กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 951

คำเตือน อ่านยากไม่รู้จะลดต้นทุนไรนักหนาต้นทาง

ป๋ายโอ่วกลับรู้ความลับเรื่องหนึ่ง ตอนที่หวังหยวนลู่ยัง
ไม่ร่ำรวยได้ดิบได้ดี ใต้เท้าอัครเสนาบดีเคยพาตนไปเยือนเขตอู่หลิง
อยู่หลายครั้งเพื่อพบกับคนหนุ่มผู้นี้ แต่กลับไม่ได้ถ่ายทอดวิชาคาถา
ใดๆ ให้ ดูเหมือนว่าจะแค่ไปคุยเล่นด้วยเท่านั้น
เจาเกอถามหยั่งเชิง “ถ้าอย่างนั้นก็ให้หวังหยวนลู่ไปที่ภูเขา
เหลี่ยงจิง ข้ารับรองได้ว่าในอนาคตเขาสามารถรับหน้าที่เป็น
เจ้าขุนเขา เป็นอย่างไร?”
เหยาชิงส่ายหน้า “เขากับภูเขาเหลี่ยงจิงต่างก็ไม่มีวาสนานี้”
ป๋ายโอ่วคอยสังเกตสวีเจวี้ยนอยู่ตลอด น่าประหลาดนัก ทำไม
ถึงมองความผิดปกติของผู้ฝึกตนผีหนุ่มคนนี้ไม่ออกเลยนะ
ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงได้ครอบครองโชควาสนาตั้งมากมายขนาด
นั้น
?
ในอดีตสำ นักต้าเฉากับภูเขาเหลี่ยงจิงคือศัตรูคู่อาฆาตกัน
ทุกวันนี้กลับไม่แบ่งบนล่าง สองสำ นักยืนเคียงบ่าเท่าเทียมกันถึงอย่างไรเจ้าสำ นักของสำ นักทั้งสองก็คือสวีเจวี้ยน
ทางฝั่งของภูเขาเหลี่ยงจิง แรกเริ่มก็ใช่ว่าจะไม่มีความเห็นต่าง
บ้างเลย แต่ในเมื่อเจาเกอคือบรรพบุรุษบุกเบิกภูเขา ขนาดนางยัง
ไม่มีความเห็นต่าง พวกศิษย์ลูกศิษย์หลานจะมีความเห็นอะไรได้เล่า
?
บวกกับงานแต่งงานบนภูเขาในภายหลังที่ถูกขนานนามว่า
ไม่เคยมีปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์และจะไม่มีอีกในอนาคต ใน
บรรดาแขกที่มาร่วมอวยพรดื่มสุรามงคล ลำพังแค่สิบอันดับแรกของ
ใต้หล้ามืดสลัวก็มีมาเยือนถึงสี่คนแล้ว
อวี๋โต้ว ลู่เฉิน อู๋โจว ซุนไหวจง
หากยังบวกกับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวผู้หนึ่งที่ตอนนั้นไม่ได้เปิดเผย
ตัวตน เนื่องจากเขาไปนั่งอยู่ที่โต๊ะในมุม ซึ่งสหายคนนี้คือสหายรัก
ต่างวัยของสวีเจวี้ยน ถ้าอย่างนั้นก็เป็นห้าคนแล้ว
เขาก็คือบุคคลอันดับหนึ่งแห่งวิถีวรยุทธในใต้หล้า หลินเจียง
เซียนแล้วนับประสาอะไรกับที่เส้นทางการฝึกตนของสวีเจวี้ยนก็
เต็มไปด้วยสีสันตระการตาน่าอัศจรรย์ใจอย่างมาก เล่าลือกันว่าลู่
เฉินเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงเคยสอนวิชายันต์ให้สวีเจวี้ยนสอง
สามบท ซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตูก็เคยสอนเวทกระบี่ให้กับผู้ฝึก
ตนผีหนุ่มบทหนึ่งกับมือตัวเอง ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่หย่าเซิ่งแห่งศาลบุ๋น
ของใต้หล้าไพศาลก็ยังเคยชี้แนะด้านวิชาความรู้ให้กับสวีเจวี้ยน
บวกกับบุคคลอันดับหนึ่งด้านการหลอมโอสถของใต้หล้า และวิชา
หมัดของหลินเจียงเซียน เป็นเหตุให้โลกภายนอกต่างก็คาดเดากันว่า
สวีเจวี้ยนผู้นี้จะใช่ลูกศิษย์คนสุดท้ายที่แท้จริงของมรรคาจารย์เต๋า
หรือไม่?
