เฉินหลิงจวินหรือจะกล้าตบไหล่ท่านผู้นั้น แน่นอนว่าให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมไป ขาดก็แค่ไม่ได้ลงไปชักดิ้นชักงออยู่ในตรอกหนีผิงเท่านั้น อาจารย์ผู้เฒ่าเลยได้แต่ล้มเลิกความคิด บอกให้เด็กชายชุดเขียวเดินออกไปจากเมืองเล็กเอง เพียงแต่เขาทั้งไม่ไปสุสานเทพเซียน แล้วก็ไม่ไปศาลบุ๋นบู๊ เพียงแค่เดินอ้อมเส้นทางไปยังลำคลองหลงซวีเส้นนั้น ต้องการไปดูที่สะพานหินโค้งสักหน่อย สุดท้ายจึงถือโอกาสแวะไปดูซากปรักของศาลเล็กที่ลักษณะคล้ายศาลาข้างทางแห่งนั้นด้วย
เฉินหลิงจวินถามหยั่งเชิง “ปรมาจารย์มหาปราชญ์ เทพเซียนผู้เฒ่าลัทธิเต๋าที่ตัวสูงๆ คนก่อนหน้านี้ ขอบเขตก็สูงมากด้วยหรือ?”
อาจารย์ผู้เฒ่าพยักหน้า “สูงมาก หากขอบเขตไม่สูง มรรคาจารย์เต๋าก็ไม่มีทางถ่ายทอดมรรคกถาให้กับเขา อีกทั้งสหายท่านนี้ ในกาลเวลาช่วงต้นๆ เคยมีพระคุณยิ่งใหญ่ต่อเผ่ามนุษย์อย่างพวกเรา เป็นเหตุให้อันดับรายชื่อของเขาในสิบสองนักษัตรที่สอดคล้องกับแผนภูมิภาคปฐพีที่หลี่เซิ่งเป็นคนกำหนดสูงมาก ด้วยนิสัยวัว (เปรียบเปรยถึงนิสัยที่ดื้อรั้นหัวแข็ง) ของสหายคนนั้น ช่างเถิด…นินทาคนอื่นลับหลัง ไม่มีคุณธรรมเท่าไร”
เฉินหลิงจวินเอ่ยอย่างเป็นกังวล “แต่ฟังจากน้ำเสียงของเขาแล้ว ดูเหมือนว่าจะเคยมีความขัดแย้งกับนายท่านบ้านข้ามาก่อน?”
จะทำอย่างไรดี ตนต้องเอาชนะนักพรตเฒ่าคนนั้นไม่ได้แน่ ปรมาจารย์มหาปราชญ์ยังพูดเองว่าหากต้องต่อสู้กับมรรคาจารย์เต๋า ตัวเขาเองยังต้องกลัดกลุ้ม ดังนั้นไม่ว่าจะมองอย่างไร ฝ่ายของตนก็ไม่มีทางได้เปรียบเลย
เหลวไหล ตนกับปรมาจารย์มหาปราชญ์ต้องเป็นฝ่ายเดียวกันแน่อยู่แล้ว เป็นคนไม่ควรหันข้อศอกหาคนนอก (เปรียบเปรยถึงเข้าข้างคนอื่น ไม่เข้าข้างคนกันเอง) อะไรที่เรียกว่าคลุกคลีอยู่ในยุทธภพ ก็คือคนสองกลุ่มทะเลาะกัน จับกลุ่มต่อยตี ต่อให้จำนวนคนจะแตกต่าง ฝั่งของตัวเองคนน้อย ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องสู้ไม่ได้ แต่ก็ต้องยืนให้คนซ้อมเป็นเพื่อนสหายไม่เผ่นหนีเอาตัวรอด
ก่อนหน้านี้นักพรตเฒ่าพูดถึงพื้นที่มงคลดอกบัว ฟังจากน้ำเสียงแล้ว นายท่านบ้านตนยังเคยเสียเปรียบ เคยเสียหน้าอยู่ที่นั่นด้วย
