ขอบเขตของเหลียงส่วงมากพอจึงมองเห็นการขึ้นลงในสภาพจิตใจของหลวี่ปี้หลงชัดเจนเหมือนมองกองไฟในถ้ำ จึงใช้เสียงในใจถามว่า “เจ้าเดามั่วเอาหรือ?”
ชุยตงซานยิ้มตอบ “ข้าจะไม่กล้ายึดความดีความชอบมาเป็นของตัวเองหรอก เป็นการคาดเดาของอาจารย์ ข้าหรือจะคิดได้ว่าสตรีที่สวมรอยเป็น ‘หลวี่ปี้หลง’ จะหลอกง่ายขนาดนี้ ไม่ทันไรก็สารภาพเองจนหมดเปลือกแล้ว”
ลังเลเล็กน้อย ชุยตงซานก็ยังบอกความจริงที่ใหญ่ยิ่งกว่าให้เจินเหรินผู้เฒ่าท่านนี้ได้รู้ “ก่อนหน้านี้อาจารย์เคยประลองฝีมือกับหันอวี้ซู่ที่ซากปรักภูเขาไท่ผิงโดยที่ต่างคนต่างไม่ออมมือ หันอวี้ซู่ใช้ท่าไม้ตายจนหมดสิ้น ยันต์และค่ายกลล้วนยอดเยี่ยม อาจารย์จึงเอาไปเชื่อมโยงกับค่ายกลของเมืองลั่วจิงและพรรคชิงจ้วน จึงเกิดเป็นการคาดเดาขึ้นมา ด้วยนิสัยที่เชี่ยวชาญการทำตัวเป็นเต่าหดหัวของสำนักว่านเหยาแล้ว ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะสร้างสำนักเบื้องล่างก็ต้องมีบริวารหน้ารถม้าอย่างหลวี่ปี้หลงที่ออกจากภูเขามาวางแผนการแต่เนิ่นๆ สรุปก็คือ สำหรับอาจารย์แล้ว นี่เป็นเส้นสายที่ตื้นเขินชัดเจนอย่างมาก”
เหลียงส่วงลูบหนวดยิ้ม “สหายน้อยเฉินความคิดละเอียดรอบคอบ สายตาเฉียบแหลมเช่นนี้ ไม่ติดตามผินเต้ามาเป็น ‘นักพรตเทียนเจิน’ ก็ช่างน่าเสียดายจริงๆ”
ส่วนเรื่องการประลองฝีมือระหว่างเฉินผิงอันกับหันอวี้ซู่ เหลียงส่วงฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไป นับประสาอะไรกับที่ประโยคสุดท้ายที่ชุยตงซานบอกว่า ‘ยุ่งมาก ไม่มีเวลา’ เดิมทีก็ตั้งใจพูดให้เขาฟังอยู่แล้ว
ชุยตงซานเหลือบตามองนักพรตหญิงที่โชควาสนาลึกล้ำ มีบุญบารมีอย่างมากผู้นั้น จะมีโอกาสขุดมุมกำแพงคนอื่นพาไปอยู่ที่ภูเขาเซียนตูหรือไม่นะ ถึงอย่างไรหม่าเซวียนเวยผู้นี้ก็ต้องอยู่ที่ใบถงทวีป มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะถูกเหลียงส่วงทิ้งไว้ที่อารามบางแห่งของแคว้นเหลียง ถ้าอย่างนั้นให้ไปเป็นเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อของสำนักก็ไม่ถือว่าเกินกว่าเหตุ
ในความเป็นจริงแล้วบอกว่านักพรตหญิงหม่าเซวียนเวยคือลูกศิษย์ผู้สืบทอด ไม่ถือว่าเคร่งครัดตามคำเรียกขานนัก เพราะอันที่จริงนางเป็นแค่ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของ ‘เหลียงหาว’ เจินเหรินแห่งแคว้นเหลียงเท่านั้น ไม่ได้เป็นคนที่จะสามารถสืบทอดวิชาความรู้ของเหลียงส่วงได้อย่างแท้จริง
