เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนฟังตำราสวรรค์ เอ่ยอย่างกึ่งเชื่อกึ่งกังขาว่า “ไตรคูหาสี่บทเสริมสิบสองประเภท ทั้งหมดหนึ่งพันสองร้อยกว่าฉบับ แม้จะบอกว่ามีหลายฉบับพิมพ์ แต่อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะมีหลายสิบล้านตัวอักษรกระมัง?”
หยางมู่เม่าพยักหน้า “ใช่สิ เขายังตั้งใจเลือกเฉพาะคัมภีร์เต๋าที่ฉบับพิมพ์มีตัวอักษรมากที่สุดด้วยนะ แม้จะบอกว่านับแต่เด็กมาหนังสือที่อ่านผ่านตาล้วนไม่เคยลืม สามารถอ่านทีละสิบบรรทัด แต่ปีนั้นมารดาของสู่จ้งสู่ก็ยังสงสารเขาแทบตาย อีกทั้งท่องไปได้เกือบครึ่ง สู่จ้งสู่ก็รู้สึก ‘ปวดหัว’ อยู่บ้างจริงๆ เพราะถึงอย่างไรตอนนั้นเขาก็เพิ่งเริ่มฝึกตน ขอบเขตยังไม่สูง ยังเป็นแค่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างคนหนึ่ง ก็เลยถูกสู่หนันยวนวางมาดของบิดาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ไม่อนุญาตให้เขาท่องตำราอีก ไม่อย่างนั้นจะต้องไปนั่งคุกเข่าในศาลบรรพจารย์ตามกฎบ้านแล้ว สู่จ้งสู่จึงหันไปตั้งใจฝึกตนได้ครึ่งปี เพียงไม่นานก็เลื่อนเป็นห้าขอบเขตกลาง ถึงได้เริ่มกลับมาท่องตำราอีกครั้ง สุดท้ายเขาก็จำได้หมดจริงๆ ตอนนี้สามารถท่องกลับหลังได้แล้ว ไม่ขาดไปแม้แต่ตัวอักษรเดียว”
ชุยตงซานจุ๊ปากประหลาดใจ “มีอนาคต”
เจิ้งต้าเฟิงนวดคลึงปลายคาง ทอดถอนใจเอ่ยว่า “คนรุ่นเยาว์สมัยนี้ แต่ละคนร่าเริงมีชีวิตชีวาไม่แพ้กันเลยจริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างรู้ทัน เข้าใจแล้ว สู่จ้งสู่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ ค่อนข้างคล้ายคลึงกับหลิวเม่าแห่งอารามหวงฮวา
หยางมู่เม่าเผยสีหน้าที่ค่อนข้างแสดงความอิจฉา “เล่าลือกันว่าฝูลู่อวี๋เซียนท่านนั้น มีครั้งหนึ่งเคยเดินทางผ่านหลิวเสียทวีป แล้วไปหยุดพักเท้าอยู่ที่ถ้ำสวรรค์เทียนอวี๋ ได้เจอกับสู่จ้งสู่ตอนเด็กที่เริ่มท่องตำราพอดี เกิดใจรักถนอมคนมีความสามารถ เพียงแต่ว่ามารดาของสู่จ้งสู่ตัดใจปล่อยให้บุตรชายไปเป็นนักพรตอะไรไม่ลง อีกอย่างในสายตาของสตรีผู้นั้น จุดประสงค์ที่อวี๋เสวียนเผยออกมาในเวลานั้นก็คือแค่จะรับสู่จ้งสู่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดเท่านั้น ไม่ใช่ลูกศิษย์ปิดสำนักอะไร เพราะถึงอย่างไรสู่จ้งสู่ก็เป็นบุตรโทนของนาง ในอนาคตจะต้องได้สืบทอดถ้ำสวรรค์เทียนอวี๋แน่นอน ดังนั้นเรื่องของการกราบอาจารย์รับเป็นศิษย์จึงไม่สำเร็จ”
สามารถกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอวี๋เสวียนได้ ต่อให้ไม่ใช่ลูกศิษย์ปิดสำนัก แต่โชควาสนาระดับนี้ก็ทำให้คนอยากอิจฉาก็ยังอิจฉาไม่ได้จริงๆ
หยางมู่เม่าหัวเราะหึหึ “แล้วนับประสาอะไรกับที่การที่สู่จ้งสู่ไม่มาเยือนนครบินทะยานก็เพราะเจ้าหมอนี่มีนิสัยประหลาดและข้อพิถีพิถันเยอะแยะมากมาย เขาบอกว่าในนครบินทะยานมีคฤหาสน์หลบร้อนที่มีใต้เท้าอิ่นกวานซึ่งชื่อไม่ค่อยถูกชะตากับเขาสักเท่าไร จึงไม่สะดวกจะมาหาประสบการณ์ที่นี่”
เฉินผิงอันโบกมือ “ร้านผ้าห่อบุญของพวกเจ้า ข้าไม่เข้าร่วมด้วยแล้ว บนร่างไม่มีเงิน”
ชุยตงซานจึงพาหยางมู่เม่าวิ่งตุปัดตุเป๋เข้าไปในร้าน คนทั้งสองไปหลบนั่งยองอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน เริ่มใช้สิ่งของแลกเปลี่ยนสิ่งของ เมื่อมีสมบัติอาคมมากเข้าย่อมเลี่ยงจะเป็นซี่โครงไก่ไม่ได้
เวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป คนทั้งสองก็เดินกอดคอกันออกมาจากร้าน ตอนที่กลับมาที่โต๊ะเหล้า คนหนึ่งรินเหล้าให้อีกฝ่ายหนึ่งชาม อีกคนพูดว่าข้าทำเอง ข้าทำเอง ใกล้ชิดสนิทสนมจนราวกับเป็นพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน
หยางมู่เม่าดื่มเหล้าไปประมาณหนึ่งไห เริ่มจะเมากรึ่มๆ ก็ลุกขึ้นขอตัวลา จะออกเดินทางขึ้นเหนือต่อทั้งอย่างนี้ ในเมื่อไม่ต้องไปตามหาเหยาชิงเสนาบดีรูปงามนั่นแล้วก็ไปลงหลักปักฐานทางเหนืออย่างสบายใจได้แล้ว
เฉินผิงอันพาทุกคนเดินออกมาจากตรอก ส่งหยางมู่เม่าออกไปนอกเมืองทางทิศเหนือ ชุยตงซานกับเสี่ยวโม่เดินตามติดมาด้านหลัง เนื่องจากเดินเท้า ตลอดทางจึงเจอแต่คนสนิทคุ้นเคยของเถ้าแก่รอง เสียงทักทายดังไม่หยุด ระหว่างนั้นเฉินผิงอันยังหยุดเดินแวะไปพูดคุยกับบางคนสองสามประโยคด้วย
หยางมู่เม่าคารวะตามขนบของลัทธิเต๋า “ส่งท่านพันลี้ ถึงท้ายที่สุดก็ต้องจากลากันอยู่ดี พี่ชายคนดีส่งข้าเพียงเท่านี้เถิด”
เฉินผิงอันหยุดเดิน กุมหมัดส่งให้ ยิ้มกล่าว “รักษาตัวด้วย”
ตั้งแต่ต้นจนจบ หยางมู่เม่าไม่เคยถามถึงสถานะของเสี่ยวโม่ เพียงแค่ว่าก่อนจากกันได้หันไปคารวะเสี่ยวโม่แล้วเอ่ยอย่างจริงจังมากเป็นพิเศษว่า “พระคุณยิ่งใหญ่มิต้องเอ่ยขอบคุณ ผู้เยาว์จะจดจำไว้ให้ขึ้นใจอย่างแน่นอน ขุนเขาสูงสายน้ำทอดยาว จะต้องมีโอกาสได้ตอบแทนอาจารย์เสี่ยวโม่แน่”
เฉินผิงอันช่วยอธิบายแทนให้ว่า “ความหมายนอกเหนือจากประโยคนี้ของพี่มู่เม่าก็คือว่า ขาใหญ่บางขา กอดแค่ครั้งเดียวจะพอได้อย่างไร ใช่ไหม?”
หยางมู่เม่าก็เป็นคนหน้าไม่อายคนหนึ่ง ไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ ทั้งยังหัวเราะเสียงดังกังวาน “ผู้ที่รู้ใจข้าที่สุดก็คือพี่คนดีนี่เอง”
เสี่ยวโม่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อสหายหยางเป็นเพื่อนของคุณชายข้า ถ้าอย่างนั้นก็คือเพื่อนของเสี่ยวโม่แล้ว ในอนาคตหากโชคดีได้พบกันอีกครั้ง ไม่ว่าตัวจะอยู่ที่ไหน สหายหยางมีเรื่องอะไรต้องการให้ช่วยเหลือก็บอกมาตามตรงได้เลย ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกัน”
เส้นเอ็นหัวใจของบัณฑิตชุดดำผู้นี้ค่อนข้างน่าสนใจ จากลากับคุณชายบ้านตนไปนานแล้วได้กลับมาพบกันใหม่ถึงกับมีความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมที่จริงใจอย่างแท้จริงอยู่หลายส่วน เพียงแต่ว่าคนผู้นี้จงใจไม่พูดออกจากปาก
และก็ดูเหมือนว่าคุณชายเองก็ค่อนข้างจะโปรดปรานคนผู้นี้โดยที่ไม่เคยบอกอย่างชัดเจนอยู่เหมือนกัน
นี่ก็คงเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันกระมัง? หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล ตลอดทั้งใต้หล้า สหายในโลกที่สามารถทำให้เสี่ยวโม่มีความรู้สึกเช่นนี้ได้ มีน้อยจนนับนิ้วได้ เจ้าแห่งถ้ำปี้เซียวชายหาดลั่วเป่าถือว่าเป็นคนหนึ่ง
ทุกถ้อยคำวาจากลับกลายเป็นภาระ แค่มองหน้าแล้วยิ้มให้กันก็รู้ใจกันได้แล้ว
หยางมู่เม่าเหม่อมองผู้ฝึกกระบี่ ‘หนุ่ม’ ที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวผู้นั้นแล้วอดไม่ไหวถามว่า “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมีขอบเขตใด?”
