ตรงเอวของบุรุษห้อยแท่นฝนหมึกขนาดเล็กไว้อันหนึ่ง คือแท่นฝนหมึกเก่าแก่ที่มีรอยหมึกเข้มข้น แกะสลักบทกลอนเซียนท่องเที่ยวไว้หนึ่งบท เขาเอ่ยอย่างสะท้อนใจเบาๆ ว่า “ทัศนียภาพแปลกตาที่ดวงจันทร์สามดวงลอยอยู่กลางนภาพร้อมกัน พวกเราไม่ได้เห็นแล้ว”
บนไหล่ของสตรีมีนกถงฮวาที่ลักษะคล้ายนกหลวนเฟิ่งตัวหนึ่งลอยตัวอยู่ นางยิ้มเอ่ย “เซียนกระบี่ผู้เฒ่าต่งที่แกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพงเมืองผู้นั้นมีเวทกระบี่เลิศล้ำจริงๆ น่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นภาพที่ดวงจันทร์บนฟ้าตกลงมายังโลกมนุษย์กับตาตัวเอง ต่อให้แค่ลองจินตนาการดูก็ทำให้จิตวิญญาณของคนสั่นไหวได้แล้ว”
“ได้ยินมาว่าในอดีตที่นี่มีปณิธานกระบี่บริสุทธิ์สะสมมานานนับหมื่นปี ล้วนเป็นสิ่งที่เซียนกระบี่เหลือทิ้งไว้ให้บนมหามรรคา เป็นกลุ่มๆ เป็นเส้นๆ มีจำนวนมากมหาศาล ร้อยปีพันปีไม่เคยจางหายไปไหน เล่าลือกันว่านครบินทะยานไปอยู่ใต้หล้าห้าสี ได้นำปณิธานกระบี่ไปด้วยครึ่งหนึ่ง หลังจากนั้นก็ถูกพวกผู้ฝึกกระบี่สัตว์เดรัจฉานของภูเขาทัวเยว่ขโมยไปไม่น้อย น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ”
“ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ความเสียดายที่ใหญ่ที่สุดของข้าไม่เหมือนกับเจ้า ไม่ได้เห็นเซียนกระบี่หญิงที่มีชิงช้าตั้งวางอยู่บนหัวกำแพงเมืองท่านนั้น ไม่รู้เลยว่าโจวเฉิงนางงดงามแค่ไหนกันแน่”
“ข้าก็มีความเสียดายเช่นเดียวกัน”
ห่างจากเซียนดินชายหญิงสองคนนี้ไปค่อนข้างไกล มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังง่วนทำงานกันอยู่ คือเทพธิดาจากทักษินาตยทวีปกลุ่มหนึ่งที่จับมือกันเดินทางมาท่องเที่ยวที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ กำลังเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ เพียงแต่ว่าภาพที่ผู้ฝึกตนของบ้านเกิดพวกนางได้เห็นต้องพร่าเลือนอย่างแน่นอน
หากเป็นธวัลทวีปและหลิวเสียทวีปที่อยู่ห่างไปไกลยิ่งกว่า อย่าว่าแต่ใบหน้าของพวกเทพธิดาเลย คาดว่าแม้แต่เค้าโครงเรือนกายของพวกนางก็คงมองเห็นได้ไม่ชัดเจน
ครั้งนี้ออกเดินทางไกล พวกนางกับร้านผ้าห่อบุญบนภูเขาลูกหนึ่งร่วมแรงกันเช่าวัตถุฟางชุ่นมาสองชิ้น สตรีออกเดินทาง มีสมบัติมากเกินไป วัตถุฟางชุ่นชิ้นเดียวหรือจะพอ ใครที่เอาของวางมากเกินไป กินพื้นที่มากกว่าใคร พวกนางคนที่เหลือล้วนกระจ่างชัดอยู่ในใจดี ก็แค่ไม่พูดออกมาจากปากเท่านั้น ล้วนเป็นพี่สาวน้องสาวที่ใกล้ชิดสนิทสนมกัน จะถือสาเรื่องนี้ไปไย ทำร้ายความรู้สึกกันเสียเปล่าๆ
