สรุปบท บทที่ 952.3 เห็นกิเลน: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!
บทที่ 952.3 เห็นกิเลน – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!
ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง
ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง
บทที่ 952.3 เห็นกิเลน จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
หม่าหลันฮวาหวีเส้นผมยาวพลางทอดถอนใจเฮือกๆ
บนหินผาสีดำที่มีแต่หลุมแต่บ่อแถบนี้ เมื่อก่อนเด็กๆ ในเมือง
เล็กที่มาว่ายน้ำจับปลาที่นี่ต่างก็มี ‘ที่นั่ง’ อย่างดีที่แต่ละคนเลือกไว้
ด้วยตัวเอง
หลังจากกลายมาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำ วิสัยทัศน์ก็
ต่างไปจากมนุษย์รรมดาในโลกคนเป็นอย่างสิ้นเชิง
จุดตัดที่ตั้งอยู่ระหว่างภูเขาใหญ่ทิศตะวันตกกับเมืองเล็ก ภูเขา
เจินจูที่ไม่สะดุดตาลูกนั้น ถึงกับเป็นที่ตั้งของไข่มุกมังกร
และลำคลองหลงซวีใต้ฝ่าเท้าของหม่าหลันฮวาเส้นนี้ก็คือ
‘หนวดมังกร’ (หลงซวี) สมชื่ออย่างแท้จริง ดังนั้นปีนั้นในน้ำถึงได้
มีหินดีงูที่มูลค่าควรเมืองมากมายถึงเพียงนั้นปรากฏขึ้นมา ส่วน
หนวดมังกรอีกเส้นหนึ่งก็คือถนนหลักของเมืองเล็ก บนถนนมี
ซุ้มก้ามปู บ่อโซ่เหล็ก ต้นไหวโบราณ ตั้งเรียงไล่ยาวจนไปถึงทาง
ทิศตะวันออก ไปหยุดอยู่ที่ประตูรั้วไม้ทางฝั่งตะวันออก เคยมีหนุ่มโสดไม่เป็นโล้เป็นพายคนหนึ่ง เจิ้งต้าเฟิงคนเฝ้าประตู
ซึ่งทุกวันนี้ก็ไม่รู้ไปตายอยู่ที่ไหนแล้ว เพียงแค่ทิ้งบ้านดินเหลืองที่
ไม่มีคนพักอาศัยเอาไว้หลังหนึ่ง
เคยมีคำกล่าวที่สุภาพไพเราะบอกว่า พยัคฆ์หมอบมังกรขดตัว
ดูเหมือนว่าเตาเผามังกรทั้งหลายจะสร้างขึ้นบนลำตัวของมังกรตัวนี้
อันที่จริงตลอดหลายปีที่ผ่านมา หม่าหลันฮวากลัวมาตลอดว่า
แม่นางน้อยผอมบางอ่อนแอของตรอกหนีผิงผู้นั้นจะมาคิดบัญชีเก่า
กับตน
เพราะถึงอย่างไรเมื่อก่อนเวลาไปตักน้ำที่บ่อโซ่เหล็ก ทุกครั้งที่
ได้เจอกับสาวใช้ต่ำต้อยข้างกายของ ‘บุตรนอกสมรสของผู้ตรวจการ
ซ่ง’ หม่าหลันฮวาก็มักจะทำตัวเป็นผู้นำของสตรีปากยื่นปากยาว
กลุ่มนั้นเป็นประจำ ตอนนั้นนางเคยพูดจาไม่น่าฟังไปมากมายจริงๆ
เพราะถึงอย่างไรหญิงหม้ายของตรอกหนีผิงและยังมีเด็กกำพร้าคน
นั้น
ต่อให้พวกเขาจะยากจนแค่ไหนก็ไม่ได้มีสัญชาติเป็นทาสนี่นะ
ต่อให้บ้านจะมีแค่ผนังสี่ด้าน แต่จะดีจะชั่วก็ยังมีชาติกำเนิดที่สะอาดบริสุทธิ์ กลับเป็นแม่นางน้อยชื่อประหลาดคนนี้ที่ต่อให้จะมีกินมีใช้
แล้วอย่างไร…
ปีนั้นอย่าว่าแต่ชี้นิ้วนินทาจื้อกุยเลย ขอแค่เป็นพวกสตรีที่
