แน่นอนว่าเหลียงส่วงต้องรู้ดีว่าซิ่วหู่ตัวจริงมีทักษะด้านหมากล้อมเป็นเช่นไร
การที่หยอกล้อหลงกงในวันนี้ หรือก่อนหน้านั้นตอนที่พูดคุยกับพวกจางหลิวจู้และไต้หยวนที่หอเติงหมี ก็เป็นแค่กับแกล้มเรียกน้ำย่อยสองจานเท่านั้น ชุยตงซานก็แค่ใช้กระบวนท่าประหลาดที่ค่อนข้างนอกรีตนอกรอย เน้นในเรื่องการสับขาหลอก ไม่ถือว่าเป็นฝีมือเทพเซียนที่แท้จริงอะไรด้วยซ้ำ
ในที่สุดเหลียงส่วงก็ถามคำถามที่ตัวเองสงสัยที่สุด “เหตุใดถึงยอมมาเป็นลูกศิษย์ของคนอื่น ทั้งยังเป็นอย่างจริงใจขนาดนี้”
ในความเป็นจริงแล้ว ‘เหลียงส่วง’ เจินเหรินผู้เฒ่าที่อยู่ในอารามจีชุ่ยผู้นี้ยังคงมีความต่างกับเหลียงส่วงเทียนซือที่อยู่ในเมืองหลวงแคว้นเหลียงอยู่บ้าง ไม่เหมือนกับการปล่อยจิตหยินออกเดินทางไกลของผู้ฝึกตนทั่วไป พูดง่ายๆ ก็คือฝ่ายหลังนั้นใหญ่กว่าและสูงกว่าฝ่ายแรก ในข้อนี้เหมือนกับราชครูชุยฉานกับชุยตงซาน
ชุยตงซานเอ่ยอย่างเฉยเมย “บางคำพูดต้องเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันจึงจะรู้ ไยเทียนซือต้องถามให้มากความ”
หลงกงและหม่าเซวียนเวยต่างก็เป็นนักพรตหญิงของลัทธิเต๋า จึงไม่เข้าใจถึงความลี้ลับในคำพูดประโยคนี้ของชุยตงซาน เนื่องจากมันเกี่ยวพันไปถึงกวีบทหนึ่งของลัทธิพุทธ
นกกระเรียนเดียวดายกลางเมฆา ผืนฟ้าแห่งใดมิอาจโบยบิน
เหลียงส่วงส่ายหน้ากล่าว “ไม่ถูกสิ มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่เจ้าพูดพอดี”
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “ตรงกันข้ามจริงหรือ? ไม่สู้เทียนซือลองคิดดูอีกที?”
การที่เปลี่ยนคำเรียกขานใหม่ แน่นอนว่าเพราะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเหลียงส่วงที่เป็นจิตหยินตรงหน้านี้ก็แค่ช่วยถามแทนร่างจริงเท่านั้น
เหลียงส่วงพยักหน้า “ก็จริงนะ”
ความหมายนอกเหนือจากคำพูดของชุยตงซานไม่ได้ลึกล้ำนัก ยิ่งไม่ใช่การเสแสร้งแกล้งทำให้ลี้ลับอะไร ก็หนีไม่พ้นเป็นการพูดถึงหลักการที่ตื้นเขินข้อหนึ่ง
ตนเลือกอิสระอย่างหนึ่งที่มีจำกัด ไยจะไม่ใช่อิสระใหญ่อีกอย่างหนึ่ง?
เหลียงส่วงถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นผินเต้าจะเข้าใจว่า แท้จริงแล้วเจ้าสามารถเลือกอิสระเสรีที่บริสุทธิ์เต็มที่ได้ทุกเมื่อ ได้หรือไม่?”
ชุยตงซานกลับย้อนถาม “หากวันหนึ่งเจ้าจำเป็นต้องเล่นหมากล้อมพร้อมกับชุยฉาน เจิ้งจวีจง ฉีจิ้งชุน อู๋ซวงเจี้ยงในเวลาเดียวกัน เจ้าจะเลือกอย่างไร?”