ก็เหมือนกับกระดาษข้อสอบแผ่นหนึ่งที่ต่อให้รู้คำตอบล่วงหน้า
มาก่อนแล้ว จะดีจะชั่วเจ้าสวีเจวี้ยนก็ช่วยจับพู่กันเขียนตัวอักษรลง
ไปหน่อยเถอะ หากเริ่มนับตั้งแต่ตอนที่กลายไปเป็นผี เวลาสั้นๆ แค่
ยี่สิบกว่าปี สวีเจวี้ยนก็ได้เจอกับบุคคลยิ่งใหญ่เยอะขนาดนี้แล้ว เขา
ยังจะมีเวลาว่างเหลือได้อีกหรือ?เจาเกอเอ่ย “จือเหม่ย มาเยี่ยมเยือนครั้งนี้มีเรื่องที่ต้องรบกวน
ท่านเสนาบดีแล้ว”
เหยาชิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เชิญผู้อาวุโสพูดมาได้เลย”
เหยาชิงเสนาบดีรูปงาม มีนามว่าจือเหม่ย หากนับตามอายุ
การฝึกตนบนภูเขา เจาเกอคือผู้อาวุโสอย่างแน่นอน อายุมากกว่า
เหยาชิงถึงพันกว่าปีเต็มๆ
เจาเกอพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ต้องขอเชิญให้เจ้าออกจาก
ภูเขาไปสักรอบ ไปช่วยพิทักษ์มรรคาให้สักหน่อย”
เหยาชิงเอ่ยถามตรงไปตรงมาว่า “สถานที่?”
เจาเกอตอบ “ภูเขาเหลี่ยงจิง”
เหยาชิงถาม “เวลาที่แน่ชัด?”
เจาเกอรู้สึกโล่งเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก “ยังไม่ได้
กำหนด รอจดหมายลับจากข้า”
เหยาชิงยิ้มกล่าว “ต้องขออวยพรล่วงหน้าให้เจ้าสำ นักสวีและ
สหายฟู่คานสมดังใจปรารถนา”สวีเจวี้ยนลุกขึ้นยืน ถอยไปข้างหลังสามก้าว ก้มหัวคำนับอย่าง
นอบน้อม เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “ผู้เยาว์ขอขอบคุณอาจารย์เหยามา
ณ ที่นี้”
เจาเกอที่เดิมทีไม่คิดจะทำตัวเกรงใจถึงเพียงนี้ ในเมื่อสามีร้อง
ภรรยาอย่างนางก็ได้แต่ขานรับ จึงลุกขึ้นยืนเอ่ยขอบคุณเหยาชิงหนึ่ง
คำ
อู๋โจวผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตสิบสี่ที่มีฉายาว่า ‘ไท่อิน’ ผู้นั้น
มีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับเจาเกอ ตอนนั้นหลังเข้าร่วมงานแต่ง
ครั้งนั้นเสร็จ ก่อนจะจากมา อู๋โจวก็ได้มอบคาถาเซียนในการหลอม
วัตถุให้กับสวีเจวี้ยนหนึ่งบท จากนั้นยังสอนวิชาของผู้ฝึกตนผีที่
หายสาบสูญไปนานแล้วบทหนึ่งให้เขาด้วย
สวีเจวี้ยนผู้เป็นสามีคือผู้ฝึกตนผี
และในหลายใต้หล้าในอนาคต ในบรรดาผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขต
