ม่านราตรีหนาหนักทำให้มองไม่เห็นร่างของอาเหลียงในฉับพลัน มีเพียงแสงกระบี่ที่ผุดขึ้นจากสี่ทิศ สาดส่องเจิดจ้าไปยังฟ้าดินรอบด้าน
คนผู้หนึ่งออกกระบี่กลับมีภาพเหตุการณ์เหมือนการลงมือของสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายบนสนามรบยุคบรรพกาลห่างไกลได้เช่นนี้
ซินจวงที่รับหน้าที่โคจรค่ายกลใหญ่พร้อมกับโซ่วเฉิน ในฐานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ ศิษย์พี่หญิงของหลีเจิน นางรีบกวาดตามองรอบด้านอย่างว่องไว ร่ายวิชาอภินิหารบทหนึ่งที่เชื่อมโยงกับความมืด ทำให้ดวงตาทั้งคู่วับวาว ส่องประกายแสงเรืองรอง แม้แต่แม่น้ำแห่งกาลเวลาและเส้นทางไปสู่ปรโลกสายนั้น นางก็ยังหาเบาะแสออกมาได้ แต่ซินจวงกลับหาร่องรอยของบุรุษคนนั้นไม่เจอ
มิน่าเล่าในอดีตถึงสามารถเผ่นหนีไปจากการดักล้อมสังหารของปีศาจใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยอันตรายได้
โซ่วเฉินชักกระบี่ไร้ฝักเล่มหนึ่งออกมาจากกล่องกระบี่แล้ว สองนิ้วคีบตัวกระบี่แล้วปาดไปที่ปลายกระบี่อย่างรวดเร็ว คล้ายกับลอกเอาคราบของเซียนเหรินชั้นหนึ่งออกมา แสงกระบี่กลายเป็นสายฟ้าหนึ่งเส้นที่พุ่งปะทะเข้ากับฟ้าแลบแปลบปลาบพวกนั้น ขณะเดียวกันก็ใช้เสียงในใจเอ่ยเตือนด้วยว่า “ไม่ต้องหาแล้ว เจ้าและข้าแค่ประคองค่ายกลใต้ฝ่าเท้าให้ดี สงบใจรอรับกระบี่ไปก็พอ”
ซินจวงได้ยินดังนั้นก็รีบเก็บความคิดลงไปทันที เรียกเอาถุงที่ไม่สะดุดตาใบหนึ่งออกมาโบกเบาๆ ไอหมอกก้อนเมฆลอยอวลขึ้นสูงแล้วกระจายตัวแผ่ไปรอบด้านอย่างว่องไว ราวกับพายุฝนที่ยืมมาจากเทพพิรุณเทพวาโยยุคบรรพกาล ปกคลุมร่างนางอยู่ภายใน เมฆหมอกล่องลอยราวกับอยู่ในพื้นที่แค่ตารางชุ่นเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นถ้ำสวรรค์อีกแห่งหนึ่ง ฟ้าดินแห่งนี้มีลมฝนพัดกระโชกแรงกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด กว้างไกลนับหมื่นลี้ ประหนึ่งวิชาอภินิหารเมล็ดงาอีกประเภทหนึ่งที่ช่วยให้ซินจวงซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางทะเลสาบใหญ่ยักษ์ ต่อให้อาเหลียงจะสามารถใช้หนึ่งกระบี่ฟันตราผนึกขุนเขาสายน้ำของฟ้าดินได้ แต่ก็ไม่อาจฟันมายังร่างจริงของนางได้
ปีศาจใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างกลุ่มที่มาล้อมฆ่าอาเหลียงครั้งนี้ ดูเหมือนว่าหากบนมือของใครไม่มีอาวุธเซียนสักชิ้นสองชิ้นก็คงไม่มีหน้าออกมาจากบ้าน มาปรากฏตัวอยู่ในสนามรบแห่งนี้
สภาพการณ์ของซินจวงไม่น่าเป็นห่วงชั่วคราว นางจึงมองประเมินกล่องกระบี่ที่โซ่วเฉินสะพายไว้ด้านหลังหลายที หากจะพูดกันถึงการสืบทอด ใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งหนึ่ง คนที่สามารถเทียบเคียงกับภูเขาทัวเยว่ได้ อันที่จริงก็มีแค่สายของโจวมี่มหาสมุทรความรู้เท่านั้นแล้ว