เหลียงส่วงยิ้มเอ่ย “ไม่นั่งลง ไม่คีบเม็ดหมาก ไม่ประลอง”
ชุยตงซานแบมือสองข้าง “นี่ก็คือคำตอบแล้วไม่ใช่หรือ”
เหลียงซ่วงหรี่ตาถาม “ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งน่าสนใจแล้ว ในเมื่อเจ้ายอมอยู่ในการควบคุม แล้วคนที่ทำให้เจ้ายินดีอยู่ในการควบคุมล่ะ ใครควรจะเป็นคนมาควบคุม?”
ชุยตงซานกระตุกมุมปาก
ตาเฒ่าผู้นี้ยังเอาแต่คิดพะวงถึงเรื่องนี้ไม่ยอมวางจริงๆ เสียด้วย สภาพจิตใจพอๆ กับโจวจื่อเลยทีเดียว
เหลียงส่วงไม่ได้ยอมแพ้ละทิ้งคำตอบเพียงเพราะเหตุนี้ ยังคงรอฟังประโยคถัดไปอยู่เงียบๆ
ชุยตงซานเงียบไม่ตอบ
นี่น่ารำคาญมากแล้วนะ ตนเป็นเซียนเหรินที่แขนขาเล็กบาง เผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง ทำตัวแข็งกระด้างไม่ได้จริงๆ
ชุยตงซานพลันคิดถึงเจ้าตะพาบเฒ่าผู้นั้นเป็นครั้งแรก
ก่อนที่เขาจะถอนหายใจ เอ่ยเนิบช้าว่า “อาจารย์ของข้าบอกว่า ทำเรื่องที่น่าสนใจ แน่นอนว่าน่าสนใจมาก แต่กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องมีความหมาย แต่หากทำเรื่องที่มีความหมาย จะต้องน่าสนใจแน่นอน”
เหลียงส่วงนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง “หลักการเหตุผลข้อนี้ไม่ธรรมดาเลย”
ชุยตงซานทอดถอนใจ เอ่ยว่า “บางคำพูดต้องเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันจึงจะรู้ ไยเทียนซือต้องถามให้มากความ”
เหลียงส่วนถอนหายใจเฮือก ในที่สุดดวงจิตเมล็ดงาของร่างจริงของตนก็ถอยออกไปจากทะเลสาบหัวใจของจิตหยินอย่างสมบูรณ์ “เจ้ารำคาญ ข้าก็รำคาญ ไม่เสียแรงที่อยู่บนเส้นทางเดียวกัน”
หม่าเซวียนเวยเหลือบตามองราชครูหญิงราชวงศ์สกุลอวี๋ ยังดีๆ นางก็ฟังไม่เข้าใจเหมือนักน
ชุยตงซานยื่นฝ่ามือมาป้องข้างปาก “เหลียงเทียนซือ เหลียงเทียนซือ ดูจากท่าทางแล้วจิตหยินของท่านน่าจะก่อกบฏ ต้องควบคุมเขาสักหน่อยนะ!”
เหลียงส่วงคร้านจะพูดจาเหลวไหลกับเจ้าหมอนี่ ลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “สหายหม่านเยว่ ให้เวลาเจ้าเก็บข้าวของครึ่งชั่วยาม ผินเต้าจะไปรอเจ้าที่ท่าเรือเจียวอิน”
ชุยตงซานพลันตะโกนเรียกเจินเหรินผู้เฒ่าเอาไว้ “เหลียงส่วง ข้าอยากจะขอของสิ่งหนึ่งจากเจ้าแทนอาจารย์”
เหลียงส่วงถามอย่างสงสัย “ของอะไร?”