สิบสี่ใหม่เอี่ยม หากไม่ผิดไปจากที่คาดก็จำ เป็นต้องมีเซียนผีคนหนึ่ง
ที่ได้ยึดครองพื้นที่แห่งหนึ่งดังนั้นสวีเจวี้ยนไม่เพียงแต่ต้องแย่งชิง ยังต้องชิงลงมืออย่าง
รวดเร็ว รีบเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยาน ถึงจะสามารถยึดครอง
ความได้เปรียบ
อันที่จริงสวีเจวี้ยนที่มีประโยคติดปากว่า ‘แค่นี้ก็ดีมากแล้ว’
ไม่ได้มีความคิดเช่นนี้ เพียงแต่ว่าในเรื่องนี้ เจาเกอที่เป็นคนรักกลับ
ยืนกรานหนักแน่น ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่ภรรยาร้องสามีขานรับแล้ว
ในเมื่อทุกเรื่องล้วนเตรียมการไว้หมดแล้ว จึงขาดแค่การปิด
ด่านครั้งหนึ่งเท่านั้น
หลังจากที่สวีเจวี้ยนกับเจาเกอขอตัวลาจากไป ป๋ายโอ่วกับ
เหยาชิงยืนอยู่ใต้ชายคา นางถามเสียงเบาว่า “หวังหยวนลู่ผู้นั้น จะ
ไม่ไปสนใจจริงๆ หรือ?”
เหยาชิงยิ้มเอ่ย “หยกงามไม่ต้องผ่านการขัดกลึง”
ป๋ายโอ่วลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังอดกลั้นความสงสัยในใจเอาไว้
ไม่ได้ “ดูท่าชีกู่คงใกล้จะฝ่าทะลุขอบเขตเต็มทีแล้ว การประทาน
โชคชะตาบู๊ส่วนนี้ พวกเราควรจะปฏิเสธไม่รับไว้หรือ? จากรายงาน
ข่าว ทางฝั่งของราชวงศ์อวี๋ฝู จูเสวียนถึงกับออกหน้าลงมือเองแล้ว”ชีกู่ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่กลอุบายลึกล้ำอะไร ตรงกันข้ามเลย
ด้วยซ้ำ เขายังเป็นคนที่ค่อนข้างจะมุทะลุวู่วาม เป็นคนชอบความ
ตรงไปตรงมา แบ่งแยกรักและเกลียดอย่างชัดเจน หากว่าทาง
บ้านเกิดแสดงความมิตรกับเขาสักเล็กน้อยก็ไม่ยากที่จะรั้งตัวเขาไว้
ที่ราชวงศ์ชิงเสิน
อันที่จริงคลื่นมรสุมที่อยู่ในเมืองหลวงปีนั้น ป๋ายโอ่วก็เคย
มีความเห็นที่ไม่ตรงกับใต้เท้าอัครเสนาบดี
ตามความเห็นของนาง สามารถฉวยโอกาสนี้รับตัวหวังหยวนลู่
และชีกู่ให้มาเป็นพวกเดียวกัน คนทั้งสองก็คงไม่ถึงขั้น
มีความสัมพันธ์ที่ชะงักงันกับทางราชสำ นักเช่นนี้
แล้วก็เพราะระหว่างการหนีตายที่รายล้อมไปด้วยอันตราย
ครั้งนั้น หวังหยวนลู่และชีกู่ ต่างคนต่างก็ฝ่าทะลุขอบเขต คนหนึ่ง
เลื่อนเป็นขอบเขตก่อกำเนิด อีกคนหนึ่งเลื่อนเป็นขอบเขต
เดินทางไกล
เหยาชิงกล่าว “ใบไม้ร่วงมักต้องกลับสู่รากเสมอ”ป๋ายโอ่วเอ่ยอย่างจนใจ “ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นใบไม้ที่ร่วงลงมา