เป็นเหตุให้กับลูกศิษย์หม่าเซวียนเวยผู้นี้ เมื่อวาสนานำพาก็ได้เป็นอาจารย์และศิษย์ เมื่อวาสนาจางหายก็แยกย้ายไปอยู่สายอื่น
สายเต๋าของเหลียงส่วงนี้มีเพียงคนที่อยู่บนยอดเขาของไพศาลเท่านั้นที่ถึงจะรู้เรื่องวงในบางอย่าง ขึ้นชื่อว่าควันธูปกระจัดกระจาย แต่แท้จริงแล้วเป็นเพราะธรณีประตูในการรับลูกศิษย์สูงเกินไป อีกทั้งยังมีกฎบรรพบุรุษที่ไม่อาจละเมิดอยู่ข้อหนึ่งด้วย
‘ซ่างกู่เทียนเจิน สืบทอดกันมาปากต่อปาก ถ่ายทอดหนึ่งได้รับหนึ่ง’
นี่ก็หมายความว่าระบบเต๋าสายของเหลียงส่วง แต่ไหนแต่ไรมาก็สืบทอดแค่สายเดียว คนเป็นอาจารย์จะไม่มีลูกศิษย์สองคน
นอกจากนี้แล้วยังมีความลี้ลับอำพรางอีกอย่าง ในความเป็นจริงแล้วเหลียงส่วงคอยตามหาคนที่เป็นอาจารย์กลับชาติมาจุติอยู่นานหลายปีแล้ว
พูดง่ายๆ ก็คือ นับตั้งแต่บรรพจารย์บุกเบิกภูเขารุ่นแรกก่อตั้งระบบสายเต๋าขึ้นมา ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานหลังจากนั้น ระบบสืบทอดที่ยาวนานเกือบหมื่นปี ตั้งแต่ต้นจนจบก็มีอาจารย์และศิษย์อยู่แค่สองคน เพียงแค่ผลัดเปลี่ยนสถานะระหว่างอาจารย์และศิษย์กันเท่านั้น
อยู่ดีๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ หันอวี้ซู่แห่งสำนักว่านเหยาที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานผู้นั้นคงไม่ได้ถูกสหายน้อยเฉินจัดการไปแล้วหรอกกระมัง?
ถึงอย่างไรเจินเหรินผู้เฒ่าก็อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ จึงเอาสองมือที่สอดกันไว้ในชายแขนเสื้อทำการอนุมานมหามรรคา คำนวณชะตาฟ้าอย่างรวดเร็ว
คาดไม่ถึงว่าจะต้องรีบเอามือออกมาจากชายแขนเสื้อ สะบัดข้อมือแรงๆ
โอ้ย ร้อน
แม้ว่าจะไม่ได้คำตอบที่แน่ชัด หันอวี้ซู่เป็นตายยังมิอาจรู้ได้ แต่เจินเหรินผู้เฒ่ากลับมองว่านี่เท่ากับเป็นความจริงที่จริงแท้แน่นอนอย่างหนึ่งแล้ว
อายุขัยที่อยู่บนภูเขามาหลายพันปี เขาไม่ได้ใช้หมดไปกับร่างหมาเสียหน่อย
เหลียงส่วงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “วันหน้าข้าจะบอกกับเสี่ยวจ้าวสักคำ ให้เขาช่วยปล่อยข่าวแทนข้า บอกไปว่าหันอวี้ซู่เคยกระโดดโลดเต้น โชคดีได้ถกมรรคากับเทียนซือผู้เฒ่าเหลียงส่วงไปรอบหนึ่ง”
เมื่อเป็นเช่นนี้ หากมีคนนอกคิดจะตั้งใจอนุมานก็ต้องผ่านด่านของเขาเหลียงส่วงไปให้ได้ก่อน
ชุยตงซานแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นภาพนี้ ขอแค่ข้าไม่เห็นอะไร อาจารย์ก็ไม่ต้องติดค้างน้ำใจอีกฝ่ายในเรื่องนี้
ชุยตงซานแค่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นจิ้มไปกลางอากาศ จุ๊ๆๆ เรื่องประหลาดเสียจริง
