หลินโส่วอีถึงได้เดินข้ามธรณีประตูเข้าไป นั่งหมิ่นๆ ลงบนขอบเตียงเตา เพียงแต่ไม่ได้ถอดรองเท้านั่งขัดสมาธิอย่างบิดา
กังวลว่าจะได้ยินถ้อยคำร้ายกาจชวนให้เจ็บปวดใจอีก
หลินโส่วอีถาม “เรื่องของบิดาเฉินผิงอัน ปีนั้นสรุปแล้วท่านได้เข้าร่วมด้วยหรือไม่?”
บุรุษกระตุกมุมปาก ยกชามเหล้าขึ้นจิบเหล้าหนึ่งคำ “ปีกกล้าขาแข็งแล้ว ไม่เสียแรงที่เป็นเทพเซียนบนภูเขา บินไปบินมาไม่เดินบนพื้น คำพูดคำจาจึงวางโต เขาเรียกว่าอะไรแล้วนะ กินแสงเรืองรองดื่มน้ำค้าง? หรือว่าอยู่ข้างนอกไปนับใครเป็นบิดามา ถึงได้สอนวิถีแห่งการทำตัวเป็นบุตรเช่นนี้ให้เจ้า?”
หลังจากที่บุรุษออกจากที่ว่าการผู้ตรวจการงานเตาเผาก็ออกจากบ้านเกิดมารับหน้าที่ในกองชิงลี่ฝ่ายรถม้าของกรมกลาโหมเมืองหลวงต้าหลี เพียงแต่ว่าทำหน้าที่อยู่ในที่ว่าการใต้อาณัติของฝ่ายรถม้าแห่งหนึ่ง เป็นขุนนางขั้นเจ็ด แล้วยังเป็นชั้น ‘โท’ ด้วย เนื่องจากไม่ได้เป็นขุนนางจากการสอบเคอจวี่ ดังนั้นจึงถือเป็นขุนนางน้ำขุ่น บวกกับที่เขาเองก็ไม่ใช่คนในพื้นที่ของเมืองหลวง ทุกวันนี้อายุก็มากแล้ว อย่าว่าแต่เป็นหลางกวานเลย แม้แต่ตัดคำว่า ‘โท’ ออกก็ยังยากแล้ว หลายปีมานี้พอจะถือว่าเป็นคนที่ดูแลสถานรายงานข่าวซึ่งเป็นที่ทำการน้ำใสแห่งหนึ่งได้อย่างถูไถ และนี่ยังเป็นเพราะคนที่เป็นหัวหน้าเป็นลูกหลานชนชั้นสูงที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องอะไร เวลาเจอกับบุรุษก็มักจะเรียกเขาคำแล้วคำเล่าว่าเหล่าหลิน จุดพักม้าแต่ละแห่งส่งฎีกามายังเมืองหลวง เมื่อฮ่องเต้ตรวจสอบแล้ว กรมกลาโหมก็จะส่งไปยังสถานที่ต่างๆ ซึ่งต้องผ่านที่ว่าการที่ไม่สะดุดตาแห่งนี้ นอกจากนี้รายงานข่าวจากเมืองหลวงที่ส่งไปยังสถานที่ต่างๆ ก็ล้วนอยู่ในการดูแลของที่ว่าการนี้ คิดดูแล้วสหายร่วมงานในที่ว่าการคงมิอาจจินตนาการได้เลยว่าหลินเจิ้งเฉิงน้ำเต้าตันคนนี้จะกลายเป็นบิดาของหลินโส่วอีที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปสองเมืองหลวงได้
หลินโส่วอีกลัวบิดาของเขามาตั้งแต่เด็กแล้ว
อันที่จริงตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้ดีขึ้นสักเท่าไร
ออกจากบ้านเกิดนานหลายปี ออกเดินทางไกลไปขอศึกษาต่อ ฝึกตนอย่างยากลำบาก ดูเหมือนว่าก็เพื่อพิสูจน์เรื่องหนึ่งให้บุรุษเห็น
มีบิดาอย่างท่านหรือไม่ มีครอบครัวนี้อยู่หรือไม่ ข้าหลินโส่วอีก็ยังมีอนาคตสดใสได้
ท่านแม่ลำเอียง รักแต่น้องชาย ท่านพ่อเย็นชา ไม่เคยสนใจเรื่องใด
แต่พออยู่กับหลินโส่วเย่ผู้เป็นน้องชาย ต่อให้จะไม่มีใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ก็ดีกว่ายามอยู่กับหลินโส่วอีที่หากไม่เปิดปากพูดเลยก็คือพอเปิดปากก็เอ่ยแต่ถ้อยคำเหน็บแนมไม่น่าฟัง
ดังนั้นวันเวลาตอนที่เป็นเด็ก จนกระทั่งถึงช่วงที่ต้องออกจากบ้านเกิดเดินทางไกล หลินโส่วอีจึงเป็นคนที่พ่อไม่รักแม่ไม่เอ็นดูอย่างแท้จริง
