กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 819

บางทีอาจเป็นเพราะช่วงเวลาที่หมี่อวี้เป็นหนุ่มได้มีหน้ามีตาอย่างมาก โดยเฉพาะประสบการณ์การสังหารปีศาจตอนที่อยู่สองขอบเขตอย่างโอสถทองและก่อกำเนิด ความมีหน้ามีตาก็ยิ่งไร้ที่สิ้นสุด แม้แต่เซียวสวิ้นอดีตอิ่นกวานของคฤหาสน์หลบร้อนก็ยังต้องมองหมี่อวี้เสียใหม่ โดยเฉพาะอย่างความอำมหิตของวิธีการที่หมี่อวี้ใช้สังหารเผ่าปีศาจ ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ อันที่จริงอู๋เฉิงเพ่ย เถาเหวินต่างก็มีความประทับใจที่ยอดเยี่ยมต่อหมี่อวี้ เพียงแต่ว่าไม่เคยเปิดปากพูดแทนหมี่อวี้ก็เท่านั้น

ดังนั้นคำเย้ยหยันเหน็บแนมที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มีต่อหมี่อวี้ โดยส่วนมากแล้วกลับเป็นความรู้สึกผิดหวังอย่างหนึ่งมากกว่า เป็นความเศร้าที่อีกฝ่ายโชคไม่ดี และขุ่นเคืองที่อีกฝ่ายไม่เอาไหน ผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์ซึ่งอายุน้อยๆ ก็ถูกเรียกขานว่าเป็นตัวเลือกสำรองของคนบนยอดเขาเช่นนี้ เหตุใดจู่ๆ ถึงกลายเป็นเศษสวะนุ่มนิ่มเหมือนหมอนปักลายบุปผา เหตุใดการฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิดถึงได้ยากขนาดนั้น เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน ออกกระบี่ก็ยิ่งมีมาดได้ไม่ถึงครึ่งของในอดีตตอนที่เป็นก่อกำเนิดเลยด้วยซ้ำ

จิตแห่งกระบี่ถูกทำลายไปแล้ว

ไม่อย่างนั้นคนแก่ คนรุ่นเยาว์หรือแม้กระทั่งเด็กๆ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คงไม่ถึงขั้นหาข้อตำหนิจากตัวผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งถึงเพียงนั้น พวกซุนจวี้เฉวียน เกาขุยก็ไม่ได้เป็นขอบเขตหยกดิบเหมือนกันหรอกหรือ? ทำไมถึงไม่มีใครด่าพวกเขาบ้างเล่า?

เฉินหลิงจวินกล่าว “อวี๋หมี่ หากรู้สึกว่าบนภูเขาอุดอู้ ข้าก็สามารถพาเจ้าออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกได้นะ แม่น้ำอวี้เจียงของแคว้นหวงถิงนั่น เจ้ารู้จักไหม? กินดื่มอิ่มหนำจะนับเป็นอะไรได้ ทุกครั้งที่มีงานเลี้ยงฉลอง พวกนางกำนัลทั้งหลายของจวนวารี จุ๊ๆ เรือนกายอรชรอ้อนแอ้น กรีดกรายดุจบุปผาผลิบาน เอวบางๆ ก้นใหญ่ๆ แน่นอนว่าข้าไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรดี แต่ละคนสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นเช่นนั้น ไม่ว่าร้านผ้าร้านไหนในใต้หล้าก็คงเปิดกิจการต่อไปไม่ได้แล้ว แต่ทุกครั้งที่ดื่มเหล้า พวกบุรุษตัวโตที่เมามายทั้งหลายกลับมีสายตาเหมือนกระบี่บิน พุ่งสวบๆๆ ไปแนบติด ฮ่าๆ อวี๋หมี่ เจ้าก็คือผู้ฝึกกระบี่…”