ผู้ฝึกตนหญิงทำเนียบของสำนักว่านเหยาที่ใช้นามแฝงว่าหลวี่ปี้หลงมึนงงไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษาเทียนมู่ผู้นี้ทำอะไรอยู่กันแน่ นางเดาเอาว่าเด็กหนุ่มที่มีไฝแดงกลางหว่างคิ้ว พูดจาวางโตโอ้อวดผู้นี้ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นรองเจ้าขุนเขาหนุ่มที่เพิ่งข้ามทวีปมารับตำแหน่งอย่างเวินอวี้
เหลียงส่วงกวาดตามองมาทีหนึ่ง แต่กลับรู้ว่าชุยตงซานกำลังทำอะไร คือสูตรอย่างหนึ่งของหมากล้อม มีชื่อเสียงเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่สารพัดหลากหลาย จึงถูกขนานนามว่า ‘เส้นลาดใหญ่เปลี่ยนแปลงนับพัน หมื่นถ้อยคำยากจะบรรยายได้หมด’
ฉีไต้จ้าวผู้เล่นระดับแคว้นของล่างภูเขา ยอดฝีมือด้านการเล่นหมากล้อมบนภูเขา เคยชื่นชมในสูตรนี้อย่างมาก แต่ภายหลังกลับถูกเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวและซิ่วหู่ชุยฉานร่วมกันปฏิเสธ หนึ่งในตำราเมฆหลากสี หมากกระดานเดียวที่เจิ้งจวีจงเสียเปรียบที่สุดก็คือใช้การวางหมากเป็นเส้นลาดขนาดใหญ่เปิดกระดาน ช่วงปิดกระดานชุยฉานวางหมากด้อยกว่าเล็กน้อย สุดท้ายแพ้ไปหนึ่งส่วนสี่ เป็นเหตุให้จนถึงทุกวันนี้ผู้ที่มีชื่อเสียงในวงการหมากล้อมแทบจะไม่ใช้สูตรการวางหมากเส้นลาดใหญ่ในการเปิดกระดานหมากอีก
เหลียงส่วงไม่คิดว่าชุยตงซานกำลังโอ้อวดอะไร เพราะถึงอย่างไรนักเล่นหมากล้อมในใต้หล้าที่สามารถเล่นหมากล้อมกับเจิ้งจวีแล้วออกมาเป็นสถานการณ์เช่นนี้ได้ บางทีอาจมากพอให้ลำพองใจไปชั่วชีวิต แต่สำหรับซิ่วหู่ที่ได้เปรียบทั้งกระดาน ทว่าสุดท้ายทุกสิ่งที่ทำมาต้องสูญเปล่า กลับถือเป็นความอัปยศที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่ง ทว่าการกระทำของชุยตงซานในเวลานี้ เจินเหรินผู้เฒ่าไม่รู้สึกสนใจอยากจะสืบเสาะจริงๆ คนบางคนทำเรื่องบางอย่าง ไม่ว่าคนนอกจะคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ยกตัวอย่างเช่นที่ซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตูใหญ่ให้ป๋ายเหย่ยืมกระบี่ในปีนั้น เท่ากับว่าผู้นำแห่งสายเซียนกระบี่ลัทธิเต๋าท่านนี้ได้ละทิ้งโอกาสที่จะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ไปแล้ว
อยู่ดีๆ ชุยตงซานก็ถามขึ้นว่า “เจ้ายินดีออกจากสำนักว่านเหยา นับแต่นี้เป็นหลวี่ปี้หลงที่ ‘ไร้ความเกี่ยวข้องใดๆ’ กับพื้นที่มงคลสามภูเขาหรือไม่?”
สตรียิ้มอย่างฝืดเฝือน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!