สรุปเนื้อหา บทที่ 865.4 ตัวต่อตัว – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บท บทที่ 865.4 ตัวต่อตัว ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
เฝิงเซวี่ยเทาเอ่ยอย่างขัดเขิน “มีแค่สองแผ่นนี้”
“อะไรนะ? แค่สองแผ่น? ผู้อาวุโสไม่ใช่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานหรอกหรือ? ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอกกลับแร้นแค้นถึงเพียงนี้?”
เจียงซ่างเจินเริ่มรู้สึกนับถือในความใจกล้าของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนนี้แล้ว “ติดตามผู้อาวุโสอาเหลียงมาที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ผู้อาวุโสท่านคิดว่าตัวเองมาเที่ยวเล่นตามขุนเขาลำน้ำจริงๆ หรือไร?”
เฝิงเซวี่ยเทาจนคำพูด แต่ต่อมาก็เป็นอย่างที่เปิงเลอะเจินจวินพูดไว้จริงๆ เขาเข้าไปอยู่ในหอจักรพรรดิที่ตั้งอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกล่องลอยแห่งหนึ่ง เฝิงเซวี่ยเทาเดินลอดระเบียงไปตามที่อีกฝ่ายชี้ทางให้อย่างคล่องแคล่ว ประหนึ่งเจ้าของบ้านที่เดินเล่นอยู่ในลานบ้านของตัวเอง อดไม่ไหวถามว่า “สหายเชี่ยวชาญศาสตร์การทำนายหรือ?”
“ไม่เชี่ยวชาญ เรียนรู้แล้วก็เอามาใช้ทันที อริยะปราชญ์บอกไว้ว่าวิญญูชนไม่ควรเสี่ยงทายไม่ใช่หรือ แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าคนนี้ไม่เชื่อเรื่องชะตากรรมที่สุด ดังนั้นจึงถือเป็นการกอดขาพระเมื่อจวนตัว เข้าวัดแล้วค่อยจุดธูป นับว่าโชคดีที่เวลาปกติเคยทำความดีมาบ้าง”
“สหายล้อเล่นแล้ว”
“เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะเป็นคนที่สิบที่ยังไม่ได้ปรากฏตัวหรือ?”
“โชคในการเดิมพันของข้าไม่เลวมาโดยตลอด ชั่วชีวิตที่ผ่านมานี้ลางสังหรณ์ของข้าแม่นยำมาก”
ตอนที่เฝิงเซวี่ยเทาเป็นเด็กหนุ่มเคยเข้าบ่อนในหมู่ชาวบ้านแล้วได้เจอกับยอดฝีมือคนหนึ่งที่ภายหลังเป็นผู้นำพาให้เขาเดินไปบนวิถีแห่งการฝึกตน
บนโต๊ะเดิมพันนั้น เฝิงเซวี่ยเทาเดิมพันสิบชนะเก้า ทว่าทุกครั้งที่ออกจากบ่อนล้วนต้องขาดทุน
โชคในการเดิมพันดีมาก แต่ฝีมือในการวางเดิมพันกลับย่ำแย่ ท่านเซียนผู้นั้นบอกว่าชะตาของเขานั้นมีช่องทางแต่ขาดทักษะ แค่เพราะไม่มีหนทางในการเรียนรู้ ดังนั้นจึงเหมาะกับการฝึกตนที่สุด ไม่อย่างนั้นจะเป็นการย่ำยีวัตถุดิบของสวรรค์
แต่ท่านเซียนผู้นั้น ถึงท้ายที่สุดก็ไม่ได้รับเขาเป็นศิษย์ บอกว่าตัวเองมีชะตาของความโชคดีตื้นเขิน มิอาจรับการโขกหัวกราบอาจารย์จากเฝิงเซวี่ยเทาได้
เจียงซ่างเจินพลันตะโกนขึ้นว่า “รีบตรวจสอบฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์เดี๋ยวนี้ ระวังจะมีกระบี่บินบินทะลวงอยู่ภายใน!”