ออกเรือนแล้วของเมืองเล็กก็ล้วนเคยทะเลาะชี้หน้าด่ากันมาทั้งนั้น
ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครก็มักจะมีคนหาข้อบกพร่องเป็นกองพะเนิน
ออกมาได้เสมอ พูดจาทิ่มแทงใจคน เสียดสีเหน็บแนมซึ่งๆ หน้า
ยกตัวอย่างเช่นว่าในบ้านของเจ้ามีเงินเหม็นๆ แค่ไม่กี่แดงแล้ว
อย่างไร ทุกวันนี้มีเจ้าลูกกระต่ายที่พกไอ้จ้อนมาบ้างไหม ระวังเถอะ
ควันธูปของบรรพบุรุษขาดลงเมื่อไร เงินพวกนั้นจะตกเป็นของใครก็
คงบอกได้ยากแล้ว…การแฉข้อเสียของกันและกันประเภทนี้เป็นเรื่อง
ที่ธรรมดาสามัญอย่างถึงที่สุดแล้ว รอกระทั่งอีกฝ่ายตอบโต้ไม่ได้ก็
ค่อยจิกผมข่วนหน้ากัน
พูดถึงแค่เรื่องของการลับฝีปาก ไม่พูดถึงการลงไม้ลงมือ หญิง
ชราแซ่หม่าของตรอกซิ่งฮวา หญิงหม้ายตระกูลกู้ของตรอกหนีผิง
สตรีออกเรือนแล้วตระกูลหลี่ที่บ้านอยู่ทางทิศตะวันตกสุดของเมืองเล็ก หวงเอ้อเหนียงที่ขายเหล้า ฯลฯ ล้วนเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งกัน
ทั้ง
นั้น ข
นบธรรมเนียมชาวบ้านที่เรียบง่ายเช่นนี้ ช่างหร่วน ลู่เฉินที่ตั้ง
แผงดูดวง ผู้ตรวจการเฉาที่เมามายอยู่ทุกวัน…คนต่างถิ่นพวกนี้ล้วน
เคยประสบกับตัวเองมาก่อน หากไม่ยอมก็ไม่ได้เสียด้วย
ในความเป็นจริงแล้วทุกคนที่เคยสัมผัสกับคนรุ่นเยาว์ของเมือง
เล็กมาก่อน ไม่ว่าจะมีสถานะหรือขอบเขตอะไร จะมากจะน้อยก็ล้วน
มีความรู้สึกที่คล้ายคลึงกันนี้
พูดถึงแค่เรื่องการประชุมศาลบุ๋นครั้งนั้น คำพูดของคนบางคน
ได้เป็นการตั้งฉายาใหม่เอี่ยมที่โด่งดังให้กับเฝ่ยหรานผู้ครองเปลี่ยว
ร้างและลูกศิษย์คนสุดท้ายของมหาสมุทรความรู้โจวมี่ คนหนึ่งคือ
‘อริยะแห่งการนอนของภูเขาทัวเยว่’ ที่นอนอยู่ดีๆ ก็ได้เป็นเจ้าผู้ครอง
ใต้หล้าซะอย่างนั้น กับ ‘อริยะแห่งความพ่ายแพ้ของกระโจมเจี่ยเซิน’
ที่ไม่เคยมีผลการชนะเลย อิ่นกวานหนุ่มยังป่าวประกาศด้วยว่า
จะมอบตราประทับส่วนตัวที่แกะสลักเองกับมือให้กับขุนนางใหญ่ผู้มีคุณูปการของใต้หล้าไพศาลสองคนนี้ แบ่งเป็นคำว่า ‘ตายร้อยรอบ
ก็ไม่เสียดาย’ กับ ‘ใจใฝ่หาไพศาล’ …
และยิ่งทำให้พวกปีศาจใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างที่มีคุณสมบัติใน
การเข้าร่วมการประชุมของภูเขาทัวเยว่ยิ่งรู้สึกว่าอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้น
ไม่ใช่คนกันเอง ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน
หม่าหลันฮวานวดคลึงข้างแก้ม
ตนยังเคยถูกนังเด็กปากคอเราะร้ายผู้นั้นตบบ้องหูอย่างแรง
มาครั้งหนึ่งด้วยนะ
นางหยิบรายงานขุนเขาสายน้ำเก่าแก่หลายฉบับออกมาจาก