คนจิ๋วควันธูปเริ่มกุมท้องหัวเราะก๊ากอีกครั้ง

เฉินหลิงจวินถลึงตาใส่ หัวเราะร่าเริงอย่างโง่งมทำบ้าอะไร นายท่านใหญ่เฉินกำลังพูดเรื่องจริงจังกับพี่น้องอยู่นะ

คนจิ๋วควันธูปเก็บเสียงหัวเราะด้วยความเร็วเหมือนฟ้าผ่าไม่ทันป้องหู มารดามันเถอะ ให้การสนับสนุนอย่างเสียเปล่าซะแล้ว

วงการขุนนางช่างอยู่ได้ยากเสียจริง

หมี่อวี้ยิ้มเอ่ย “น้ำใจนี้รับไว้แล้ว แต่ไม่ต้องออกจากบ้าน ข้าเป็นคนที่เห็นแก่ความสัมพันธ์ในวันวาน ไม่ชอบย้ายถิ่นฐาน อยู่บนภูเขาก็ดีแล้ว”

สถานที่ที่อยากไป อันที่จริงก็มีอยู่แค่สองแห่ง จวนไฉ่เชวี่ยทางทิศเหนือที่เคยไปอยู่มาหลายปี นครมังกรเฒ่าทางทิศใต้ ได้ยินมาว่าทุกวันนี้เหล่าเซียนซือได้ย้ายภูเขาลงทะเล ตระกูลใหญ่ทั้งหลายที่มีตระกูลฝูเป็นหนึ่งในนั้นลงมือสร้างนครมังกรเฒ่าขึ้นมาอีกครั้ง และสิ่งที่ทำให้หมี่อวี้รู้สึกคิดถึงคำนึงหาไม่ลืมก็คือสระบัวทางทิศใต้สุดของนครมังกรเฒ่าแห่งนั้น นั่นคือความเสียดายที่ใหญ่ที่สุดของหมี่อวี้

นึกจะหายก็หายไปเสียอย่างนั้น

นั่นคือพื้นดินของใต้หล้าไพศาลแห่งแรกที่เขาได้เหยียบย่างเข้ามา คือทัศนียภาพแห่งแรกที่เขาได้เห็น

เฉินหลิงจวินถาม “ทำไมนายท่านถึงไปที่ทิศใต้เสียแล้วล่ะ?”

หมี่อวี้ยิ้มกล่าว “มีกระบี่ต้องปล่อยออกไป”

เฉินหลิงจวินจึงไม่พูดอะไรมากความอีก

……

ซ่งเหอฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ต้าหลีเดินทางออกจากเมืองหลวงลงใต้ไปพักอยู่ที่เมืองหลวงแห่งที่สองเป็นครั้งแรก เพียงไม่นานก็เดินทางมาถึงขุนเขากลาง จากนั้นก็จะไปเซ่นไหว้เหล่าวีรชนผู้กล้าที่ซากปรักนครมังกรเฒ่า

วันนี้ซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองได้ออกจากเมืองไปพร้อมกับฮ่องเต้ด้วย สองพี่น้อง ฮ่องเต้กับอ๋องเจ้าเมืองที่สลับชื่อกันบนทำเนียบของฝ่ายกองงานเชื้อพระวงศ์ เวลานี้เดินอยู่ริมลำน้ำฉีตู้ด้วยกัน

ผู้ถวายงานและองค์รักษ์ของต้าหลีต่างก็ตามมาอยู่ไกลๆ

ซ่งจี๋ซินเอ่ยสัพยอกว่า “เหตุใดฝ่าบาทไม่ไปเข้าร่วมการประชุมที่ศาลบุ๋นเล่า ได้เห็นเทพเซียนผู้เฒ่าบนยอดเขาของไพศาลพร้อมกันรวดเดียว โอกาสเช่นนี้พลาดแล้วก็ไม่มีอีกแล้วนะ น่าเสียดายยิ่งนัก”

ซ่งเหอยิ้มกล่าว “อยากไปน่ะอยากไปอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเสด็จอาเหมาะจะออกเสียงแทนต้าหลีอยู่ที่นั่นมากกว่า หากเป็นตอนที่ข้าเพิ่งได้เป็นฮ่องเต้ ในใจย่อมต้องบ่นอย่างไม่พอใจสองสามประโยค แต่ตอนนี้ช่างเถิด”