เทพธิดาคนหนึ่งในนั้นสวมชุดกระโปรงแบบของธิดามังกร เวลานี้หยิบเอาภาพขุนเขาธาราวิหคบุปผาออกมาม้วนหนึ่ง หลังจากคลี่กางลงบนพื้นแล้วก็เกิดเป็นทัศนียภาพที่ต้นไม้ดอกไม้ถือกำเนิด พากันงอกงามบานสะพรั่ง จากนั้นก็มีนกมาเกาะบนกิ่งไม้ ส่งเสียงจิ๊บๆ เจื้อยแจ้ว เวลานี้เทพธิดาผู้นี้ยึดครองทัศนียภาพของม้วนภาพนี้ไว้เพียงลำพัง เรือนกายอรชรอ้อนแอ้น ในมือของนางถือถ้วยกระเบื้องใบเล็กไว้ใบหนึ่ง คอยโยนอาหารออกไปป้อนนกที่โบยบินผ่านมาเบาๆ
เทพธิดาคนที่เหลือต้องยืนอยู่นอกม้วนภาพชั่วคราว กำลังซุบซิบกันเบาๆ
“เซียนกระบี่ใหญ่เว่ยของแจกันสมบัติทวีปท่านนั้นไม่เสียแรงที่มาจากหอเทพเซียนของศาลลมหิมะ ช่างมีมาดเหมือนเทพจริงๆ ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายเซียน มองไกลๆ แค่แวบเดียวก็จิตใจหวั่นไหวแล้ว อย่าหัวเราะๆ ก่อนหน้านี้ใครกันที่เกือบจะไปพูดคุยกับเว่ยจิ้นแล้ว?”
“รูปโฉมไม่ด้อยกว่าฟู่จิ้นเลย มองนานเท่าไรก็ได้กำไรเท่านั้นนี่นะ”
“เซียนกระบี่เว่ยนิสัยดีจริงๆ เมื่อวานพวกเราอยู่บนหัวกำแพง ร่ายบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ เขาก็ไม่ได้ห้าม แต่เจ้าคนที่หันมายักคิ้วหลิ่วตาให้พวกเราคนนั้น ค่อนข้างจะขวางหูขวางตาไปสักหน่อย หน้าไม่บางเลย ถึงกับทำหน้าหนาจะขยับเข้ามาใกล้บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของพวกเราด้วย”
“ได้ยินว่าเป็นตัวอ่อนเซียนกระบี่คนหนึ่งของทักษินาตยทวีป ถูกจั่วโย่วทำลายจิตแห่งกระบี่ ภายหลังไปอยู่แจกันสมบัติทวีป ไม่รู้ว่าทำไมถึงมาฝึกกระบี่อยู่ที่นี่ได้ หากถามข้านะ เขาคงเป็นแค่ชั้นวางดอกไม้เท่านั้นแหละ”
“เอ๊ะ สตรีผู้นั้นดูเหมือนจะเป็นบรรพจารย์ผู้คุมกฎของภูเขาหงซิ่งซื่อสุ่ย คือจู้ย่วนที่มีฉายาว่า ‘ถงเซียน’?”
“ต้องใช่แน่นอน เพราะว่าข้ารู้จักเจี่ยเสวียนที่เป็นฉีไต้จ้าวของราชวงศ์เกิงอวิ๋น เคยเห็นไกลๆ ครั้งหนึ่ง ว่ากันว่าในอดีตเขากับจู้ย่วนเกือบจะได้เป็นคู่บำเพ็ญเพียรกัน”
ตรงทางเลียบหน้าผาแห่งอื่น คนกลุ่มหนึ่งกำลังเก็บเศษหินจากรอบด้าน สถานที่แห่งนี้คงจะเป็นสนามรบที่ผ่านการเข่นฆ่าอย่างดุเดือดแห่งหนึ่ง ถึงได้มีหินแตกมากมายขนาดนี้