ก่อนนะ”
เหยาชิงยิ้มกล่าว “ตั้งตารอดูกันไปก็แล้วกัน”
หลังจากที่คู่รักซึ่งชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้าไปจากอาราม
ชิงอู๋ได้ไม่นาน ก็มีบุรุษผู้หนึ่งเดินมาถึงอย่างเนิบช้า ถึงกับเป็นภิกษุ
รูปหนึ่งซึ่งถือว่าหากได้ยากยิ่งในใต้หล้ามืดสลัว
หัวโล้น เปลือยเท้า บนร่างสวมจีวรสีม่วง
ภิกษุวัยกลางคนผู้นี้มีโหนกแก้มสูงจมูกโด่ง ลักษณะเหมือน
คนโบราณที่ไม่ได้ผ่านการปรุงแต่ง
ป๋ายโอ่วรู้แค่ว่าภิกษุที่เดินเท้าเปล่าผู้นี้มีชื่อสามัญว่าเจียงซิว
นามเต้าอิ่น ฉายา ‘ตันชิง’
ส่วนเรื่องรูปโฉม คิดดูแล้วอีกฝ่ายน่าจะร่ายเวทอำพรางตา
สิ่งที่ป๋ายโอ่วเห็นจึงไม่ใช่รูปโฉมที่แท้จริง
ทุกวันนี้ภิกษุจำ วัดอยู่ในวัดหว่ากวานซึ่งตั้งอยู่ชานเมืองหลวง
เป็นเวลาเกือบจะสิบปีแล้วไม่ว่าจะเป็นชื่อเดิมว่าเจียงซิว หรือฉายาว่า ‘ตันชิง’ อยู่ในใต้
หล้ามืดสลัวก็ล้วนไม่มีชื่อเสียงใดๆ แต่เสนาบดีรูปงามเหยาชิงกลับ
ให้ความเคารพนับถือเขาอย่างมาก
ป๋ายโอ่วคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวจึงมองตบะตื้นลึกของอีกฝ่าย
ไม่ออก และหากจะพูดถึงคำสอนของฉาน (นิกายเซ็นหรือฌาน) และ
พระธรรม นางก็ยิ่งไม่เข้าใจเลยสักอย่าง
สิบสี่มณฑลของใต้หล้ามืดสลัว มีการควบคุมวัดของลัทธิพุทธ
และสำ นักศึกษาของลัทธิขงจื๊อเข้มงวดอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภิกษุที่หากอยากจะเดินทางไปข้างนอก
กว่าจะได้รับเอกสารผ่านด่านก็ต้องผ่านการรายงานจากราชสำ นัก
ไปทีละชั้น อีกทั้งแปดเก้าในสิบส่วนล้วนต้องถูกตีกลับมา ต่อให้ได้รับ
คำ อนุญาต ก็ยังต้องแจ้งการเดินทางอย่างละเอียดให้ป๋ายอวี้
จิงบันทึกลงเอกสารด้วย
ราชวงศ์หลายแห่งจึงออกคำสั่งห้ามโดยตรงว่าไม่ให้ภิกษุ
คนใดเข้ามาในอาณาเขต ถึงขั้นที่ว่ามีสองมณฑลที่สั่งห้ามการก่อตั้ง
วัด ไม่อนุญาตให้ภิกษุถ่ายทอดพระธรรมมณฑลปิงโจวถือว่าค่อนข้างอะลุ่มอล่วย แต่ราชวงศ์ใหญ่
อย่างราชวงศ์ชิงเสินก็ยังมีวัดอยู่แค่สิบหกแห่งเท่านั้น
ทว่าใต้เท้าอัครเสนาบดีไม่สนคำคัดค้านของฝูงชน ช่วงหลายปี