เสี่ยวโม่ตอบอย่างจริงใจ “ไม่ใช่ขอบเขตสิบสี่”
นอกจากขอบเขตสิบสี่แล้ว ขอบเขตของตนเป็นเช่นไรก็ต้องดูที่ขอบเขตของคนที่ถูกถามกระบี่แล้ว
ชุยตงซานอารมณ์ดีขึ้นมาโดยพลัน
ในใจของหยางมู่เม่าพอจะเข้าใจคร่าวๆ แล้ว อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่ง มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานที่อำพรางตนอย่างลึกล้ำ หรือว่าจะเป็นผู้ปกป้องมรรคาที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสทิ้งไว้ให้กับอิ่นกวานคนสุดท้าย? คือสิ่งกวานที่ไม่เคยเผยหน้ามานานหลายปีของกำแพงเมืองปราณกระบี่? หรือว่าเป็นจี้กวานที่ลึกลับยิ่งกว่า? ช่างเถิด คิดเรื่องพวกนี้ไปทำไมกัน หยางมู่เม่าเก็บความคิดกลับคืน เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “มาครั้งนี้ไม่ได้มาเสียเที่ยว อันดับแรกได้พบเจอกับคนรู้จักในต่างบ้านต่างเมือง ทั้งยังได้รู้จักเพื่อนใหม่อีกสองคน ช่างทำให้คนอารมณ์ผ่อนคลายจิตใจปลอดโปร่งยิ่งนัก”
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจเอ่ย “รสชาติของ ‘ตัวข้าไม่ใช่ตัวข้า’ นั้น ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกดีเลย ดังนั้นวันนี้ที่ข้าลงมือช่วยเหลือ อันที่จริงเจ้าไม่ต้องคิดมาก”
หยางมู่เม่าถามอย่างระมัดระวัง “สรุปแล้วพี่คนดีจะเตือนข้าว่า ‘ไม่ต้องคิดมาก’ หรือว่า ‘ไม่คิดไม่ได้’ กันแน่?”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าหนึ่งคำพูดของข้ามีสองความหมายก็แล้วกัน?”
หยางมู่เม่าลังเลเล็กน้อย ก่อนถามว่า “ชุดคลุมอาคมเทาเที่ยร้อยตาตัวนั้นของข้า ไม่ทราบว่าทุกวันนี้ใครเป็นคนสวมใส่?”
ระดับขั้นของชุดคลุมอาคมตัวนั้นไม่สูง แต่ว่าซุกซ่อนความลี้ลับเอาไว้ หากหลอมอย่างเหมาะสมจะสามารถยกระดับขั้นได้ เคยเป็นสมบัติหนักชิ้นหนึ่งที่อยู่ในคลังเก็บสมบัติของหน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวน ไม่อย่างนั้นปีนั้นหยางหนิงซิ่งก็ไม่มีทางสวมชุดคลุมอาคมตัวนี้ออกไปหาประสบการณ์ที่ชายหาดโครงกระดูก
เฉินผิงอันยื่นมือออกมาจากชายแขนเสื้อ ตบลงบนบ่าของพี่มู่เม่า “ไม่ได้ดื่มจนเมามายเสียหน่อย พูดภาษาคนเมาให้น้อยๆ หน่อยเถอะ ระวังว่าจะสะดุดล้มตอนทะยานลมเข้าล่ะ”
หยางมู่เม่าแผดเสียงหัวเราะดังลั่น เรือนกายกลายร่างเป็นควันดำกลุ่มหนึ่ง พริบตาเดียวก็พลิ้วกายจากไปไกลทางทิศเหนือ
มองส่งหยางมู่เม่าที่จากไปหลายร้อยลี้ เฉินผิงอันก็หมุนตัวกลับไปที่นครบินทะยาน เอ่ยว่า “ตงซาน กระท่อมแห่งนั้น ทางที่ดีที่สุดควรจะคืนให้กับอารามเสวียนตู”
ครั้งนี้เฉินผิงอันเกิดความคิดกะทันหันจึงมาเยือนนครบินทะยาน แน่นอนว่าหลักๆ แล้วเป็นเพราะคิดถึงหนิงเหยา นอกจากนี้เดิมทีเฉินผิงอันยังคิดว่าจะไปหาชุยตงซานก่อนจะออกไปจากใต้หล้าห้าสีด้วย
เพราะถึงอย่างไรแรกเริ่มสุดสำนักเบื้องล่างของภูเขาลั่วพั่วที่ชุยตงซานอยากก่อตั้งก็คือที่ใต้หล้าห้าสีแห่งนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!