เกี่ยวกับพื้นที่มงคลที่เปลี่ยนชื่อเป็นพื้นที่มงคลรากบัวแห่งนั้น เฉินหลิงจวินรู้แค่ว่าเผยเฉียนกับเฉาฉิงหล่าง และยังมีพวกพ่อครัวเฒ่า อาจารย์จ้ง ต่างก็มาจากพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลที่มากไปด้วยเหล่าวีรบุรุษและผู้มีความสามารถแห่งนี้ เพียงแต่ว่าแต่ละคนต่างก็ไม่ชอบพูดเรื่องเกี่ยวกับบ้านเกิดของตัวเองแม้แต่ครึ่งคำ เฉินหลิงจวินก็คร้านจะถามมาก ดังนั้นจึงเข้าใจผิดมาโดยตลอดว่าพื้นที่มงคลดอกบัวที่ในอดีตอยู่ในระดับล่างแห่งนี้ แม้แต่ผู้ฝึกตนก็ยังมีอยู่แค่ไม่กี่คน และยิ่งไม่มีเซียนดิน จะสามารถสร้างคลื่นลมมรสุมอะไรออกมาได้
ไหนเลยจะคิดได้ว่าจู่ๆ จะมีเจ้าคนที่มรรคาจารย์เต๋าเรียกว่าสหายโผล่ออกมา คนเราไม่อาจดูกันแค่รูปลักษณ์ภายนอกได้จริงๆ โชคดีที่ตนระมัดระวังไปทุกย่างก้าว ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความดีงาม ปากมากพูดถึงเรื่องที่ภูเขาบ้านตนมีหญ้าเขียวมากมายไปแค่เรื่องเดียว ไม่อย่างน้อยบัญชีเลอะเลือนครั้งนี้ ตนที่แขนขาเล็กจ้อยย่อมไม่อาจแบกรับได้ไหว
อาจารย์ผู้เฒ่าส่ายหน้า “อันที่จริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ปีนั้นตอนที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว สหายท่านนี้ค่อนข้างจะยอมรับในการวางตัวของนายท่านบ้านเจ้าอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำเรียกขานว่าสหายนักพรตที่มาจากใจจริงที่ปลอบใจคนได้อย่างเหมาะเหม็ง”
เฉินหลิงจวินโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก จึงยืดอกตั้ง หัวเราะร่าเอ่ยว่า “แต่ไหนแต่ไรมานายท่านบ้านข้าก็มีดวงกับผู้อาวุโสดีมากอยู่แล้ว ส่วนข้า พอจะเรียนรู้จากเขามาได้อย่างถูไถ”
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เรื่องอย่างวาสนากับผู้อาวุโสนี้ ข้าไม่ค่อยเก่งกาจเท่าไร ปีนั้นพาพวกลูกศิษย์ออกเดินทางทัศนศึกษาไปทั่วหล้า ได้เจอกับคนหาปลาคนหนึ่ง ก็ยังไม่อาจนั่งเรือข้ามแม่น้ำได้ ตอนนี้มาย้อนนึกดูแล้ว คงเป็นเพราะตอนนั้นอารมณ์ร้อนวู่วามเกินไป จึงไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชอบของมหามรรคา”
เฉินหลิงจวินปลุกความกล้าเอ่ยว่า “ตอนนั้นที่นายท่านของข้าพาพวกเป่าผิงไปขอศึกษาต่อที่ต้าสุย ตลอดทางที่เดินทางกันไปเจอภูเขาก็กินจากภูเขา เจอน้ำก็กินจากน้ำ ล้วนเป็นนายท่านบ้านข้าที่ไปเคาะประตูบ้านนายพรานขอพักค้างแรม ซึ่งทำได้ค่อนข้างราบรื่นเลยล่ะ”
อาจารย์ผู้เฒ่าถาม “จิ่งชิง เจ้าติดตามเฉินผิงอันฝึกตนมานานหลายปี บนภูเขาก็มีตำราเก็บไว้ไม่น้อย ไม่เคยอ่านบทคนหาปลาของเจ้าลัทธิลู่ ไม่เคยรู้เลยหรือว่า ที่มาของคำกล่าวตั้งป้อมประจันหน้า เคยด่าข้าด้วยประโยคว่า ‘อาจารย์ยังมีสีหน้าเย่อหยิ่งอีกหรือ’?”