ที่ผ่านมานี้ทางราชสำ นักจึงเริ่มลงมือสร้างวัดใหม่ขึ้นมาอีกสองแห่ง
อยู่ในใต้หล้ามืดสลัว ภิกษุคิดจะสร้างวัด บางทีอาจยากยิ่งกว่า
การก่อตั้งสำ นักในใต้หล้าไพศาลเสียอีก
เรื่องนี้จำ เป็นต้องได้รับคำอนุญาตจากทางป๋ายอวี้จิง
ด้วยเหตุนี้ราชสำ นักชิงเสินต้องสิ้นเปลืองคุณความชอบไปไม่น้อย
ได้ยินมาว่าแม้แต่ฝ่าบาทที่ถูกมณฑลอื่นเรียกขานอย่างเยาะเย้ยว่า
‘ฮ่องเต้พยักหน้า’ (เปรียบเปรยว่าไม่มีความคิดเห็นของตัวเอง ใคร
บอกอะไรก็พยักหน้ารับอย่างเดียว) ก็ยังถามหาสาเหตุจากใต้เท้า
อัครเสนาบดีอย่างที่หาได้ยาก
ภิกษุชุดม่วงพนมสิบนิ้ว เอ่ยเสียงเบาว่า “เสี่ยวเซิง (คำเรียก
อย่างถ่อมตัวของพระภิกษุ คล้ายคำเรียกอย่างถ่อมตัวว่าผินเต้าของ
นักพรตเต๋า) มาบอกลาอาจารย์เหยา”เหยาชิงพยักหน้ายิ้มเอ่ย “ก่อนพระอาจารย์จะจากไป จำ ไว้ว่า
ต้องทิ้งภาพวาดฝาผนังอรหันต์ภาพนั้นไว้ที่วัดหว่ากวานตาม
ข้อตกลงด้วย”
ในวัดแห่งหนึ่ง ไม่ใช่ว่าภิกษุทุกคนจะถูกเรียกว่าหลวงจีนได้
มีเพียงหลวงจีนสมณศักดิ์สูงผู้บรรลุมรรคาที่มีเจ้าอาวาสและพระ
สังฆราชเป็นหนึ่งในนั้นเท่านั้น ถึงจะได้รับคำเรียกขานด้วย
ความเคารพนอบน้อมนี้ ซึ่งมีน้อยจนนับนิ้วได้
จิตของป๋ายโอ่วขยับไหวเล็กน้อย นางเดาสถานะของอีกฝ่าย
ออกแล้ว
จำ ได้ว่าใต้หล้ามืดสลัวมีพระชั้นสูงที่ลึกลับอย่างถึงที่สุดรูป
หนึ่ง ฝีมือในการวาดภาพ (ตันชิง) ยอดเยี่ยม รูปโฉมและสถานะ
แปรเปลี่ยนไม่หยุดนิ่ง คิดว่าตัวเองไม่ธรรมดา บอกว่าตัวเอง ‘จิตข้า
คือพุทธะ’ ทั้งยังป่าวประกาศว่า ‘ศาสดามาจากประจิมอย่างไร้
เจตนา’
ภิกษุผู้นี้เชี่ยวชาญการวาดภาพอรหันต์มากเป็นพิเศษ
ทุกครั้งที่มีผลงานปรากฏบนโลกก็จะต้องเกิดการรุมแย่งชิงกันครั้งหนึ่ง อย่าว่าแต่วัดพวกนั้นเลย ต่อให้เป็นอารามของลัทธิเต๋าที่
จักรพรรดิของแต่ละมณฑลในใต้หล้าก่อตั้งขึ้นมาก็ยินดีจะตั้งบูชา
ผลงานจริงเอาไว้ และยิ่งมีข่าวลือบอกว่าทุกครั้งที่เจอกับภัยแล้งภัย
น้ำท่วม ผีปีศาจออกอาละวาด ไม่จำ เป็นต้องให้เต้ากวานในพื้นที่ไป
ตั้ง
ปะรำพิธีทำพิธีกรรมด้วยซ้ำ แค่เอาภาพของอรหันต์ออกมา ไม่ว่า
จะขอฝนหรือขจัดสิ่งสกปรกชั่วร้าย ก็ไม่มีครั้งไหนที่ไม่ศักดิ์สิทธิ์
ภิกษุยิ้มเอ่ย “สิบหกภาพ? สิบแปดภาพ?”