เฝิงเซวี่ยเทารีบตรวจสอบฟ้าดินเล็กทันที ผลกลับกลายเป็นว่ายังคงสกัดขวางไม่ทัน ถูกปราณกระบี่กลุ่มหนึ่งปั่นทะลวงช่องโพรงลมปราณไปมากมาย โชคดีที่เฝิงเซวี่ยเทาหาวิธีรับมือได้ทันกาล เพียงแค่มี ‘ป่าเปลี่ยวชานเมือง’ เพิ่มมาในขุนเขาสายน้ำของฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์อีกเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็เกือบจะลามไปโดนช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตสองแห่งที่อยู่ใกล้เคียง อันที่จริงปราณกระบี่กลุ่มนั้นหาประตูใหญ่เจอแล้ว แต่คงเพราะไม่มีความมั่นใจว่าจะบุกทำลายช่องโพรงลมปราณได้สำเร็จ อีกทั้งยังไม่ยินดีจะเข่นฆ่ากับดวงจิตของขอบเขตบินทะยานที่มีการป้องกันมาก่อนแล้วซึ่งๆ หน้า จึงแหวกสิ่งกีดขวางแห่งขุนเขาสายน้ำออก ถอนตัวถอยออกมาจากฟ้าดินเล็กเรือนกายมนุษย์ของเฝิงเซวี่ยเทาทันทีทันใด
เฝิงเซวี่ยเทามองทางออกบน ‘ม่านฟ้า’ ของฟ้าดินเล็กร่างกายตัวเองที่เกิดจากกระบี่บินก็ให้กลัดกลุ้มใจนัก หากไม่มองอย่างละเอียด บาดแผลเล็กน้อยแค่นั้นสามารถเรียกได้ว่าไร้ร่องรอยได้เลย
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ ต่อให้จะเล็กบางแค่ไหน เมื่อเข้ามาในฟ้าดินร่างกายมนุษย์ของศัตรู ตามหลักแล้วก็ควรจะต้องขยายใหญ่เท่ายอดเขาเหมือนๆ กัน
เจียงซ่างเจินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “น่าเสียดายที่ร่างจริงของข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นอาศัยยันต์กักกระบี่หลายปึกนั้นก็พอจะมีโอกาสจับตะพาบในไหจริงๆ”
ครั้นจึงไขข้อข้องใจให้กับผู้อาวุโสชิงมี่อีกครั้ง “กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งของผู้ฝึกกระบี่หญิงหลิวป๋าย ในคฤหาสน์หลบร้อนได้ถูกใต้เท้าอิ่นกวานตั้งชื่อให้ชั่วคราวว่า ‘เมล็ดงา’ กระบี่บินเล่มนี้แปลกประหลาดยิ่ง เล็กบางแทบมิอาจสังเกตเห็นได้ ระดับขั้นสูงมาก”
สามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งกับปราณวิญญาณฟ้าดิน ประหนึ่งใบไม้ใบหนึ่งที่ลอยอยู่กลางทะเลสาบกว้างใหญ่ ผู้ฝึกลมปราณจะเหมือนมนุษย์ธรรมที่ยืนอยู่ริมฝั่ง ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ
“สหายคือเซียนกระบี่ที่มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่หรือ? แฝงตัวอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างเพื่อรอโอกาสลงมือ?”
ยอดฝีมือผู้เร้นกายจากโลกภายนอกซึ่งตอนนี้ยังไม่รู้ประวัติความเป็นมาคนนี้ เรียกตัวเองว่าเปิงเลอะเจินจวิน ฟังดูคล้ายจะเป็นคนของลัทธิเต๋า แต่ในเมื่อรู้เรื่องลับของคฤหาสน์หลบร้อนดั่งรู้ฝ่ามือของตัวเอง เกินครึ่งคงจะเป็นเซียนกระบี่ที่ไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงคนหนึ่งแล้ว
“ผู้อาวุโสชิงมี่คงไม่เคยไปเยือนสามทวีปที่อยู่ทิศตะวันออกของใต้หล้าไพศาลแน่นอน ไม่อย่างนั้นฉายานี้ของผู้เยาว์พอจะมีชื่อเสียงอยู่ที่นั่นอยู่บ้าง คำประเมินบนภูเขาก็พอใช้ได้ ขึ้นชื่อว่าเป็นคนมีน้ำใจมีคุณธรรม มีจิตใจของจอมยุทธผู้กล้า”
เฝิงเซวี่ยเทาคลางแคลงใจ หรือว่าจะเป็นยอดฝีมือผู้บรรลุมรรคาคนหนึ่งของใต้หล้าไพศาลที่ชอบลงมาเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์?
“ไยสหายต้องเสี่ยงอันตรายทำเรื่องนี้ด้วย?”