ชายแขนเสื้อ ความเหมือนเพียงหนึ่งเดียวก็คือในรายงานล้วนมีข่าว
ของหลานชายนาง อันที่จริงนางท่องจำ เนื้อหาบนรายงานข่าวพวกนี้
ได้ขึ้นใจมานานแล้ว ให้ท่องกลับหลังก็ยังได้ หลายปีมานี้อยู่เฉยๆ
ไม่มีอะไรทำ เหนียงเนียงเทพลำคลองท่านนี้จึงเริ่มคิดหาสารพัดวิธี
มาทำให้ตัวเองอ่านหนังสือให้ออก
และรายงานของวงการขุนนางของภูเขาสายน้ำประเภทนี้ก็ได้
มาจากศาลเทพอภิบาลเมืองประจำ จังหวัด โดยทั่วไปแล้วทุกๆ รอบฤดูกาลจะมีมาส่งสองถึงสามฉบับ จางผิงเทพอภิบาลเมืองจะให้
เสมียนโลกคนตายแยกกันเอาไปส่งให้ถึงมือเทพอภิบาลเมืองประจำ
อำเภอและประจำ เขตต่างๆ รวมไปถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำ
ทั้ง
หลาย นี่ทำให้หม่าหลันฮวาลำพองใจอย่างมาก ตอนที่เป็นแม่ย่า
ลำคลอง ตลอดทั้งปีได้รายงานข่าวมาอยู่ในมือแค่ไม่กี่ฉบับ รอ
กระทั่งได้เลื่อนเป็นเทพลำคลองแล้ว ระดับขั้นขุนนางเท่ากับขุนนาง
น้ำใสในวงการขุนนางภูเขาสายน้ำของต้าหลีแล้ว จำ นวนรายงาน
ข่าวที่ได้รับในทุกปีจึงเพิ่มจากเดิมเป็นเท่าตัวทันใด
เทียบกับบนไม่พอ เทียบกับล่างมากเหลือแหล่
ชีวิตนี่นะ คนมักจะเดินขึ้นสู่ที่สูง น้ำมักจะไหลลงสู่ที่ต่ำ
เงยหน้ามองพวกคนที่มีชีวิตที่ดี นี่เรียกว่าใช้ชีวิตไปอย่างมีความหวัง
พอก้มหน้ามองคนที่สู้ตนไม่ได้ จิตใจก็สงบลงได้แล้ว
มีประโยคหนึ่งที่สตรีลืมไปแล้วว่าใครเป็นคนพูดไว้
มนุษย์มีชีวิตอย่างยากลำบาก หลอกตัวเองได้ก็มีความหวัง
……หลวี่เหยียนพาเสี่ยวโม่และชิงถงเดินเลียบระเบียงไปยังจุดอื่น
จงใจให้บัณฑิตสองคนที่อายุห่างกันมากพูดคุยเรื่อง ‘สัพเพเหระใน
บ้าน’
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ยิ้มถาม “เฉินผิงอัน เจ้าคิดถึงการกิน
หนังสือได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง แต่เพียงไม่นานก็เข้าใจว่าคำว่า ‘กินหนังสือ
’ ก็คือการหลอมตัวอักษร
เฉินผิงอันอธิบายว่า “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนหัวกำแพงเมืองไม่
มีเรื่องอะไรให้ทำจริงๆ บังเอิญกับที่หลีเจินซึ่งอยู่บนหัวกำแพงเมือง
ฝั่งตรงข้ามโยนบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มหนึ่งมาให้ข้า ก็เลยได้เอามา
ใช้งาน”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ยิ้มบางๆ “บังเอิญยิ่งนัก บังเอิญจน
ได้จังหวะพอดี”
เฉินผิงอันเงยหน้ามองม่านฟ้า
เห็นได้ชัดว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์พูดจามีความนัยหากไม่เป็นเพราะหลอมตัวอักษรทั้งหมดของบันทึกการ
เดินทางเล่มนั้น รวมไปถึงด้วยความบังเอิญบางอย่าง ต่อให้เฉินผิง