ทางฝั่งของเมืองหลวง นายท่านผู้เฒ่ากวนเจ้ากรมผู้เฒ่าของกรมขุนนาง บัณฑิตที่มีชื่อว่ากวนอิ๋งเช่อ มนุษย์ธรรมดาที่มีชีวิตอยู่นานถึงร้อยปี ได้จากไปหลายปีแล้ว

และยังมีผู้เฒ่าที่เป็นแซ่สกุลของเสาค้ำยันแคว้นอยู่อีกหลายคนที่ต่างก็เป็นหัวใจสำคัญของตรอกอี้ฉือ ตรอกฉือเอ๋อร์ที่ยิ่งเป็นขุนนางคนสำคัญเป็นเสาหลักของราชวงศ์ต้าหลี ช่วยให้สกุลซ่งต้าหลีทำสงครามเอาชนะราชวงศ์สกุลหลู ยึดครองขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปมาได้ สุดท้ายตัวพวกเขาเองกลับไม่อาจเอาชนะวันเวลาที่ไร้ปราณีได้

เจ้ากรมผู้เฒ่าของกรมพิธีการในเมืองหลวงแห่งที่สองอย่างหลิ่วชิงเฟิงก็ล้มป่วยลุกไม่ขึ้นแล้ว

คนแก่หลายคนในราชสำนักต้าหลี ต่อให้จะเป็นขุนนางบุ๋นที่ไม่จำเป็นต้องลงสนามรบล้วนแก่ชรากันลงทุกที จากนั้นก็มีคนแก่ที่เดินไม่ไหว ไม่อาจเข้าร่วมการประชุมขุนนาง จำต้องออกจากวงการขุนนาง ดูเหมือนว่ามีเพียงต้นไม้ดอกไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองหลวงอย่างต้นชิงถงที่อยู่นอกห้องหนังสือของตระกูลกวน ดอกเถิงฮวา (ดอกวิสทีเรีย) ที่เหมือนเมฆสีม่วงห้อยย้อย ส่งกลิ่นหอมไปทั่วทุกหัวถนนของบ้านตระกูลหัน ดอกโบตั๋นในวัดเป้ากว๋อเท่านั้นที่ยังคงโชคดีได้พบเจอกับลมวสันต์ทุกปี

จวนที่พักของราชครูชุยฉานในเมืองหลวง เรือนกว้างใหญ่ จวนของกั๋วกงในอดีต ด้านในกลับเรียบง่ายอย่างยิ่ง มีหอหนังสือเล็กๆ สองชั้นอยู่หอหนึ่งที่ถูกราชครูตั้งชื่อให้ว่าหอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น (คนอื่นว่าอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น ไม่มีความคิดเห็น)

ทุกวันนี้ก็ไม่มีเจ้าของแล้ว

ฮ่องเต้ยิ้มเอ่ย “ลมและน้ำผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน ทำให้คนมองตามไม่ทันจริงๆ”

ในอดีตตอนที่ยังเป็นแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์สกุลหลู บัณฑิตมากมายของราชวงศ์สกุลซ่งต้าหลีเคยเขียนบทกวี เขียนบันทึกท่องเที่ยวแซ่ซ้องสรรเสริญแคว้นที่เป็นแคว้นเหนือหัวแห่งนี้มากมายยิ่งนัก เหมือนชาวบ้านสกุลหลูมากกว่าคนสกุลหลูในพื้นที่ของราชวงศ์สกุลหลูเสียอีก ยามที่เขียนถึงบุคคลในบ้านเกิดอย่างต้าหลีกลับไม่มีโวหารใดๆ ทว่าพอเขียนถึงราชวงศ์สกุลหลู แรงบันดาลใจในการประพันธ์กลับพรั่งพรูราวน้ำพุไหลทะลัก ต่อให้จะต้องกวาดไส้คว้านท้อง (เปรียบเปรยว่าเค้นทุกรอยหยักในสมอง ทุ่มสุดความคิด) ตัวเองออกมาก็ต้องเขียนให้ได้

