สรุปตอน บทที่ 75 หลงทาง – จากเรื่อง moneybags พ่อฉันเป็นเจ้าสัว โดย Light-Knight
ตอน บทที่ 75 หลงทาง ของนิยายใช้ชีวิตเรื่องดัง moneybags พ่อฉันเป็นเจ้าสัว โดยนักเขียน Light-Knight เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
บทที่ 75 หลงทาง
ไม่ใช่หลงทางแล้วเหรอเนี่ย ?
มันก็ไม่ถูกนี่นา ตอนที่ตัวเองออกจากบ้านก็ได้บอกพ่อแม่บุญธรรมไปแล้วนี่ ดังนั้นไม่น่าจะเป็นแบบนี้
เมื่อในใจของจักรชัยนึกถึงตรงนี้ จึงกระวนกระวายอยู่บ้าง
ดังนั้นเมื่อรับสายแล้ว เขาจึงรีบถามขึ้นอย่างตื่นตระหนก
“พ่อครับ เกิดอะไรขึ้นเหรอ ?”
“จักรชัย เมื่อกี้ตอนที่ฉันกับแม่ของคุณกินอาหารเสร็จก็พากันออกมาเดินเล่น แต่พอดีว่าตอนกลับ พวกเขาไม่ให้พวกเราเข้าไปแล้ว มีการบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่ฉันกับแม่ของคุณจะได้มาอยู่ในคฤหาสน์แบบนี้”
ก็คือพวกตาหมามองคนต่ำนั่นเอง
“เปลี่ยนหมาเฝ้าประตูแล้วเหรอ”
ในเมื่อคนอื่นมาดูถูกตัวเอง ถ้าอย่างนั้นตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจแล้ว
“ว่าใครเป็นหมาเฝ้าประตู ?”
ทันใดนั้นก็มีเสียงที่ไม่คุ้นเคยเสียงหนึ่งส่งออกมาอย่างดุดัน
“จักรชัย ตอนนี้ฉันเปิดลำโพงอยู่นะ”
คำพูดที่จนปัญญาของพ่อใหญ่ส่งออกมา เขาเองก็นึกไม่ถึงเลยว่าคำพูดของจักรชัยมันจะแสบหนูขนาดนี้ ในตอนนี้ก็เลยอับอายอยู่บ้าง
“อ้าว เปิดลำโพงก็เปิดลำโพงไปสิ”
สำหรับเรื่องที่ด่าคนว่าเป็นหมาเฝ้าประตูนี้ จักรชัยก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองทำผิดอะไร
ดังนั้นเขาจึงได้เอ่ยปากพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่สบายๆ เช่นเดิม
“มาว่าพ่อแม่ของฉันไม่สามารถมาอยู่ในคฤหาสน์นี้ได้ ไอ้สารเลวนี้มันก็คือไอ้ตาหมามองคนต่ำ ฉันพูดไม่ผิดหรอก ไอ้หมาเฝ้าประตู”
“แก......”
ตรงจักรชัยนั้นกำลังพูดอย่างสบายใจ
ส่วนตรงพวกพ่อใหญ่สองคนนี้เห็นยามโกรธมาก จึงไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร
“จักรชัย ฟังพ่อนะ พูดดีๆ หน่อย”
ในที่สุดพ่อใหญ่ก็เป็นคนเอ่ยปากเกลี้ยกล่อม จักรชัยถึงสามารถเก็บอารมณ์โมโหที่จะด่าคนเอาไว้ได้
“นั่นใครน่ะ ยามใช่ไหม ?”
เขาได้เอ่ยปากถาม เมื่อมั่นใจแล้ว จักรชัยจึงได้เอ่ยปากพูดไปลอยๆ
“คุณก็ไม่ใช่คนแรกที่ดูถูกพวกเราหรอก”
“หึ”
ขณะที่ยามกำลังโกรธ จักรชัยจึงเอาเรื่องที่ซื้อคฤหาสน์ในอดีตมาเล่าให้เขาฟัง
จากนั้นจึงได้พูดจาดีๆ
“ลุงยาม ตอนนี้ผมมีเรื่องสำคัญต้องจัดการ ขอรบกวน......”