อันเฝ้าอยู่บนหัวกำแพงเมืองแห่งนั้นนานหนึ่งหมื่นปีก็ยังคิดไม่ได้ว่า
ศิษย์พี่ชุยฉานต้องการจะทำอะไร
คงเป็นอย่างที่หลีเจินนินทาในภายหลังจริงๆ ว่า มีแต่คนที่
สมองมีปัญหาเท่านั้นจึงจะเป็นคนบนเส้นทางเดียวกับคนที่สมอง
มีปัญหาได้ คุยกันรู้เรื่อง พูดกันเข้าใจ ในใจรู้ทันกัน
ความคิดของปรมาจารย์มหาปราชญ์ล่องลอยไปไกล นึกถึง
ใบหน้าของคนหลายคนขึ้นมาได้ พวกเขาล้วนอยู่ในฐานทัพของผู้ฝึก
กระบี่ยุคบรรพกาล
ผู้ฝึกกระบี่กวานจ้าวในอดีตไม่ได้พูดมากอย่างหลีเจินใน
ภายหลัง แต่เป็นน้ำเต้าตันที่ขึ้นชื่อ แทบไม่เคยพูดคุยกับใคร
ทุกครั้งที่มีการประชุมลับจะต้องหลบไปอยู่ในมุม หรือไม่ก็ยืนอยู่ข้าง
กายเฉินชิงตู ไม่พูดไม่จาอะไรสักคำตั้งแต่ต้นจนจบ
แต่กวานจ้าวไม่ลงมือก็แล้วไป หากตัดสินใจจะถามกระบี่กับ
ใครขึ้นมา ไม่อาจพูดได้ว่าชนะทุกครั้ง แต่อย่างน้อยที่สุดก็รับรองได้ว่าตัวเองจะอยู่ในสถานะมิพ่าย
ถึงขั้นที่ว่าในบางระดับสามารถพูดได้ว่า ชั่วชีวิตของกวานจ้าว
ดูเหมือนว่าจะใช้ชีวิตเพื่อคนอื่น หลอมกระบี่ส่งกระบี่เพื่อส่วนรวม
ดังนั้นในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ทุกคน กวานจ้าวจึงเป็นคนที่มีชีวิต
ไม่ผ่อนคลายมากที่สุด
หันกลับไปมองหลงจวินที่เป็นผู้ฝึกกระบี่รุ่นเดียวกัน เขาแค่
ชอบถามกระบี่กับคนอื่นเท่านั้น ดูเหมือนว่าแพ้หรือชนะล้วนไม่
สำ คัญ ทุกครั้งที่เจอกับการทำสงครามก็ยิ่งไม่เคยสนใจเป็นตาย สง่า
งามมากกว่ากวานจ้าวที่ ‘ไม่กล้าตายง่ายๆ ’ มากนัก
ผู้นำสามคนของผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นนักโทษอาญา เฉินชิงตู กวาน
จ้าว หลงจวิน คือผู้ก่อตั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่
เพียงแต่ว่าเพิ่งจะหยัดยืนได้อย่างมั่นคงไม่นานเท่าไร ภายใต้
การนำของเฉินชิงตู ผู้ฝึกกระบี่ทั้งสามคนก็จับมือกันออก
เดินทางไกลอีกครั้ง
การถามกระบี่ต่อภูเขาทัวเยว่ที่ส่งผลกระทบลึกล้ำยาวไกล
ครั้งนั้นสามารถสกัดขวางบรรพบุรุษใหญ่แห่งภูเขาทัวเยว่ที่ขาดอีกแค่ครึ่งก้าวผู้นั้นเอาไว้ได้ ฝ่ายหลังที่เป็นผู้ครองใต้หล้าเปลี่ยวร้างคน
แรก สุดท้ายก็ไม่อาจหลอมฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคีของใต้
หล้าแห่งหนึ่งแล้วเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบห้าได้สำ เร็จ
และเฉินชิงตูสามคนก็ต้องจ่ายด้วยราคาที่เจ็บปวดอย่าง
ถึงที่สุด ‘ฝูผิง’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเฉินชิงตูแหลกสลายอย่าง