เขากับคนประหลาดที่เรียกตัวเองว่าเปิงเลอะเจินจวินผู้นี้ไม่รู้จักกันมาก่อน จึงไม่มีเหตุผลที่อีกฝ่ายจะมาช่วยเหลือตัวเองเช่นนี้
“ข้าคนนี้เคยชินกับการเดินบนคมดาบ เสี่ยงอันตรายเพื่อแสวงหาความร่ำรวย”
เจียงซ่างเจินยิ้มบางๆ “อีกอย่าง เจอกันนับเป็นวาสนา ผู้อาวุโสคือคนบ้านเดียวกันคนแรกที่ข้าเจอในการเดินทางไกลมาเที่ยวเปลี่ยวร้างครั้งนี้ หากเห็นคนใกล้ตายแล้วไม่ยอมช่วยเหลือ ก็กังวลว่าจะถูกฟ้าผ่า”
เฝิงเซวี่ยเทาเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “หากครั้งนี้เฝิงเซวี่ยเทารอดไปได้ ไม่กล้าพูดจาใหญ่โตอะไร แต่ขุนเขาสูงสายน้ำไหลยาว สหายแค่ตั้งตารอก็พอ”
คำสัญญาที่จริงใจของผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง พอจะมีค่าอยู่บ้าง
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ได้เลยๆ ขนบธรรมเนียมภูเขาบ้านข้านั้นดีเยี่ยม แต่ไหนแต่ไรมาก็มีความเคยชินที่ทำดีไม่หวังผลตอบแทนอยู่แล้ว”
หลังจากนั้นก็คือกาลเวลาอัน ‘ยาวนาน’ ช่วงหนึ่งที่รายล้อมไปด้วยอันตราย อีกทั้งยังทำให้จิตแห่งมรรคาของคนทุกข์ทรมานเต็มกลืน
นิยายเรื่องเล่าพิสดารที่แพร่หลายอยู่ในหมู่ชาวบ้าน มักจะชอบพูดเหลวไหลว่าบนสวรรค์หนึ่งวันบนโลกมนุษย์หนึ่งปี หรือไม่ก็บอกว่าเวลาหกสิบปีบนภูเขา บนโลกกลับผ่านไปพันปีแล้ว
คิดไม่ถึงว่าวันนี้เจียงซ่างเจินจะมาเจอเข้ากับตัวจริงๆ
ราวกับว่าลำธารแห่งกาลเวลาที่อยู่ในฟ้าดินเล็กแห่งนั้นได้ไหลผ่านทะเลสาบหัวใจของเจียงซ่างเจินและเฝิงเซวี่ยเทาไปอย่างรวดเร็ว
น่าเสียดายที่ไม่ชวนเศร้าใจเลยแม้แต่น้อย
เพราะอยู่กับเขาก็คืออยู่กับผู้ชายตัวโตๆ จริงแท้แน่นอน นอกจากรับมือกับเวทโจมตีแปลกประหลาดทั้งหลายซึ่งจำต้องทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าแล้ว เพื่อฆ่าเวลา ทั้งสองฝ่ายมีเรื่องอะไรที่คุยได้ก็ล้วนเอามาคุยกันหมด หลักๆ เป็นเจียงซ่างเจินถามชิงมี่ตอบ เท่ากับว่าเวลา ‘หนึ่งร้อยยี่สิบปี’ ได้ผ่านไปแล้ว เวลานี้แม้แต่บรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของผู้อาวุโสชิงมี่ เคยมีสตรีคนรู้ใจมากี่คน รู้จักกันได้อย่างไร ถูกใจได้อย่างไร เขาล้วนเข้าใจหมดแล้ว
เฝิงเซวี่ยเทาเอ่ยอย่างอ่อนใจ “หากยังผลาญเวลาอย่างนี้ต่อไป ข้าเกรงว่าขอบเขตคงต้องถดถอยแน่”
การต่อสู้ครั้งนี้ช่างเป็นการต่อสู้ที่ทำให้คนอัดอั้นจริงๆ