เหยาชิงยิ้มตอบ “แน่นอนว่ายิ่งมากก็ยิ่งมีประโยชน์”
ภิกษุกล่าว “วาดเสร็จแล้ว”
เหยาชิงก็ไม่รู้สึกประหลาดใจ เพียงถามว่า “ต่อจากนี้จะไปไหน
ต่อ?”
ภิกษุตอบว่า “ไปชมหิมะที่โยวโจวก่อน”
เหยาชิงก้มหัวกราบลา
ภิกษุผงกศีรษะเล็กน้อย ท่องบท ‘เหนือชายแดน’ ซึ่งเป็นวลี
ติดปากของใต้หล้ามืดสลัวไปหนึ่งบท ก่อนจะก้าวยาวๆ จากไป มาดองอาจสง่างาม เรือนกายหายวับไป ปราณวิญญาณในฟ้าดิน
ไม่มีรอยกระเพื่อมแม้แต่น้อย พริบตาเดียวก็หายไปไม่เหลือเงา
ป๋ายโอ่วเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนถามว่า “ตบะของคนผู้นี้?”
“นอกจากพระธรรมแล้ว เวทกระบี่เลิศล้ำ องอาจผึ่งผาย
เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร”
เหยาชิงกล่าว “‘หนึ่งกระบี่น้ำค้างแข็งเกาะสิบสี่มณฑล’ เขา
เป็นคนพูดเอง แล้วก็พูดถึงเขาด้วย”
……
ร้านยาสุ้ยตรอกฉีหลง เถ้าแก่สือโหรวกับเจ้าใบ้น้อยกำลัง
อดนอนเฝ้าคืนอยู่ด้วยกัน
ร้านฉ่าวโถวที่อยู่ติดกันกลับครึกครื้นกว่าหน่อย
พี่น้องคู่หนึ่ง จ้าวซู่เซี่ย จ้าวหลวน ศิษย์พี่ศิษย์น้องคู่หนึ่ง จ้าว
เติงเกา เถียนจิ่วเอ๋อร์ อาจารย์และศิษย์คู่หนึ่ง เด็กชายผมขาว เหยา
เสี่ยวเหยียน
และยังมีชุยฮวาเซิงที่ถูกห่านขาวใหญ่หลอกเอาตัวมา เวลานี้
เด็กชายผมขาวกำลังยกเท้าเหยียบอยู่บนม้านั่งยาว ลากคนแซ่จ้าวสองคนมาเล่นทายหมัดด้วยกัน โหวกเหวกเสียงดังเอ่ยถ้อยคำ
ทำนองว่าพวกเราสองพี่น้องคือห้าผู้นำและสิบเต็มห้องโถง (เป็นคำ
ที่พูดในการเล่นทายหมัด ห้าผู้นำ คือการอวยพรให้ประสบความ
สำ เร็จ สิบเต็มห้องโถงก็หมายถึงความครบสมบูรณ์ยอดเยี่ยม)
คืนวันที่สามสิบวันสิ้นปีของเมืองเล็กจะมีประเพณีถามมื้อข้าม
ปี จะมีการจุดตะเกียง วางสุราและกับแกล้มไว้บนโต๊ะ ผู้เฒ่าและ
พวกสตรีออกเรือนแล้วจะนั่งเฝ้าอยู่ข้างกระถางไฟใบหนึ่ง
ไม่แวะเวียนไปตามบ้านต่างๆ แค่รอให้พวกเพื่อนบ้านที่อยู่ในวัยหนุ่ม
ฉกรรจ์แวะเวียนมาเป็นแขกที่บ้าน บุรุษที่เป็นเพื่อนบ้านกันทั้งยังมี
ความสัมพันธ์อันดีก็จะนั่งลงดื่มเหล้ากินกับแกล้มเล่นทายหมัด คนที่