สิ้นเชิง จึงจำ ต้องผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ และเฉิน
ชิงตูก็ยิ่งสูญเสียความหวังที่จะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบห้าไป
เพราะเหตุนี้
หาไม่แล้วจากการอนุมานของมรรคาจารย์เต๋า ขอแค่ให้เวลา
เฉินชิงตูได้หลอมกระบี่อีกสองถึงสามพันปี ก็จะมีโอกาสกลายเป็น
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบห้าบริสุทธิ์ที่ ‘ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติการณ์
และจะไม่มีอีกในอนาคตกาล’
ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติการณ์ เพราะผู้ฝึกกระบี่ที่มีหวัง
จะเลื่อนเป็นขอบเขตนี้ถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลกดข่มเอาไว้ ต่าง
ก็ตายไปกลางคันทั้งสิ้นไม่มีอีกในอนาคตกาล เพราะขอแค่เฉินชิงตูเลื่อนเป็นขอบเขต
นี้ก็เหมือนได้ยึดครองวิถีกระบี่เส้นหนึ่งเพียงลำพัง ยืนอยู่บนสะพาน
ไม้แคบ ไม่มีที่ให้หลีกทางให้คนข้างหลัง
ปรมาจารย์มหาปราชญ์เคยพาหลี่เซิ่งไปโน้มน้าวเฉินชิงตูที่
กำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยกัน แต่คำโน้มน้าวกลับไม่เป็นผล
เฉินชิงตูเพียงแค่ใช้สองประโยคสกัด ‘บัณฑิต’ สองคนกลับไป
‘ผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเราไม่แน่เสมอไปว่าจะทำเรื่องที่ถูกต้อง
ที่สุด’
‘บัณฑิตอย่างพวกเจ้า จำ เอาไว้ว่าต้องรักษาสัญญา’
เดิมทีหลงจวินก็ไม่พอใจกับการที่ผู้ฝึกกระบี่ต้องกลายมาเป็น
นักโทษอาญาอยู่แล้ว เป็นเหตุให้การเดินทางไกลครั้งนั้น หลงจวิน
ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมีชีวิตรอดกลับมาที่กำแพงเมืองปราณ
กระบี่
เขาเตรียมจะใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่บริสุทธิ์ หาใช่สถานะของ
ชาวบ้านลี้ภัยนักโทษอาญาของกำแพงเมืองปราณกระบี่อะไรไม่หลงจวินต้องการใช้วิธีการที่เกริกก้องสะเทือนเลือนลั่นมากที่สุด
มาปิดฉากชีวิตของตัวเอง
ดังนั้นหลังจากที่ ‘ร่างตาย’ ไป สำ หรับกำแพงเมืองปราณกระบี่
ก็ดี สำ หรับสหายเก่าที่เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาอย่างเฉินชิงตูก็
ช่าง หลงจวินไม่ติดค้างใครอีกแล้ว
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของหลงจวินมีชื่อว่า ‘สุสานเซียนต้าซวี’
ศึกเดินขึ้นเขา บวกกับก่อนเดินขึ้นเขา ผู้ฝึกกระบี่อาวุโสที่อยู่บน
พื้นดินในโลกมนุษย์ซึ่งตายไปไม่มีที่ให้ฝังศพ มีมากมายนับไม่ถ้วน
เขาหลงจวินสามารถใช้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเป็นสุสานก็ถือว่า
เป็นเรื่องที่โชคดีมากแล้ว