เห็นชุยตงซานยิ้มเจ้าเล่ห์ เหลียงส่วงก็รีบล้อมคอกเมื่อวัวหาย “บอกไว้ก่อนนะว่า ผินเต้าขึ้นชื่อว่าชายแขนเสื้อสองข้างมีแต่ลมเย็น หากต้องการสมบัติพิทักษ์ภูเขาจำพวกอาวุธเซียน ของนอกกายประเภทนี้ ข้าไม่มีเด็ดขาด อย่างมากสุดก็ได้แต่ช่วยอาจารย์เจ้าไปขอยืมมาจากเสี่ยวจ้าว สามร้อยห้าร้อยปีไม่คืนให้ก็ไม่ได้เป็นปัญหามากนัก”
ในฐานะเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ จะให้ผินเต้าทำแต่งานโดยไม่ได้รับเงินเดือนจากจวนเทียนซือของพวกเจ้าก็ไม่ได้กระมัง
ชุยตงซานถูมือ “เทพเซียนผู้เฒ่าเหลียงเชี่ยวชาญเรื่องการมองลมปราณที่สุด จะต้องเข้าใจโชคชะตาขุนเขาสายน้ำในหนึ่งทวีปได้ดีเหมือนลายมือตัวเองแน่นอน”
หลังจากที่เจินเหรินผู้เฒ่าพาหม่าเซวีนเวยออกจากอารามจีชุ่ย ชุยตงซานมองไปที่ ‘หลวี่ปี้หลง’ สองที พลันทิ้งตัวนอนหงายลงพื้น สองมือสอดรองใต้ท้ายทอยต่างหมอน เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “เร็วเข้า รีบเปลี่ยนชุดคลุมอาคมกับรองเท้าซะ ขณะเดียวกันก็เล่าเรื่องวงในของเชื้อพระวงศ์สกุลอวี๋ ราชสำนักและวงการขุนนางขุนเขาสายน้ำให้มากหน่อย รู้อะไรก็พูดมาอย่างนั้น อย่ากลัวว่าจะเป็นเรื่องจุกจิกยิบย่อย เวทลับวิชาคาถาบางอย่างของสำนักว่านเหยา หากสอนให้ตัวเองได้ก็รีบถ่ายทอดวิชาความรู้ออกมาให้หมดหน้าตัก ขี้เหนียวกับใครก็อย่าได้ขี้เหนียวกับตัวเอง”
หลงกงถอดรองเท้าออกเงียบๆ สวมชุดคลุมเต๋าธรรมดาลงบนร่างก่อน จากนั้นค่อยดึงชายชุดคลุมอาคม กระตุกเบาๆ ก็ดึงชุดคลุมอาคม ‘เฟิ่งจ่าว’ ที่ทางสำนักมอบให้ออกมาส่งมอบให้กับ ‘หลวี่ปี้หลง’ ที่ในมือถือแส้ปัดฝุ่น
หลวี่ปี้หลงผู้นั้นเปลี่ยนมาสวมชุดคลุมอาคม สวมรองเท้า สะบัดแส้ปัดฝุ่นเปลี่ยนแขนข้างที่ถือ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอบคุณสหายหลงกง”
ในใจหลงกงรู้สึกแปลกประหลาดสุดขีด
พลันได้ยินคนผู้นั้นเริ่มท่องสองคำว่า ‘ชุยฉาน’ อีกครั้ง หลงกงก็เหมือนถูกหมัดหนักๆ ต่อยลงมา ร่วงลงไปนอนกองกับพื้น ใบหน้าเผือดสี เหงื่อเปียกซึมชุดคลุม
ต่อมาชุยตงซานก็ลุกขึ้นยืน ไปนั่งอยู่บนขั้นบันไดนอกประตู หลงกงที่อยู่ในห้องเล่าเรื่องลับทั้งหลายให้หลวี่ปี้หลงฟังอย่างกล้าๆ กลัวๆ ชุยตงซานฟังอย่างใจลอย
จู่ๆ ก็ใช้หมัดทุบฝ่ามือ รู้แล้ว เพิ่งจะคิดถึงถ้อยคำจริงใจประโยคหนึ่งที่มาจากใจจริง วันหน้าจะกลับไปเล่าให้อาจารย์ฟังสักหน่อย
ลมฟ้ายิ่งใหญ่ไพศาล ใจข้ายิ่งใหญ่โอฬาร เชื่อมพันภูเขาชักนำหมื่นสายน้ำ ฟ้าคำรณก้องคำรามในสถานที่ไร้เสียง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!