ความสัมพันธ์ธรรมดา ส่วนใหญ่ดื่มเหล้าจอกหนึ่งก็กลับแล้ว พวก
เด็กๆ ที่จับกลุ่มกันเข้าบ้านมาแล้วก็ไม่นั่งลง จะทักทายพวกผู้เฒ่า
และสตรีวัยกลางคนทั้งหลายที่เฝ้าคืนอยู่ เรียกไล่ตามลำดับอาวุโส
ตั้ง
แต่ท่านปู่ท่านย่าท่านป้าท่านอา แล้วเก็บพวกเมล็ดแตง ผลไม้
อ้อย ฯลฯ ใส่ไว้ในกระเป๋า พอถึงกลางดึก ทุกบ้านก็จะปิดประตู
จากนั้นเช้าตรู่ พวกบุรุษที่เป็นหัวหน้าครอบครัวก็จะตื่นขึ้นมาตามเวลาที่กำหนดไว้ เพราะทุกปีจะมีเวลาที่แตกต่างกัน
มีกฎเกณฑ์ข้อพิถีพิถันเรื่องที่ว่าต้องเปิดประตูจุดประทัดเพื่อ
ใช้บอกลาปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ส่วนจะเปิดประตูบ้านเวลาใด
ส่วนใหญ่มักจะให้พวกผู้เฒ่าบางส่วนในเมืองเล็กคำนวณให้ ว่ากัน
ว่าพวกเถ้าแก่ร้านที่ในอดีตเปิดร้านขายของมงคลอยู่ในเมืองเล็ก
มักจะเข้าใจเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี
ทุกวันนี้พวกคนหนุ่มสาวย้ายไปอยู่ในตัวจังหวัดกันหมดแล้ว
ไหนเลยจะมีข้อพิถีพิถันเช่นนี้อยู่อีก ว่ากันว่าคนบางส่วน แม้แต่การ
เปิดประตูก็ยังให้ผู้ดูแลของจวนช่วยทำแทนให้ ส่วนตัวเองก็เอาแต่
นอนตื่นสาย
แม้ว่าทางฝั่งของอำเภอไหวหวงในทุกวันนี้ กลิ่นอายวันปีใหม่
จะจืดจางลงทุกปี แทบจะไม่มีการเดินแวะเวียนไปถามมื้อข้ามปี
ระหว่างกันแล้ว แต่ว่าสองร้านของตรอกฉีหลงกลับยังทำตาม
ประเพณีเดิม เปิดประตูวางสุราเอาไว้
สือโหรวที่นั่งอยู่ข้างกระถางไฟเงยหน้าขึ้นมองไปทางหน้า
ประตู มีแขกสูงศักดิ์คนหนึ่งมาเยือนสวมชุดตัวยาวสีขาวหิมะทั้งร่าง
จื้อกุย สาวใช้ข้างกายซ่งจี๋ซินแห่งตรอกหนีผิงในอดีต หวังจือ
มังกรที่แท้จริงในทุกวันนี้ สถานะสูงศักดิ์เป็นถึงหนึ่งในสุ่ยจวินของสี่
สมุทรในใต้หล้าไพศาล
ไม่รู้ว่าเหตุใด สุ่ยจวินแห่งมหาสมุทรบูรพาท่านนี้ ดูเหมือนว่า
เวลานี้จะอารมณ์ไม่เลว
ในร้านยาสุ้ยสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน สือโหรวปลุก
ความกล้า ครุ่นคิดหาถ้อยคำเหมาะๆ พักหนึ่ง เรียกอีกฝ่ายว่า
แม่นางจื้อกุย จากนั้นจึงยิ้มเอ่ยว่า “นั่งลงดื่มเหล้าสักหน่อยไหม?”