เฉินหลิงจวินพูดด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “หนังสือล้วนถูกนายท่านบ้านข้าอ่านหมดแล้ว ข้าอยู่บนภูเขาลั่วพั่วรู้แต่มานะฝึกตนในทุกๆ วันเท่านั้น จึงไม่ทันได้สนใจเรื่องพวกนี้”
อาจารย์ผู้เฒ่าหัวเราะร่าเอ่ยว่า “ยังต้องอ่านหนังสือให้มาก จะดีจะชั่วยามที่พูดคุยกับคนอื่นก็จะได้ต่อบทสนทนาได้”
เฉินหลิงจวินพยักหน้ารับรัวๆ อย่างแรงเหมือนไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก “วันหน้าข้าจะต้องทั้งอ่านตำราทั้งฝึกตนไม่เกียจคร้านทั้งสองทางแน่”
ทุกครั้งที่ลงจากภูเขามาเดินเที่ยวเล่นก็ยังจะต้องไปจุดธูป โขกหัวกราบไหว้ปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่ศาลบุ๋นของอำเภอไหวหวงให้บ่อยๆ ด้วย!
เฉินหลิงจวินลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถามอย่างใคร่รู้ “ขอถามหน่อยได้หรือไม่ว่าพุทธภินิหารของศาสดาพุทธเป็นเช่นไร?”
ความนัยในถ้อยคำนี้ก็คือ อยากจะถามว่าท่านผู้อาวุโสเอาชนะศาสดาพุทธได้หรือไม่
อาจารย์ผู้เฒ่าลูบหนวดยิ้มกล่าว “สามารถขยุ้มสหัสโลกธาตุให้กลายเป็นฝุ่นเม็ดเดียว ทั้งยังสามารถคีบดอกไม้หนึ่งดอกให้จำแลงกลายเป็นโลกแห่งขุนเขาสายน้ำ เจ้าว่าพุทธภินิหารของเขาจะเป็นอย่างไรเล่า?”
เฉินหลิงจวินถอนหายใจ ไม่ทันควบคุมมือให้ดีก็ยกขึ้นไปตบชายแขนเสื้อของอาจารย์ผู้เฒ่าเสียแล้ว ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรเรื่องอย่างการต่อยตีกันนี้ก็ทำลายความปรองดอง ตีกันน้อยย่อมดีกว่า
อาจารย์ผู้เฒ่าไม่ถือสา ถามชวนคุยว่า “อยู่ที่นี่มานานแล้ว มีคนที่เจ้าไม่ชอบบ้างหรือไม่?”
เฉินหลิงจวินดึงมือกลับมาอย่างขลาดๆ ถือโอกาสสอดสองมือใส่ไว้ในชายแขนเสื้อเอาอย่างนายท่านบ้านตัวเอง หลีกเลี่ยงไม่ให้มีการกระทำที่เสียมารยาทคล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้นอีก คิดๆ ดูแล้วก็ไม่รู้สึกว่ามีใครที่รังเกียจอย่างจริงจัง เพียงแต่ปรมาจารย์มหาปราชญ์ถามแล้ว ตนก็ควรต้องให้คำตอบ ก็เลยเลือกคนที่ค่อนข้างเกลียดขี้หน้ามาคนหนึ่ง “หม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา ทำอะไรไม่พิถีพิถัน ห่างไกลจากนายท่านบ้านข้าหนึ่งแสนแปดพันลี้เลยล่ะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!