“ไม่ได้ ผมมีหน้าที่ ประทานโทษนะครับ อย่าทำให้ผมต้องลำบากใจเลย”
ในความเป็นจริง จักรชัยก็รู้เป็นอย่างดีแล้ว
ยามคนนี้ก็แค่พูดให้น่าฟังเท่านั้น ความเป็นจริงคิดอย่างไรใครๆ ต่างก็รู้ดี
จากเรื่องที่ตัวเองด่าคนไปเมื่อกี้ ไม่ว่าอย่างไรวันนี้เขาอาจจะไม่ผ่อนผันให้กับตัวเองแน่ๆ
แต่ว่าจักรชัยก็ไม่ได้รู้สึกผิดอะไร
แต่ถ้าคุณไม่ผ่อนผันให้ก็อย่าคิดว่าจะรอดพ้นจากการลงโทษของฉันก็แล้วกัน
“พ่อครับ รอผมสักครู่นะ ผมจะไปเดี๋ยวนี้เลย”
เมื่อต้องเผชิญกับคนที่ไร้เหตุผล ทางเลือกที่ดีที่สุดคือลงมือทำ
แต่เมื่อจักรชัยนึกถึงงานเลี้ยงตรงนี้ก็ปวดหัวแล้ว
หลังจากวางสายไปแล้ว เขาก็ยืนอยู่ตรงนั้นชั่วครู่ จนกระทั่งธีรพลมาหาตัวเอง
“ว่าไงน้องชาย เกิดอะไรขึ้นเหรอ ? ทำเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว”
ธีรพลเอ่ยปากพูดหนึ่งประโยคนี้ แล้วเอามือไปจับไล่ของจักรชัยจากด้านหลัง
น่าเสียดายที่จักรชัยกำลังหงุดหงิดอยู่ จึงไม่อยากจะไปสนใจเขา
“อย่ามายุ่งกับผม”
สะบัดไหล่และปฏิเสธมือของธีรพล
“แหนะ นิสัยใจคอของคุณนี่จริงๆ เลย จะให้ฉันเรียกคุณว่าอะไรดีเนี่ย ?”
ธีรพลทนไม่ได้จึงถอนหายใจ จากนั้นตรงไปด้านหน้าของจักรชัยแล้วเอ่ยปากพูด
“มีเรื่องอะไรคุณก็บอกผม อย่าทำแบบนี้สิ”
“ถึงพูดกับคุณไปมันก็แก้ปัญหาไม่ได้หรอก”
จักรชัยเบะปากแล้วเจตนาทำท่าทางดูถูกคน
“งานเลี้ยงวันนี้พวกเราก็ตั้งใจจัดเพื่อคุณ แล้วยังมีนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่มามากมายขนาดนี้ คุณนี่......”
ธีรพลสังเกตได้ว่าสีหน้าของจักรชัยดูไม่ค่อยดี จึงเข้าใจว่าเขาต้องเข้าใจตัวเองผิดไปแล้วแน่ๆ
“น้องชาย คุณเข้าใจฉันผิดแล้ว พี่ก็แค่คิดว่าแม้คุณรีบขนาดไหนก็ควรจะไปทักทายคนอื่นก่อนไหม ?”
เมื่อคำพูดของธีรพลจบไป จักรชัยก็รู้สึกดีมากขึ้น
“พี่ชายครับ ผมเข้าใจแล้วครับ”
“อืม งั้นคุณก็ปรับอารมณ์ก่อนแล้วค่อยตามมานะ”
ธีรพลไม่ได้รู้จักจักรชัยดีพอ ดังนั้นเขากลัวว่าหากพูดมากไปจะยิ่งผิดพลาดมากไปด้วย
โดยเฉพาะเมื่อกี้ แค่ธีรพลนึกถึงก็รู้สึกกลัวแล้ว
เอาล่ะ รีบหนีก่อนดีกว่า
อย่างไรก็ตาม ตัวเองก็พูดไปซะขนาดนั้นแล้ว จักรชัยก็น่าจะเข้าใจ
หลังจากธีรพลจากไปได้ไม่นาน จักรชัยก็ปรากฏตัวอยู่ในสถานที่จัดงานอีกครั้ง
เมื่อเขาเพิ่งมาถึงตรงนั้นก็รีบโค้งคำนับให้กับทุกคนอีกครั้งพร้อมกับขอโทษขออภัย
“ทุกท่านครับ ขอบคุณทุกคนที่มาร่วมงานเลี้ยงของผมในวันนี้ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ผมมีเรื่องด่วนพอดี จึงต้องขอลาไปก่อนครับ”
หลังจากจักรชัยพูดคำที่ควรจะพูดจบในรวดเดียวก็พร้อมจะก้าวลงไปทันที
“น้องชาย เดี๋ยวก่อน”
ในช่วงเวลาสำคัญ ธีรพลก็เอ่ยปากพูดขึ้น
จักรชัยมองไปยังทิศทางที่เขากำลังพูดด้วยสีหน้าสงสัย
สิ่งที่ตัวเองควรจะพูดก็ได้พูดไปแล้ว ทำไมถึงยังไม่ให้ตัวเองไปอีกเนี่ย
“อะแฮ่ม”
เมื่อเผชิญกับความสงสัยของจักรชัย ธีรพลจึงกระแอมไปสองสามครั้งอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับทุกคนว่า
“ทุกท่านครับ ผมแน่ใจว่าทุกคนคงทราบดีว่างานเลี้ยงในวะนนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่น้องชายของผม”
“และนี่ เขาก็คือน้องชายของผมเอง แล้วก็เป็นคนของตระกูลหัสบดินทร์ด้วย ชื่อ จักริน”
จักริน ?
มุมปากของจักรชัยกระตุกขึ้นอย่างหมดหนทาง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: moneybags พ่อฉันเป็นเจ้าสัว