บอกว่าพ่อค้าหาบเร่หรือคนตัดฟืนของราชวงศ์สกุลหลูล้วนสามารถท่องบทกวีได้ แต่ละหนแต่ละแห่งมีแต่ตระกูลปัญญาชน บนภูเขามีกลิ่นอายแห่งเซียน ในยุทธภพมีคุณธรรมองอาจ ของหล่นตกพื้นก็ยังไม่มีคนเก็บเอาไปเป็นของตน

บทประพันธ์ของต้าหลีในเวลานั้นล้วนอยู่ท่ามกลางพายุทรายของชายแดนทั้งสิ้น ถูกเขียนขึ้นด้วยเสียงกีบเท้าม้าที่ดังเป็นระลอกของกองทัพม้าเหล็ก บทกวีบทขับร้องล้วนคือลมหิมะที่เยียบเย็น

ซ่งเหอยิ้มถาม “มีเพียงแจกันสมบัติทวีปของพวกเราหรือไม่ที่ภูเขาไม่สูง น้ำไม่ลึก คนฝึกตนไม่ได้เป็นเทพเซียนถึงเพียงนั้น?”

ราชวงศ์ต้าหลีล่างภูเขาเคยตั้งป้ายศิลาไว้บนยอดเขา ผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ละเมิดข้อห้าม ฆ่าหมดไม่มียกเว้น

ซ่งจี๋ซินตอบ “ครึ่งหนึ่งเป็นเพราะกีบม้าของม้าเหล็กต้าหลีดังมากพอ ครึ่งหนึ่งเพราะคุณความชอบของราชครู”

ซ่งเหอถามอีก “ลำดับขั้นผิดไปหน่อยหรือไม่?”

ซ่งจี๋ซินยิ้มกล่าว “ฮ่องเต้ตรัสได้ถูกต้องแล้ว”

ซ่งเหอคือลูกศิษย์ของชุยฉาน ส่วนซ่งจี๋ซินคือลูกศิษย์ของฉีจิ้งชุน

ซ่งเหอหยุดเดินแล้วหันหน้ามามองอ๋องเจ้าเมืองต้าหลีที่คุณูปการเลิศล้ำ น้องชายในนาม แต่แท้จริงแล้วคือพี่ชายคนนี้ เอ่ยว่า “ข้าติดค้างเจ้ามากมายนัก แต่ข้าไม่มีทางชดเชยใดๆ ให้กับเจ้าในเรื่องนี้”

ซ่งจี๋ซินยิ้มกล่าว “ฝ่าบาท คำพูดทำนองนี้อย่าได้ตรัสอีกเลย วันนี้ข้าเองก็จะถือซะว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน”

ซ่งเหอเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ต้าหลีมีเสด็จอาถือเป็นความโชคดีอย่างใหญ่หลวงของบ้านเมือง”

ซ่งจี๋ซินพยักหน้า “ไม่ต้องสงสัยเลย”

ซ่งเหอหัวเราะตามไปด้วย “อันที่จริงปัญหาก็ไม่ซับซ้อน ขอแค่เจ้ามีชีวิตอยู่ได้ยาวนานกว่าข้าก็พอแล้ว สามปีห้าปี สิบปีล้วนไม่เป็นปัญหา เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

อ๋องเจ้าเมืองต้าหลีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบน ขอบเขตเส้นเอ็นหลิวหรือ? หรือจะเป็นขอบเขตรั้งคนจริงๆ? แต่เรียนรู้วิชาหมัดมวยเพียงแค่เพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงเท่านั้น?

ซ่งจี๋ซินหัวเราะร่าย้อนถาม “หากมีชีวิตยาวนานกว่าไม่ใช่แค่สิบปีจะทำอย่างไร?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!