเหอที่ท่าเรือป๋ายลู่ แสงกระบี่หนึ่งเส้นแบ่งออกเป็นสิบเก้าส่วน หล่นลงบนยอดเขาต่างๆ ในเวลาเดียวกัน แม้จะบอกว่าเหมือนฟ้าร้องดังแต่ฝนตกเบา แสงกระบี่ล้วนถูกเซียนกระบี่ในพื้นที่หรือไม่ก็แขกที่มาร่วมแสดงความยินดีบนภูเขาลูกต่างๆ สลายทิ้งไป สร้างความตื่นตกใจไปเปล่าๆ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยังทำให้เส้นเอ็นหัวใจของแต่ละคนทั้งบนและล่าง ในและนอกของภูเขาตะวันเที่ยงล้วนขมวดตึง กลัวว่าจะมีขั้นตอนไหนเกิดช่องโหว่ขึ้นมาอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหวยเยว่ซานผู้ดูแลท่าเรือป๋ายลู่ที่กว่าจะตรวจสอบเอกสารซับซ้อนของที่ท่าเรือเสร็จได้ไม่ใช่เรื่องง่าย รู้สึกว่าไม่มีปลาที่หลุดรอดตาข่ายไปแล้วถึงได้รีบร้อนมาที่หอกั้วอวิ๋นซึ่งเป็นสถานที่ที่ปลาและมังกรปะปนกัน ขอตรวจสอบความเป็นมา เอกสารผ่านด่านของแขกทุกคนที่เข้าพักในหอกั้วอวิ๋นอย่างละเอียดอีกที ตอนที่เหวยเยว่ซานขึ้นเขามาได้พาลูกศิษย์ผู้สืบทอดมาด้วยหลายคน อีกทั้งยังขอร้องศิษย์น้องหญิงหนีเยว่หรงว่าจะต้องลงมือด้วยตัวเอง ระหว่างทางที่มาเหวยเยว่ซานได้ด่าบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของหวงเหอครบไปรอบหนึ่งแล้ว ด่าว่าเขารีบร้อนอยากไปเกิดใหม่ ทำไมไม่ไปก่อเรื่องในศาลบรรพจารย์ยอดเขาอีเซี่ยนโดยตรงเสียเลย ส่งกระบี่อยู่ไกลๆ จากที่ท่าเรือแห่งนี้นับว่ามีมาดของเซียนกระบี่เสียที่ไหน?
หนีเยว่หรงไม่ได้รู้สึกว่าศิษย์พี่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ในความเป็นจริงแล้วก่อนที่เหวยเยว่ซานจะขึ้นเขามา นางได้พาคนมาตรวจสอบบันทึกของโรงเตี๊ยมไปแล้วรอบหนึ่ง ให้พวกลูกศิษย์ผู้ฝึกตนหญิงที่มีไหวพริบทั้งหลายตรวจสอบสถานะของผู้ที่มาเข้าพักทีละคน เพียงแต่ว่ายังมีแขกอีกสิบกว่าคนที่หากไม่ได้มาจากภูเขาใหญ่ก็เป็นแขกผู้สูงศักดิ์ที่พักอยู่ในห้องอักษาเจี่ย ทางโรงเตี๊ยมจึงไม่กล้ารบกวน เหวยเยว่ซานได้ยินเรื่องนี้ก็ด่าไปประโยคหนึ่งว่าสตรีผมยาวความรู้สั้น ไม่ไว้หน้านางแม้แต่น้อย ยืนกรานว่าจะลากนางมาเคาะประตูตรวจสอบสถานะของแขกที่เข้าพักอย่างละเอียดด้วยกันให้จงได้ ในใจหนีเยว่หรงมีไฟโทสะ ไม่ใช่พื้นที่ของเจ้า แน่นอนว่าเจ้าจะทำอย่างไรตามใจชอบก็ได้ ไม่สนใจหน้าตาของแขกผู้สูงศักดิ์ในทำเนียบเหล่านั้นแม้แต่น้อย แต่วันหน้าข้ากับหอกั้วอวิ๋นจะทำการค้าอย่างไร?
หนีเยว่หรงเคาะประตู เหวยเยว่ซานเห็นนักพรตหนุ่มเรือนกายสูงเพรียว สวมกวานดอกบัว ด้านนอกคลุมทับด้วยชุดเต๋าผ้าโปร่งสีเขียวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของเมฆและน้ำ มีทั้งกลิ่นอายเต๋าที่เข้มข้นของตระกูลเซียนชั้นสูงบนภูเขา แล้วก็มีทั้งความสุภาพสง่างามของลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!