หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็จากไปเพียงลำพัง เจี่ยงชวี่อยู่ในห้องต่อ จางเจียเจินหิ้วกาน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมา ช่วยเติมชาร้อนๆ ให้อีกฝ่ายถ้วยหนึ่งแล้วก็เอ่ยเสียงเบาว่า “หากว่าเจ้าไม่รู้สึกอึดอัดใจ วันหน้าเรื่องของการฝึกตน ถ้ามีจุดที่ต้องใช้เงินก็สามารถบอกกับข้าสักคำ ถึงอย่างไรเงินเดือนก้อนนั้นของข้าเก็บไว้ก็ไม่ได้ทำอะไร อย่างมากสุดก็แค่นอนกินดอกเบี้ยเล็กน้อยอยู่บนสมุดบัญชีเท่านั้น เงินเทพเซียนน้อยนิดแค่นี้ต้องไม่อาจช่วยงานใหญ่อะไรเจ้าได้ แต่ก็เป็นน้ำใจจากข้า”
เจี่ยงชวี่มองจางเจียเจินที่มีสีหน้าจริงใจแล้วพยักหน้า ยิ้มเอ่ย “ข้าจะต้องเกรงใจเจ้าไปทำไม”
จากนั้นเจี่ยงชวี่ก็เอ่ยหยอกล้อว่า “คนที่ให้ยืมเงินยังลำบากใจกว่าคนที่ยืมเงินเสียอีก เรียนรู้มาจากใต้เท้าอิ่นกวานหรืออย่างไร?”
จางเจียเจินเพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร
เจี่ยงชวี่ลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็อดไม่ไหวเปิดปากถามว่า “จางเจียเจิน เจ้าไม่ได้วางแผนในระยะยาวบ้างเลยหรือ?”
ในภูเขาลั่วพั่ว ดูเหมือนว่าจะมีเพียงนักบัญชีคนนี้เท่านั้นที่ไม่ใช่ทั้งผู้ฝึกตน แล้วก็ไม่ใช่ทั้งผู้ฝึกยุทธ
ฟังความนัยในคำพูดของเจี่ยงชวี่ออก จางเจียเจินจึงพยักหน้ายิ้มเอ่ย “มีสิ ข้าเคยคุยกับอาจารย์จูมานานแล้ว ดูว่าในวันหน้าจะมีโอกาสกลายเป็นเทพภูเขาหรือไม่”
เจี่ยงชวี่ได้ยินเรื่องนี้ก็ตกตะลึงไม่น้อย ใคร่ครวญอย่างละเอียดก่อนเอ่ยเนิบช้าว่า “จางเจียเจิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากมนุษย์ธรรมดาอยากกลายมาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เฝ้าพิทักษ์พื้นที่แห่งหนึ่งไม่ได้ง่ายเลย ต่อให้ได้รับการแต่งตั้งจากทางราชสำนัก หากเดิมทีก็เป็นผีหรือวิญญาณวีรบุรุษอยู่แล้วยังพูดง่าย แต่หากเป็นคนตัวเป็นๆ อย่างเจ้า ลำพังความเจ็บปวดทรมานยามที่เลือดเนื้อสูญสิ้นเหลือเพียงโครงกระดูกตั้งอยู่ ความทุกข์ทนที่จิตวิญญาณต้องได้รับ อย่าว่าแต่ผู้ฝึกลมปราณเลย ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เดิมทีเรือนกายแข็งแกร่งก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะรับได้ไหว หากล้มเหลวขึ้นมาก็ต้องมีจุดจบที่จิตวิญญาณแหลกสลาย ว่ากันว่าแม้แต่กลับไปเกิดใหม่ชาติหน้าก็ยังไม่มีโอกาสแล้วนะ!”