หวังจูพยักหน้า เดินข้ามธรณีประตูเข้ามานั่งลงข้างโต๊ะ สือโหร
วช่วยต้มเหล้าให้ หวังจูหยิบตะเกียบขึ้นมา บนโต๊ะถึงกับยังมีปลา
หมักอยู่จานหนึ่ง นางคีบมากินหนึ่งคำ เคี้ยวลิ้มรสแล้วพยักหน้า
“ฝีมือไม่เลว”
ตรอกหนีผิงในอดีตก็คือสถานที่ยากจนที่ตระกูลคนตกอับ
มารวมตัวกัน หาไม่แล้วหากพอมีเงินสักหน่อยก็ย้ายไปอยู่ตรอกอื่นที่
กว้างขวางกว่านานแล้ว ตามคำกล่าวโบราณของเมืองเล็ก ที่นี่ก็คือสถานที่น้ำไหล มิอาจรั้งตัวคนเอาไว้ได้ เป็นเหตุให้ทุกๆ วันที่สามสิบ
ของสิ้นปีก็มีแค่ปากตรอกเท่านั้นที่เพราะมีหญิงหม้ายหน้าตางดงาม
คนหนึ่งอยู่อาศัย จึงไม่ถึงกับทำให้ตรอกทั้งตรอกเงียบเหงาไร้คน
เดินผ่าน บ้านสองหลังที่เป็นเพื่อนบ้านกันซึ่งตั้งอยู่ตรงช่วงกลาง
ตรอก อันที่จริงไม่มีใครแวะไปถามมื้อข้ามปี อย่างมากก็แค่เพราะ
หนทางใกล้หน่อย หรือไม่ก็จะไปที่บ้านหญิงหม้าย ถึงได้เลือก
จะเดินผ่านตรอกหนีผิง ทว่าแม้จะเดินผ่านแต่กลับไม่คิด
จะเหลือบมองแม้แต่น้อย
หนึ่งคือดาวหายนะที่ทั่วร่างมีแต่กลิ่นอายอัปมงคล อีกหนึ่งคือ
ลูกนอกสมรสที่มีแม่ให้กำเนิดแต่ไม่มีบิดาเลี้ยงดู ไม่อาจไปพบหน้า
ใครได้ บวกกับสาวใช้ที่ประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัดอีกคนหนึ่ง ล้วน
เป็นพวกไร้ญาติขาดมิตร ใครเล่าอยากจะแวะมาเยี่ยมเยือน คนวัย
เดียวกันสองคนนั้นก็ไม่แวะไปหากันเช่นกัน
ตอนนั้นทุกครั้งที่ถึงวันสิ้นปีวันที่สามสิบ ซ่งจี๋ซินมักจะโกรธ
กระฟัดกระเฟียด บอกให้จื้อกุยปิดประตูบ้านลงเลย ใครอยากจะมาก็มา ไม่อยากมาก็ช่าง นายท่านใหญ่ไม่เห็นจะอยากปรนนิบัติ
พวกเจ้าเลย
แต่บ้านข้างๆ กลับไม่ได้ทำเหมือนเขา เปิดประตูใหญ่ไว้ตลอด
หากว่าในตรอกมีหิมะทับถมสักเล็กน้อยก็จะช่วยกวาดหิมะทั่วทั้ง
ตรอกไปไว้ในมุมกำแพงมุมหนึ่งเพื่อสะดวกให้คนเดินผ่าน
บางครั้งซ่งจี๋ซินอยู่ว่างไม่มีอะไรทำก็มักจะชอบไปยืนอยู่
ตรงหน้าประตูห้อง แล้วเริ่มพูดจาเหน็บแนม ดึกดื่นค่ำคืนแบบนี้ เปิด
ประตูรอผีมาหรือไร
คนวัยเดียวกันที่อยู่บ้านติดกันไม่เคยเถียงกลับ
——

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!