เด็กหนุ่มเคยเสียใจอย่างสุดแสน
เป็นเหตุให้ปีนั้นตอนที่ไปขอศึกษาต่อที่ต้าสุย เด็กหนุ่มหน้าตาคมคายหมดจดพูดน้อยเปิดใจกับเฉินผิงอันเป็นครั้งแรก จึงเอ่ยประโยคที่ว่า ‘ใต้หล้านี่ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เป็นพ่อแม่จะเหมือนพ่อแม่ของเจ้าทั้งหมด’
แต่หลินโส่วอีในวันนี้กลับไม่เหมือนวันวานแล้ว
หลินโส่วอีเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “หากไม่เป็นเพราะข้า ในเรื่องของการสืบหาความจริงเรื่องเครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตปริแตก เฉินผิงอันก็ไม่มีทางจงใจอ้อมไปทางอื่น จงใจเว้นตระกูลหลินของพวกเราไป ถึงขั้นที่ว่าคราวก่อนเฉินผิงอันมาถึงเมืองหลวงแล้วยังแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไร ท่านพ่อ วันนี้ท่านต้องบอกข้ามาให้ชัดเจน เพราะข้าเองก็ต้องมีคำอธิบายที่ชัดเจนให้กับสหายเหมือนกัน!”
บุรุษมองบุตรชายคนนี้
หลินโส่วอีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาเด็ดเดี่ยว จ้องบิดาเขม็งอยู่อย่างนั้น
นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
บุรุษไม่ได้มีไฟโทสะ เขาพยักหน้า “ในที่สุดก็พอจะมีท่าทีของบุรุษที่พกไอ้จ้อนมาบ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นข้าก็นึกว่าตัวเองให้กำเนิดบุตรสาวมาโดยตลอด ยังต้องกลุ้มใจเรื่องสินเดิมอีก”
หลินโส่วเหวอไปเล็กน้อย
นี่ถือว่าเป็นคำชมอย่างหนึ่งได้หรือไม่?
บุรุษผงกปลายคางชี้ไป
หลินโส่วอียังคงไม่เข้าใจ
บุรุษถาม “เจ้าก็ดื่มเหล้าเป็นไม่ใช่หรือ? ยังเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่งด้วย ทุกวันนี้บนร่างไม่มีวัตถุฟางชุ่นเอาไว้เก็บของจุกจิกอย่างพวกกาเหล้าจอกเหล้าบ้างเลยหรือไร?”
หลินโส่วอีกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “ข้าไม่เคยมีวัตถุฟางชุ่นติดตัว”
บุรุษไม่สะทกสะท้าน แต่กลับถามว่า “ถ้าอย่างนั้นจะให้ข้าที่เป็นลูกชายช่วยเจ้าที่เป็นบิดาหยิบจอกเหล้าหรือว่าชามเหล้าดีล่ะ? เจ้าบอกมาสิ ถึงเวลานั้นข้าจะได้ไม่หยิบผิด ทำให้บิดาไม่พอใจ”
หลินโส่วอีสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที ลุกขึ้นยืนเงียบๆ ออกจากห้องไปหยิบชามเหล้าใบหนึ่งจากข้างนอกมาด้วยฝีเท้าเร่งร้อน
บุรุษคนนี้ หากไม่พูดไม่จาเลย พอเปิดปากก็ชอบพูดจาทิ่มแทงใจคนอื่น เป็นแบบนี้มาโดยตลอด
ในบ้านมีสาวใช้อยู่สองสามคน แต่ล้วนเป็นพวกต้นขาใหญ่สะโพกกลม อีกทั้งยังเป็นท่านแม่ที่ใช้งานได้ ส่วนท่านพ่อ ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กหรืองานใหญ่ก็ล้วนต้องทำด้วยตัวเอง ไม่เคยให้สาวใช้หรือบ่าวคนใดมาคอยปรนนิบัติ