บุรุษคนหนึ่งในนั้นเก็บหินมาแค่ก้อนเดียว ขนาดเท่าฝ่ามือ เขานั่งยองอยู่บนพื้น คลี่ยิ้ม พึงพอใจแล้ว สามารถเอาไปทำเป็นแท่นฝนหมึกให้เจ้าเด็กคนนั้นของบ้านตนได้ชิ้นหนึ่งแล้ว เจ้าลูกกระต่ายน้อยไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่อะไร แต่กลับเลื่อมใสกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างมาก ส่วนตัวของชายฉกรรจ์เองคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตร่างทองคนหนึ่ง หนึ่งเพราะการท่องยุทธภพ ไปที่ไหนก็เหมือนกัน เหตุผลอีกครึ่งหนึ่งก็เพื่อให้ตนเอาไปโอ้อวดกับเจ้าเด็กนั่นได้ ดังนั้นถึงได้มาที่นี่ เพราะมีความสัมพันธ์กับภูเขาหงซิ่งซื่อสุ่ยจึงได้ตามมาด้วย
ริมขอบของสะพานไม้มีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวจากความว่างเปล่า สวมชุดตัวยาวสีเขียวสวมรองเท้าผ้า แล้วยังสะพายกระบี่
แขกที่ไม่ได้รับเชิญคนนี้พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “วางกลับไป”
ชายฉกรรจ์ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคือคนแรกและเป็นคนเดียวที่วางเศษหินในมือลง
ผู้ฝึกลมปราณคนอื่นๆ ที่มาจากภูเขาสองลูกของแผ่นดินกลาง คนที่ลุกขึ้นยืนก็แค่ลุกขึ้นยืน คนที่หันหน้ามามองก็แค่หันหน้ามา ไม่ว่าใครก็ไม่ยินดีจะสละเศษหินของหัวกำแพงเมืองที่กลายเป็นของในกระเป๋าไปเรียบร้อยแล้วทิ้งไป
ผู้ฝึกตนผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ภูเขาหงซิ่งซื่อสุ่ยคนหนึ่งโยนเศษหินในมือขึ้นเบาๆ หัวเราะหยันเอ่ยว่า “ผีขี้สอดมาจากไหนกัน กินอิ่มว่างงานนักหรือ เจ้าก็มายุ่งได้ด้วย?”
บุรุษชุดเขียวที่ไม่รู้ว่าใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่คนนั้นพยักหน้า “ยุ่งได้สิ”
“ลูกศิษย์สำนักศึกษา?”
“ไม่ใช่”
“ถ้าอย่างนั้นก็อยากโดนซ้อม?”
“เจ้าจะลองดูก็ได้”
ผู้ฝึกตนหนุ่มคนนั้นชั่งน้ำหนักอยู่พักหนึ่ง หากอีกฝ่ายคือผีตอแยยากบนภูเขา ไม่แน่เสมอไปว่าตนจะเอาชนะได้ เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่ ทั้งยังสะพายกระบี่ด้วย ไม่แน่ว่าอาจเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง แล้วนับประสาอะไรกับที่ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก ได้รับคำสั่งสอนจากสำนักว่าห้ามก่อเรื่อง ดังนั้นเขาจึงเริ่มใช้เหตุผล “ขนาดศาลบุ๋นยังไม่เคยบอกว่าไม่อนุญาตให้คนที่มาเที่ยวเอาเศษหินกลับไป พูดแค่ว่าไม่อนุญาตให้ผู้ฝึกตนต่อสู้กัน ร่ายใช้เวทคาถาที่นี่โดยพลการ ทำไมเจ้าต้องมายุ่งกับเรื่องของคนอื่นด้วย?”
คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะเอ่ยขึ้นโดยตรงว่า “วันหน้าข้าจะให้ศาลบุ๋นเพิ่มกฎข้อนี้ลงไป ขโมยหินต้องโดนตัดมือ”
ทุกคนอึ้งตะลึงกันไปก่อน จากนั้นก็หัวเราะครืน ดีเลย สามารถวางใจได้อย่างสิ้นเชิงแล้วว่าไอ้หมอนี่สามารถซ้อมได้ตามใจชอบ
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นก็ส่ายหน้ายิ้ม มีคนหนุ่มที่ไหนคุยโวไม่ต้องร่างคำพูดแบบนี้บ้าง เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะรวมเสียงให้เป็นเส้นเอ่ยเตือนว่า “น้องชายคนนี้ อย่าได้หาเรื่องอีกเลย อาจารย์เจี่ยคือผู้ถวายงานลำดับรองของหอโหยวเซียน แม้ว่าจะไม่ใช่สำนักเซียนอักษรจง แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนทั่วไปจะมาหาเรื่องได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจู้เซียนซือที่ยังเป็นถึงบรรพจารย์ผู้คุมกฎของภูเขาหงซิ่ง เจ้าฟังคำแนะนำจากข้าเถอะ จากไปดีกว่า เรื่องที่ศาลบุ๋นยังไม่สนใจ เจ้าก็ยิ่งไม่มีความจำเป็นที่ต้องมาสนใจ”
ชายฉกรรจ์ที่นั่งยองหยิบเศษหินขึ้นมาอีกครั้ง
น่าเสียดายที่คนหนุ่มซึ่งไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำผู้นั้นกลับแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ซ้ำร้ายคนผู้นั้นกลับยังยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จะพูดอีกครั้ง วางกลับไปให้หมด”
จากนั้นก็พูดกับชายฉกรรจ์ว่า “เจ้าสามารถเป็นข้อยกเว้นได้”
ชายฉกรรจ์เพียงยิ้มรับ ยิ่งพูดชายหนุ่มก็ยิ่งเลอะเทอะแล้ว
ศิษย์เอกของเจี่ยเสวียนยิ้มเอ่ย “ไปกับมารดาเจ้า…”
นาทีถัดมา ไม่รู้ว่าทำไม ลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ของหอโหยวเซียนผู้นี้ถึงหันหน้าเข้าหาผนัง หัวโหม่งกระแทกชน ฟันร่วงเต็มปาก ร่างร่วงกรูดลงมา
คนชุดเขียวผู้นั้นเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างกดที่ศีรษะอีกฝ่าย เพียงบิดหมุนข้อมือเบาๆ ก็ทำให้คนหนุ่มเจ็บปวดราวใจจะขาด แต่เพราะหน้าแนบติดผนัง จึงได้แต่ร้องครวญคราง อู้อี้ฟังไม่ชัด
ผู้ฝึกตนหญิงภูเขาหงซิ่วคนหนึ่งหวังลงมือช่วยบุรุษคนนั้น ชายเสื้อสองข้างจึงแกว่งสะบัด พลันลงมืออย่างอำมหิต ชายแขนเสื้อข้างหนึ่งเรียกเวทน้ำ อีกข้างหนึ่งเรียกเวทอัคคีออกมา ประหนึ่งเชือกสองเส้นที่ส่องประกายแสงแวววาว รัดพันกันอยู่กลางอากาศแล้วฟาดโบยลงบนหัวใจด้านหลังของคนชุดเขียวอย่างโหดร้าย
ผลกลับกลายเป็นว่าอยู่ดีๆ ก็ถูกคนผู้นั้นกักตัวมาไว้ข้างกาย แล้วยังถูกกดท้ายทอยจับกระแทกกำแพง ดวงหน้าที่เดิมทีงดงามของหญิงสาวพลันถูกกำแพงเสียดสีจนเลือดโชกไหลนอง
ผู้ปกป้องมรรคาสองคนหนึ่งชายหนึ่งหญิงทะยานลมมาพร้อมกันอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ เจี่ยเสวียนเอ่ยอย่างเดือดดาล “โจรชั่วถึงกับกล้าลงมืออำมหิตเชียวรึ!”
จู้ย่วนเพิ่งจะเรียกวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งออกมา นาทีถัดมาก็รู้แล้วว่าท่าไม่ดี เจี่ยเสวียนก็ยิ่งราวกับเอาหัวโหม่งไปทางคนชุดเขียว แต่ถูกฝ่ามือข้างหนึ่งยันหน้าผากเอาไว้ บิดหมุนข้อมือทีเดียว เจี่ยเสวียนก็ถูกเหวี่ยงกระแทกลงพื้น ร่างกระดอนขึ้นมาหนึ่งที ก่อนจะตัวอ่อนพังพาบอยู่บนพื้น สลบเหมือดคาที่ไปทันที
จู้ย่วนกำลังจะหดมือกลับมาก็ถูกฝ่ามือหนึ่งตบฉาดมาที่ใบหน้า ก่อนที่จะหมดสติไป นางได้ยินเพียงประโยคที่คนชุดเขียวเอ่ยว่า “เสียดายอะไร?”
ฝ่ามือสองข้างของเฉินผิงอันถูกันคล้ายกับเช็ดอะไรบางอย่างให้สะอาด พูดกับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนนั้นว่า “เจ้าสามารถเอากลับไปได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!