ตามคำกล่าวของสหายเปิงเลอะท่านนี้ ค่ายกลใหญ่แห่งนี้ได้กำหนดภาพบรรยากาศฟ้า กฎเกณฑ์ดิน หยินหยางเคียงคู่ ท้องฟ้าเริ่มขึ้นที่ขั้วโลกเหนือ ผืนดินเกิดจากภูเขาทัวเยว่ หากผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจสิบคนนี้ขอบเขตสูงกว่านี้สักนิด ยกตัวอย่างเช่นอย่างน้อยที่สุดทุกคนต่างก็เป็นขอบเขตเซียนเหริน ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเวลาถึงสามพันหกร้อยปี ตะวันจันทราดวงดาวหมุนเคลื่อนครบหนึ่งรอบ กาลเวลาไหลผ่านไปแค่ไม่กี่รอบง่ายๆ เกรงว่านอกจากผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่แล้ว แม้แต่ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งก็คงต้องตายดับอยู่ท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาในเวลาเพียงครู่เดียวได้อย่างแน่นอน
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปหาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่ต่างคนต่างมีวิชาอภินิหารแตกต่างกันไป ทั้งยังสามารถสร้างค่ายกลขโมยโชคชะตาฟ้าดินกลุ่มนี้มาจากที่ใดกัน
“อย่าตื่นตระหนก”
เจียงซ่างเจินยิ้มพูดปลอบใจ “น้ำและลมผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน อีกเดี๋ยวก็จะสามารถใช้สิบคนรับมือกับสิบคนได้แล้ว ถึงคราวที่ผู้อาวุโสชิงมี่ต้องชมงิ้วบ้างแล้ว”
เพราะร่างจริงของตนได้นำพาคนรุ่นเยาว์ของใต้หล้าไพศาลกลุ่มนั้นเร่งเดินทางมายังที่แห่งนี้แล้ว
ตามคำกล่าวของชุยตงซาน สามใต้หล้าอย่างไพศาล เปลี่ยวร้างและมืดสลัว ต่างก็มีถ้ำเทพเซียน ป่าหยกไพรทองที่ก่อกำเนิดขึ้นมาตามโชควาสนา คนรุ่นเยาว์ก็ถือโอกาสนี้ลุกผงาดตามมาด้วย
ถ้ำสวรรค์หลีจูนั้นไม่ต้องพูดถึง ทุกครั้งที่เจียงซ่างเจินเอาเงินไปส่งให้ที่ภูเขาลั่วพั่ว ไม่เคยไปเดินเล่นเตร็ดเตร่ที่อำเภอไหวหวงเลยสักครั้ง หากจะพูดถึงเรื่องของความใจกล้า เจียงซ่างเจินเองก็ไม่ใช่คนขี้ขลาด แต่ทุกครั้งที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว โจวอันดับหนึ่งผู้ยิ่งใหญ่กลับแทบไม่เคยลงจากภูเขาไปเดินเล่นเลย
ดังนั้นเจียงซ่างเจินจึงนับถือเด็กชายชุดเขียวจากใจจริง จะบอกว่าเฉินหลิงจวินเรียนรู้จากบทเรียนความผิดพลาดก็ไม่ผิดเลย แต่จะบอกว่าเฉินหลิงจวินไม่รู้จักจำก็ไม่ผิดอีกเช่นกัน
นอกจากนี้ก็คือราชวงศ์ของใต้หล้ามืดสลัวแห่งนั้น คือบุคคลยิ่งใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ โชคชะตาแคว้นทอดยาว รากฐานลึกล้ำ ในเขตการปกครองของเมืองหลวงที่มีไว้เพื่อให้ลูกหลานขุนนางชนชนสูงทั้งหลายอยู่อาศัยโดยเฉพาะ มีลูกหลานท่านอ๋องที่สวมพัสตราภรณ์สีสันสดใสควบม้าห้อตะบึงไม่เกรงใจใคร ในประวัติศาสตร์ถูกขนานนามให้เป็นเด็กหนุ่มอู่หลิง โจรข้าวสารหวังหยวนลู่ และยังมีคนถือดาบชีกู่ที่ต่างก็มีภูมิลำเนาอยู่ที่นี่
หรือหากจะย้อนไปไกลกว่านั้นเล็กน้อย อันที่จริงยังมีผู้ฝึกตนมากพรสวรรค์อีกสองคนที่ขึ้นเขาฝึกตนเร็วยิ่งกว่า ต่างก็อยู่ในกลุ่มของนักพรตสามพันคนที่เดินทางไปยังใต้หล้าห้าสี แบ่งออกเป็นชื่อโยวหราน หนันซาน ทุกวันนี้ต่างก็เป็นขอบเขตก่อกำเนิด และชายหญิงที่มาจากสำนักซึ่งเป็นศัตรูคู่แค้นกันสองคนนี้ ทั้งสองฝ่ายไม่เพียงเกิดวันเดียวเดือนเดียวปีเดียวกัน แม้แต่ชั่วยามที่เกิดก็ยังไม่คลาดเคลื่อนกันสักเสี้ยว เรียกได้ว่าเป็นคู่ฟ้าประทานโดยแท้
เฉาสือกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็คือไม่มีเรื่องแต่หาเรื่องแล้ว”
ตลอดทั้งฟ้าดินพลันสะเทือนเลือนลั่น ที่แท้เฉาสือก็ออกหมัดแล้ว
……
ทางฝั่งของลำคลองเย่ลั่ว ป๋ายเจ๋อทรุดตัวลงนั่งยอง แบฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาแล้วแนบลงกับพื้นดินเบาๆ
เฟยเฟยค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่าหัวใจของตน หัวใจจริงๆ ที่ไม่ใช่จิตแห่งมรรคา ถึงกับเกิดการสั่นสะเทือนอย่างที่ไม่อาจควบคุมได้
จากนั้นตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็เกิดเสียงทึบอื้ออึงที่เหมือนจะดังมาจากหัวใจที่เต้นกระหน่ำของผู้ที่จำศีลหลับสนิท
เกิดเป็นภาพบรรยากาศอันดุร้ายที่กลิ่นอายโบราณเก่าแก่หลายขุมแผ่กำจาย
ราวกับว่าผู้ที่จำศีลมาอย่างยาวนานหลายท่านได้ค่อยๆ ฟื้นตื่นขึ้นมาในช่วงแมลงตื่นจากการจำศีล
ป๋ายเจ๋อเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “เลิกนอนกันได้แล้ว”
สีหน้าของเฟยเฟยสดใสมีชีวิตชีวา
ป๋ายเจ๋อพลันเงยหน้าขึ้นยิ้มกล่าว “อยู่ห่างจากข้าหน่อย ยิ่งห่างเท่าไรยิ่งดี”
เพราะการกระทำนี้ของป๋ายเจ๋อเท่ากับเป็นการถามกระบี่ครั้งหนึ่งแล้ว
ช่วยไม่ได้ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างในเวลานี้ คนที่สามารถต้านรับกระบี่นั้นของเฉินชิงตูได้ดีที่สุดก็มีเพียงตนแล้ว
ชูเซิงที่อายุไม่น้อยพอๆ กัน หรือผู้ครองใต้หล้าในนามอย่างผู้ฝึกกระบี่เฝ่ยหราน รวมไปถึงเซียวสวิ้นที่เป็นขอบเขตสิบสี่ ต่างก็ทำไม่ได้
เฟยเฟยไม่พูดพร่ำทำเพลง ได้ยินคำเตือนจากป๋ายเจ๋อแล้วนางก็ร่ายวิชาอภินิหารเวทน้ำอย่างสุดกำลัง หนีไปได้ไกลแค่ไหนก็พยายามไปให้ไกลมากเท่านั้น
ป๋ายเจ๋อลุกขึ้นยืน เผยร่างกายธรรม
แสงกระบี่เส้นหนึ่งพุ่งมาถึงในเสี้ยววินาที
หนึ่งกระบี่ผ่านไป แผ่นดินกว้างใหญ่แหลกลาญไม่เหลือสภาพดี กายธรรมของป๋ายเจ๋อก็ยิ่งถูกแสงกระบี่กระแทกให้จมลึกเข้าไปในใต้ดินพันกว่าลี้
อันที่จริงเป็นแค่ครึ่งกระบี่เท่านี้
ครึ่งกระบี่นี้มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่
และยังมีกระบี่ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งที่พลังอำนาจสะท้านฟ้า ราวกับมาจากการต่อสู้ของนอกฟ้าที่หล่นร่วงลงมายังโลกมนุษย์
กายธรรมของป๋ายเจ๋อเพิ่งจะยื่นมือใหญ่ยักษ์คู่นั้นมาวางไว้บนแผ่นดินกว้างใหญ่ริม ‘ปากบ่อ’
กลับถูกกระบี่ครึ่งหนึ่งนั้นซัดกลับให้ร่วงลงไปใต้ดินลึกกว่าเดิม
ป๋ายเจ๋อเกือบจะถูกแสงกระบี่นำพากายธรรมเจาะทะลุทะลวงไปทั่วใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!