เห็นเพียงว่าโซ่วเฉินปาดตัวกระบี่ครั้งแล้วครั้งเล่า ลอกเอาปณิธานกระบี่บรรพกาลแต่ละชั้นลงมาไม่หยุด ให้มันปะทะต้านทานกับภาพบรรยากาศที่ฟ้าร้องสะเทือนเลือนลั่นซึ่งเกิดจากการจำแลงวิถีกระบี่ของอาเหลียง
เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานเหมือนกัน ระยะห่างกลับมากนัก ไม่เพียงแค่เพราะขอบเขตของโซ่วเฉินในเวลานี้ยังไม่มั่นคงอย่างสมบูรณ์เท่านั้น ที่มากกว่านั้นยังเป็นระดับสูงต่ำของวิถีกระบี่ด้วย
โซ่วเฉินจำต้องยอมรับว่าคิดจะขยับเข้าใกล้ระดับความสูงแห่งวิถีกระบี่ของอาเหลียงในทุกวันนี้ก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น อีกฝ่ายอายุสั้น ตนอายุยืนยาว จากนั้นก็ค่อยๆ อาศัยความสามารถในการขัดเกลาทีละนิดและโชควาสนาที่ได้มาในภายหลัง จึงจะมีความหวัง
กล่องกระบี่ที่โซ่วเฉินสะพายอยู่วาดเป็นรูปสามภูเขาสี่มหาสมุทรห้าขุนเขาสิบลำน้ำของยุคบรรพกาล ต่างจากภาพยันต์ทำนายแท้จริงของลัทธิเต๋าที่แพร่หลายอย่างยิ่งในโลกยุคหลังอยู่มาก
เพราะก่อนหน้านี้ถูกปณิธานกระบี่ของอาเหลียงชักนำ เวทอำพรางตาของกล่องกระบี่จึงหายไปแล้ว เผยให้เห็นภาพจริงของสามภูเขาที่หายสาบสูญไปนานแล้ว แค่มองก็เห็นได้ชัดเจนถ้วนทั่ว แบ่งออกเป็นภาพที่คล้ายกับเทพนั่งนิ่งดุจศพ วานรเดินในป่าเขา และมังกรทะยานผลุบโผล่กลางเมฆ
ความรับผิดชอบของสามภูเขาแบ่งออกเป็นควบคุมหยินหยางและห้าธาตุ กำหนดช่วงเวลาเกิดและตาย ความสั้นความยาวของช่วงเวลา การแบ่งแขนงดวงดาวหลัก รวมกับควบคุมชะตาของเผ่าพันธุ์น้ำอย่างปลาและมังกร
เดิมทีกล่องกระบี่ก็เป็นค่ายกลสมบัติหนักที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธเซียนชิ้นใหญ่อยู่แล้ว เล่าลือกันว่าหลิงเจินผู้หลุดพ้นของยุคโบราณท่านหนึ่งถือครองภาพนี้อยู่ในมือ เดินข้ามสามภูเขาห้าขุนเขา ก้าวผ่านแม่น้ำทะเลลำน้ำ ร้อยเทพและกลุ่มสิ่งศักดิ์สิทธิ์ล้วนมารอต้อนรับเขาด้วยตัวเอง
ในเมื่อเป็นภาพค่ายกลยุคบรรพกาล กลับน่าเสียดายนักที่ไม่ทราบชื่ออาจารย์หล่อหลอมผู้หลอมวัตถุชิ้นนี้ ผู้ฝึกตนบนยอดเขาเพียงแค่เคยชินที่จะเรียกเขาว่าอาจารย์ซานซานจิ่วโหว หลังจากนั้นก็ได้ถูกโจวมี่อาจารย์ผู้มีพระคุณหลอมขึ้นมาอย่างตั้งใจ ให้เป็นสถานที่เลี้ยงกระบี่แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘สุสานกระบี่’ ถูกขนานนามให้เป็นผลสำเร็จยิ่งใหญ่ในด้านของน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่บนโลก สามารถบำรุงให้ความอบอุ่นแก่กระบี่ยาวได้มากสุดเก้าเล่ม สามารถฟูมฟักวิชาอภินิหารบางอย่างที่คล้ายคลึงกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาได้ หากผู้ฝึกลมปราณได้สมบัติหนักชิ้นนี้ไปครอง ต่อให้ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ก็ยังเหนือกว่าผู้ฝึกกระบี่