หลินโส่วอีกลับมาถึงห้องก็รินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งชาม ไม่ได้รินจนเต็ม เขายกชามเหล้าขึ้นด้วยสองมือ กระดกดื่มรวดเดียวหมดเงียบๆ
บุรุษหยกชามเหล้าขึ้นจิบเหล้าหนึ่งคำ หยิบถั่วลิสงโรยเกลือมาหนึ่งเม็ด โยนเข้าปากเบาๆ แล้วเคี้ยว เอ่ยเนิบช้าว่า “หากเจ้าบอกว่าเป็นสหายกับเฉินผิงอัน ถ้าอย่างนั้นข้ากับบิดาของเฉินผิงอันก็ถือว่าเป็นสหายกันเหมือนกัน อืม ไม่ควรพูดว่าถือไม่ถืออะไร ต้องบอกว่าใช่แล้ว”
หลินโส่วอีพยักหน้า
บิดาของเฉินผิงอันคือช่างในเตาเผามังกรแห่งหนึ่ง ฝีมือดีเยี่ยม ทั้งยังเป็นคนมีคุณธรรม เป็นคนซื่อสัตย์ที่ไม่เคยทำความชั่ว เดิมทีหากไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝัน ผ่านไปอีกแค่ไม่กี่ปีก็จะได้เป็นอาจารย์หัวหน้าช่างของเตาเผามังกรแล้ว
ส่วนบิดาของหลินโส่วอีก็รับผิดชอบคอยดูแลงานเตาเผา ดูแลเครื่องปั้นสำเร็จรูปที่เผาเสร็จแล้ว ตรวจสอบระดับขั้นของเครื่องปั้น เนื่องจากในอดีตผู้ตรวจการซ่งอวี้จางคือขุนนางที่ขยันขันแข็งชอบวิ่งไปที่เตาเผาทุกวันเป็นที่สุด ดังนั้นบิดาของหลินโส่วอีจึงต้องออกไปข้างนอกพร้อมกับหัวหน้าด้วย จึงมักจะได้พูดคุยกับพวกช่างเตาเผาบ่อยๆ
หลินเจิ้งเฉิงเอ่ยเนิบช้า “บุรุษสองคน นอกจากคุยเรื่องงานเตาเผาที่เป็นการเป็นงานน่าเบื่อแล้วยังจะคุยเรื่องอะไรกันได้อีก รอให้ต่างคนต่างมีลูกชาย ดื่มเหล้าด้วยกันก็ได้แค่พูดคุยเรื่องสัพเพเหระในครอบครัวตัวเองแล้ว”
“อันที่จริงเคยพูดกันไว้นานแล้วว่า หากครอบครัวของข้าและของเขามีบุตรชายหนึ่งคนบุตรสาวหนึ่งคนพอดี จะหมั้นหมายให้เด็กๆ เอาไว้ก่อน แต่ไม่บังเอิญเลย พวกเราต่างก็ได้ลูกชาย หมดลุ้นแล้ว”
หลินโส่วอีถามอย่างสงสัย “ท่านอาเฉินก็ดื่มเหล้าด้วยหรือ?”
หลินเจิ้งเฉิงพยักหน้า “ดื่มเหมือนกัน ดื่มได้ ก็แค่ว่าไม่ชอบดื่ม ดังนั้นทุกครั้งล้วนเป็นข้าที่ลากเขาให้ไปดื่มด้วยกัน อยู่ที่เตาเผามังกรยังนับว่าดี อย่างมากก็แค่ล้มหัวลงนอน แต่หากอยู่ในเมืองเล็ก เขากลับชอบทำตัวลับๆ ล่อๆ เหมือนโจร ปีนั้นข้าก็สงสัยนัก ไม่ใช่ว่าภรรยาเขาควบคุมอย่างเข้มงวดเสียหน่อย น้องสะใภ้ขึ้นชื่อว่านิสัยอบอุ่นอ่อนโยน ข้าจึงรู้สึกว่านางไม่น่าจะตำหนิอะไรเขา แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้ถาม มักจะรู้สึกว่าในอนาคตย่อมมีโอกาสได้ถาม ผลคือจนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่เข้าใจ”
“ตอนนั้นข้ากินเงินหลวง ตระกูลหลินของพวกเราเทียบกับแซ่ใหญ่ของถนนฝูลู่และตรอกเถาเย่ไม่ได้ แต่ก็ถือว่าพอมีอันจะกิน มีเงินมากกว่าเขาเยอะ แต่ขอแค่ดื่มเหล้ากัน ข้าเลี้ยงเขาหนึ่งมื้อ เขาก็จะต้องควักเงินเลี้ยงกลับหนึ่งมื้อ อีกทั้งยังไม่ได้จงใจซื้อเหล้าดีอะไรมากมาย แค่เป็นการแสดงน้ำใจอย่างหนึ่งเท่านั้น”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!