จางเจียเจินรินน้ำชาร้อนให้ตัวเองหนึ่งถ้วย “เจ้าลืมยาทาที่ร้านยาตระกูลหยางของเมืองเล็กไปแล้วหรือ? แม้จะบอกว่าทุกวันนี้ทางราชสำนักต้าหลีมีการควบคุมอย่างเข้มงวด แต่ด้วยความสัมพันธ์ที่ใต้เท้าอิ่นกวานกับภูเขาลั่วพั่วมีต่อพวกเขา ขอมาให้ข้าสักตลับก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
ยาทาประเภทนั้น ความมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือนอกจากจะขจัดความเจ็บปวดได้แล้ว ยังสามารถทำให้คนมีสติแจ่มชัดได้ด้วย
จางเจียเจินเอ่ยต่ออีกว่า “อาจารย์จูพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า นี่ยังเป็นเพียงแค่ก้าวแรกของการกลายเป็นเทพภูเขาเท่านั้น อันที่จริงหลังจากนั้นยังมีประตูผีอีกสองบานที่ต้องเดินผ่าน แต่ต่อให้ข้าจะมิอาจผ่านด่านทั้งสามกลายเป็นเทพภูเขาได้ ก็ยังมีทางให้ถอยหลังกลับ อย่างมากสุดก็แค่ถอยมาเลือกอันดับรอง แค่อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วต่อด้วยสภาวะของภูตผีวิญญาณหยิน เพียงแต่ว่าหากคิดจะขอการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากราชสำนักต้าหลีกลับค่อนข้างยาก ได้แต่สร้างศาลเถื่อนแห่งหนึ่งขึ้นมาให้ข้า ดังนั้นต่อให้มีศาลและร่างทองก็ไม่ถือว่าเป็นร่างทองที่บริสุทธิ์ ในอนาคตคิดจะเสวยสุขกับควันธูปของโลกมนุษย์ก็มีขีดกำจัดอย่างใหญ่หลวง แต่ว่านี่เป็นแค่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเท่านั้น เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลให้มากนัก”
เจี่ยงชวี่เงียบเสียงไป
พูดง่ายๆ ก็คือมนุษย์ธรรมดาอยากมีร่างทอง เปลี่ยนจากคนตัวเป็นๆ ไปเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่ต่างอะไรจากการเดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว ธรณีประตูนั้นสูง ระดับความยากมีมากจนมิอาจจินตนาการได้
จางเจียเจินยิ้มกล่าว “เรื่องแบบนี้ใต้เท้าอิ่นกวานต้องรู้แต่แรกแล้วแน่นอน แต่กลับไม่เคยพูดคุยกับข้า เจี่ยงชวี่ เจ้าลองบอกมาสิว่านี่หมายความว่าอย่างไร”
เจี่ยงชวี่กระจ่างแจ้งในฉับพลัน ต้องเป็นเพราะใต้เท้าอิ่นกวานมีความมั่นใจมากแล้ว
เจี่ยงชวี่พลันรู้สึกโล่งอก จุ๊ปากเอ่ย “เจ้าจางเจียเจินตัวดี ฉลาดเฉียบแหลมนักนะ”
จางเจียเจินชี้ไปยังสมุดบัญชีที่อยู่บนโต๊ะหนังสือ “คนโง่จะเป็นนักบัญชีได้หรือ?”
เฉินผิงอันไปเจอเสี่ยวโม่ที่ห้องของหมี่ลี่น้อย บังเอิญที่ไฉอู๋และซุนชุนหวังต่างก็อยู่ด้วย ขอแค่มีเวลาว่างจากการฝึกตนไฉอู๋ก็มักจะมาจิบเหล้าอยู่ที่นี่เสมอ
ทุกวันนี้ในห้องของผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาภูเขาลั่วพั่วมีตู้หลังหนึ่งที่เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ช่วยต่อขึ้นให้ด้วยตัวเอง วางกาเหล้าไว้จนเต็ม ล้วนเป็นเหล้าที่เตรียมไว้ให้ไฉอู๋
เสี่ยวโม่กำลังสอนมรรคกถาและเวทกระบี่ให้กับแม่นางน้อยทั้งสอง
ถึงอย่างไรเด็กทั้งสองต่างก็มีคุณสมบัติดีเยี่ยม ง่ายที่จะยกตัวอย่างเพียงหนึ่งเดียวก็อนุมานไปเป็นเรื่องต่างๆ ได้อีกมากมาย