การสืบทอดบนภูเขาจึงสำคัญถึงเพียงนี้ ที่บอกว่าเมล็ดพันธ์เทพเซียนต้องพิถีพิถันในเรื่องการกราบอาจารย์เหมือนหาครรภ์ไปเกิดใหม่ ไม่ใช่เรื่องโกหกแม้แต่น้อย
ส่วนจูเยี่ยนที่เป็นบรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์ย้ายภูเขาตัวนั้น เท้าเหยียบอยู่บนกระบี่ยาว ‘ติ้งซาน’ มหามรรคาจำแลงออกมาเป็นฟ้าดินเล็กของขุนเขาแห่งหนึ่ง ส่วนในมือจูเยี่ยนนั้นถือกระบองยาวเอาไว้ หลักฟ้าปรากฏการณ์ดิน เผยร่างจริงพันจั้ง กระบี่ยาวก็ขยายใหญ่ตามไปด้วย หนึ่งกระบองฟาดลงไป เคาะลงบนหน้าผากของมังกรเพลิง ทุบอีกฝ่ายให้แหลกเละ แสงไฟกระเด็นไปสี่ทิศ ขุนเขาสายน้ำพันลี้มีฝนเพลิงตกกระหน่ำลงมา
คิดไม่ถึงว่ามังกรเพลิงที่หัวแตกยับแล้วตัวนั้นถึงกับจำแลงร่างเป็นมังกรเพลิงเล็กบางได้อีกนับร้อยนับพันตัว แต่ละตัวเลื้อยคดเคี้ยวเหมือนรากภูเขา รูปร่างเหมือนเส้นทางมังกรบนพื้นดิน ใช้สิ่งนี้มาท้าทายบรรพบุรุษย้ายภูเขาอย่างจูเยี่ยนว่าชอบย้ายภูเขานักใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็เชิญเคลื่อนย้ายได้ตามสบาย
จูเยี่ยนผลัดสองมือถือกระบอง เรือนกายที่ใหญ่โตมโหฬารหมุนคว้างไม่หยุด แผดเสียงกลั้วหัวเราะดังลั่น “อาเหลียงชาติสุนัข แม้ว่าข้าและเจ้าจะเป็นศัตรูอยู่กันคนละฝ่าย แต่ก็เคารพที่เจ้าคือลูกผู้ชายคนหนึ่ง วันหน้าข้าจะตั้งป้ายจารึกถึงเจ้าอยู่ในขุนเขาสายน้ำของเปลี่ยวร้าง ท่านปู่เช่นข้าจะช่วยแกะสลักป้ายหน้าหลุมศพให้เจ้าด้วยตัวเอง รับรองว่าทุกปีหน้าหลุมศพจะต้องมีสุรากองเป็นภูเขา เป็นอย่างไร?”
กระบองยาวถูกชักออกอีกครั้ง จูเยี่ยนร่ายวิชาอภินิหารที่เป็นของเผ่าพันธุ์ย้ายภูเขาออกมา คือวิธีการใหญ่ที่กรีดแม่น้ำให้กลายเป็นพื้นดิน บนพื้นดินที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อและเต็มไปด้วยปณิธานกระบี่แห่งนั้น ปณิธานกระบี่อันไพศาลที่คล้ายทะเลสาบยักษ์มารวมตัวกันถูกดึงออกไป วิชาแบ่งน้ำที่แทบจะเรียกได้ว่าไร้เหตุผลนี้เหนือกว่าเวทคาถาน้ำและดินของบนภูเขาในหลายใต้หล้าของโลกยุคหลังมากนัก สามารถแบ่งแยกน้ำในแม่น้ำและมหาสมุทรได้ตามใจชอบ น้ำลดหินผุด แยกภูเขาแม่น้ำออกจากกัน เผยให้เห็นพื้นดิน เรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มหาสมุทรกลายเป็นผืนนาซึ่งมนุษย์ธรรมดามองเห็นได้ด้วยตาเปล่าอย่างหนึ่ง
จูเยี่ยนทิ้งตัวลงพื้นดังตึง เท้าเหยียบลงบนรากภูเขาที่เปิดเปลือยโผล่พ้นพื้นดิน ร่างจริงพลันขยายใหญ่จากเดิมถึงห้าเท่า วาดกระบองฟาดไปในแนวขวาง คำรามกร้าวอย่างเดือดดาล “ยังไม่รีบไสหัวออกมาอีก จงมาโขกหัวยอมรับความตายต่อท่านปู่แต่โดยดี!”