ส่วนกวานจ้าวก็ยิ่งได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่
พิเศษมากเล่มหนึ่ง
ภายในเวลาสองสามพันปีก่อนหมื่นปีนั้น ผู้ฝึกกระบี่ที่ถูกสิ่ง
ศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลหมายหัวเล่นงานมากที่สุด ก็คือกวานจ้าวที่ได้
ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘แม่น้ำแห่งกาลเวลา’ ถึงขั้นที่ว่า
ไม่มีหนึ่งในดังนั้นเส้นทางการฝึกตนของกวานจ้าวจึงมีอุปสรรคที่สุด
อันตรายที่สุด ผู้ฝึกกระบี่ที่ช่วยปกป้องมรรคาให้กวานจ้าวมีมาก
ไม่ขาดสาย คนข้างหน้าล้มลงไปคนข้างหลังก็กระโจนเข้าต่อสู้อย่าง
ต่อเนื่อง ลำพังแค่จำ นวนของผู้ฝึกกระบี่ ‘เซียนดิน’ บรรพกาลที่
ล้มหายตายจากไปก็มากถึงสองมือนับ
ปรมาจารย์มหาปราชญ์เก็บความคิดกลับคืนมา ถามว่า “หาก
สืบสาวไปถึงต้นกำเนิดล่ะ ภูเขามีเส้นชีพจรมังกร น้ำมีต้นกำเนิดนะ”
เฉินผิงอันกล่าว “ปีนั้นอาจารย์หลี่ได้บอกหลักการเหตุผลข้อ
หนึ่งแก่หน่วนซู่น้อย แม้ว่าข้าจะแค่ฟังอยู่ข้างๆ แต่หลังจากนั้นมาข้า
ก็จดจำ เอาไว้ในใจมาโดยตลอด”
หลี่ซีเซิ่งแห่งถนนฝูลู่เคยไปหาเฉินผิงอันที่ตรอกหนีผิง
ตอนนั้นเฉินผิงอันเพิ่งกลับมาจากการเดินทางไกลครั้งแรก
ข้างกายมีเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูติดตามมา
ด้วย
ครั้งนั้นหลี่ซีเซิ่งสอนเหตุผลให้กับเด็กชายชุดเขียวที่เคยชินกับ
การ ‘พูดจาไม่ปิดประตู’ บอกว่าตัวอักษรทุกตัวบนโลกใบนี้ล้วนมีพลัง ตัวอักษรรวมตัวกันกลายเป็นคำ คำร้อยเรียงกลายเป็น
ประโยค ประโยคร้อยเรียงกันเป็นบทความ มหามรรคาก็อยู่ในนั้น
ประโยคนี้เฉินหลิงจวินไม่เก็บมาใส่ใจ เข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา
แต่กลับทำให้เฉินผิงอันจดจำ ได้อย่างลึกซึ้ง แม้ว่าจะไม่ได้แกะสลัก
ไว้บนแผ่นไม้ไผ่ในภายหลัง แต่ก็จดจำ ไว้แม่นในใจเสมอมา
ภายหลังหน่วนซู่น้อยยังปลุกความกล้าถามคำถามที่นางสงสัย
มาเนิ่นนานกับบัณฑิตคนนั้น เหตุใดตอนที่อ่านหนังสือ จู่ๆ ก็
เหมือนกับว่าจำ ตัวอักษรบางตัวไม่ได้แล้ว รู้สึกว่ามันแปลกหน้าเสีย
อย่างนั้น
หลี่ซีเซิ่งยิ้มให้คำตอบ บอกว่าเพราะบางชั่วขณะเวลา ตัวอักษร
บนหนังสือก็ได้ถูกอริยะบางคนแอบขโมยไปใช้
เห็นได้ชัดว่าหน่วนซู่น้อยในเวลานั้นไม่ค่อยเชื่อคำกล่าวที่ลี้ลับ
นี้ นางจึงเถียงอาจารย์หลี่กลับไปโดยตรง เมื่ออยู่ในสายตาของคน
บางคนที่เฝ้าดูอยู่ก็เหมือนเป็นการ ‘สั่งสอน’ อาจารย์หลี่ไปคำรบหนึ่ง
นี่คือภาพเหตุการณ์ที่พบเห็นได้ยากนัก
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!