เฉินผิงอันนั่งแทะเมล็ดแตงบนม้านั่งตัวยาวกับหมี่ลี่น้อย
เสี่ยวโม่กังวลว่าวิถีการฝึกตนของตนจะมีความต่างด้านความหมายและตัวอักษรจากเวทลับของทุกวันนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองทำร้ายลูกศิษย์ของผู้อื่น เสี่ยวโม่จึงตั้งใจสอนบทเรียนวิชาภาษาที่หายสาบสูญไปนานแล้วบทหนึ่งให้กับแม่นางน้อยทั้งสองด้วย
เวลานี้เสี่ยวโม่กำลังถ่ายทอดวิชาคาถาบรรพกาลที่เกี่ยวกับการเพ่งสมาธิเฝ้าดูอย่างหนึ่ง ซึ่งก็มีความแตกต่างจากคาถาของทุกวันนี้จริงๆ ยกตัวอย่างเช่นเวลานี้เสี่ยวโม่กำลังชี้ไปที่ลำคอของตัวเอง เรียกคอเป็นหอเรือนสิบสองชั้นเหนือตำหนักชาดบนผืนนาหัวใจ นอกจากนี้อวัยวะภายในทั้งหลายก็มีกองฝ่ายงานเป็นของตัวเอง แต่ละฝ่ายมีวิธีการหล่อหลอมแตกต่างกัน ของเหลวในเก้าช่องโพรงเชื่อมโยงถึงกัน ร้อยชีพจรหมุนเวียนถ่ายเท ไม่มีส่วนใดที่ถูกละทิ้ง เสี่ยวโม่ให้แม่นางน้อยทั้งสองโคจรปราณวิญญาณหนึ่งกลุ่ม ไม่เหมือนกับการหายใจเข้าออกของผู้ฝึกลมปราณ กลับเหมือนลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกหนึ่งของผู้ฝึกยุทธมากกว่า จากบนลงล่าง ขณะเดียวกันในอาณาเขตที่แตกต่างของฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ ก็ได้ให้พวกนางแยกกันจินตนาการภาพถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แตกต่างกันตามกองงานทั้งหลายในยุคบรรพกาล ประหนึ่งคนลาดตระเวนโลกมนุษย์ที่ลงมาจากฟากฟ้า…
สามแสงอยู่บนใต้พื้นมีแสงเทียน แสงตะวันจันทราดาราสาดส่องลงบนเก้าแดน ตั้งแต่บนจรดล่างล้วนมีแต่ทวยเทพ ตะวันจันทราโบยบินอยู่ระหว่างหกสมพงศ์
กอดเหลืองกลับสู่ตันเถียนม่วง ธงมังกรโบกสะบัดบนฟ้าขว้างกระดิ่งไฟ ฟ้าคำรามสายฟ้าแลบกระตุ้นทวยเทพ เซียนดินอมตะอยู่ห่างไกลจากความตาย
การฝึกตนด้วยวิชาโบราณประเภทนี้ก็มีเพียงเสี่ยวโม่เท่านั้นที่สอนให้ได้
ประเด็นสำคัญคือแม่นางน้อยทั้งสอง ทุกครั้งที่พิศดูทวยเทพที่แตกต่างกันก็จะมีภาพบรรยากาศที่ไม่ธรรมดาส่วนหนึ่งผุดลอยขึ้นมาเพื่อขานรับกันจริงๆ
เฉินผิงอันคิดว่าตอนที่ตัวเองอายุเท่าพวกนาง หากไม่ได้ฝึกซ้ำไปซ้ำมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนก็อย่าหวังว่าจะมีความเคลื่อนไหวอย่างไฉอู๋และซุนชุนหวังได้
หมี่ลี่น้อยยกมือป้องข้างปาก กดเสียงต่ำเอ่ยกับเจ้าขุนเขาคนดี “ฟังไม่เข้าใจเลยสักประโยคเดียว จะทำอย่างไรดี?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เป็นภาษายุคบรรพกาล ฟังไม่เข้าใจก็เป็นเรื่องปกติมาก”
อันที่จริงครั้งนี้ตอนที่อยู่นครบินทะยาน เฉินผิงอันยังคัดลอกตำรากระบี่หลายเล่มมาจากหอถามกระบี่ ซุนชุนหวังเป็นทั้งผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ และแม่นางน้อยก็ยังเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของหนิงเหยาด้วย เรื่องนี้จึงไม่ถือว่าผิดกฎ
รอกระทั่งพวกนางเข้าสู่ดินแดนที่คล้ายคลึงกับการ ‘มีสมาธิแน่นิ่งก็คือเจินเหริน’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!