ซินจวงที่ชมศึกอยู่ไกลๆ ขมวดคิ้วน้อยๆ เพราะไม่ชอบวิธีการเข่นฆ่าสังหารของจูเยี่ยนจริงๆ แหกปากร้องคำรามส่งเดช หนวกหูนัก
ทว่าซินจวงกลับรู้รากฐานของอีกฝ่ายดี รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเวทอำพรางตา อย่าเห็นว่าทุกครั้งที่บรรพจารย์ย้ายภูเขาอย่างจูเยี่ยนลงสนามรบมักจะชอบพูดจาอาฆาตมาดร้าย พูดจาห้าวเหิมไร้สาระ บดขยี้ทำลายภูเขาของสองทวีปในใต้หล้าไปตลอดทาง วิธีการอำมหิตโหดร้าย กำเริบเสิบสานไร้ความยำเกรง แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกครั้งที่ขอแค่จูเยี่ยนเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่ง ยามลงมือจะกะความหนักเบาได้อย่างดีเยี่ยม วิธีการอันตราย ใช้แนวทางเข่นฆ่าแบบเดียวกับโซ่วเฉิน หากเห็นจูเยี่ยนเป็นแค่ปีศาจใหญ่ที่มีแต่พละกำลังเท่านั้น จุดจบย่อมอนาถอย่างมาก
ทหารม้าเกราะทองข้างกายซินจวงหยิบเอาค้อนดาวตกอันหนึ่งออกมาจากเอวแล้ว บิดหมุนข้อมือ แสงสีทองไหลรินเร็วจี๋ ก่อนจะรวมตัวกันเป็นวงกลมสีทองไร้จุดด่างพร้อยวงหนึ่ง สุดท้ายก็ขว้างเข้าใส่ดาวตกจากฟ้าที่ราวกับพยายามจะบุกฟ้าเบิกดินดวงนั้นอย่างว่องไว
ค้อนดาวตกขนาดจิ๋วสองชิ้นของเขา เดิมทีก็มีไว้เพื่อขัดขวางดาวตกจากนอกฟ้าที่ไม่ธรรมดาสองดวงอยู่แล้ว จากนั้นนำวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินอีกนับไม่ถ้วนมาหลอมรวมอย่างตั้งใจ เนื่องจากหมื่นปีที่ผ่านมา อริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปตั้งบูชาในศาลบุ๋นของลัทธิขงจื๊อ ส่วนใหญ่ล้วนติดตามหลี่เซิ่งไปพิทักษ์อยู่นอกฟ้า มักจะประมือกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เป็นประจำ บวกกับที่ในอดีตมีการจับมือกันเดินทางไกลของผู้ฝึกตนบนยอดเขาอย่างพวกบรรพจารย์ร้อยสำนักและเทียนซือแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์โดยมีหลี่เซิ่งเป็นผู้นำ เปิดฉากเข่นฆ่าอยู่นอกฟ้าอย่างไม่มีหยุดพัก ระหว่างนี้ก็ได้ก่อให้เกิดภาพเหตุการณ์ผิดปกติมากมายบนโลกมนุษย์ ยกตัวอย่างเช่นเคยทำให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเกิดสถานที่ฟ้ารั่วที่มีตราผนึกหนาชั้นอยู่สองแห่ง หนึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของพื้นดินที่สูงชัน อีกหนึ่งอยู่ในอาณาเขตทางตะวันออกเฉียงใต้ที่คล้ายกับฟ้าดินยุบถล่ม สถานที่แห่งแรกมักจะมีดาวตกฝนเพลิงหล่นลงมายังพื้นดินบ่อยๆ สถานที่อย่างหลังมีฝนฟ้ากระหน่ำสาดเทลงมาไม่ขาดสาย ห่าฝนประหนึ่งกรอกเทเข้าสู่แผ่นดิน ตลอดทั้งปีแทบจะไม่เคยเห็นเดือนเห็นตะวัน
เฟยเฟยปีศาจใหญ่บนบัลลังก์คนเก่าก็ไปเจออวี่ซื่อที่ภายหลังกลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ของกระโจมเจี่ยเซินจากสถานที่แห่งหนึ่งในนั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!