คิ้วของฉีเฟยอวิ๋นขมวดเข้าหากันเล็กน้อย : “หงเถา แม้ว่าเจ้าจะเป็นเด็กของข้า แต่ในสายตาของข้า สถานะของเราล้วนเท่าเทียม ข้าไม่ขอให้ใครในพวกเจ้าเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว มีฐานันดรสูงศักดิ์ และไม่หวังให้พวกเจ้าเป็นอะไรไปเพราะข้า ขอแค่พวกเจ้าไม่ทรยศข้า ร่างกายแข็งแรง มีชีวิตยืนยาวร้อยปีก็พอแล้ว
จวินฉูฉู่นางดูหมิ่นข้าก่อน เจ้าออกหน้าเพราะข้าไม่ได้รับความยุติธรรม นั่นคือความดีของเจ้า เจ้าไม่ต้องตำหนิตนเองหรอก”
หงเถาอยากจะร้องไห้ จึงรีบกล่าวว่า : “ขอบพระคุณชายาเจ้าค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นมองออกไป : “เจ้านี่ไม่ได้เรื่องจริง ๆ โตขนาดนี้แล้วยังจะร้องไห้อีก พวกเจ้าแค่จำไว้ว่าพวกเจ้าเป็นคนของข้า ข้าไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมารังแกพวกเจ้าทั้งนั้น รังแกพวกเจ้าก็เท่ากับรังแกข้าด้วย ข้าไม่ยอมเด็ดขาด
ท่านอาจารย์ข้าเคยกล่าวว่า รังแกข้าได้ รังแกคนของข้า ไม่ได้!”
ฉีเฟยอวิ๋นนึกถึงคำกล่าวของซูมู่หรง และยิ้มออกมา
นางจำได้ว่าครั้งหนึ่งที่ออกไปกินข้าวข้างนอก มีคนเห็นนางดูท่าทางบอบบาง จึงคิดว่าคงจะรังแกนางได้ง่าย ๆ จึงผลักนาง นางไม่ได้สนใจนัก ถึงอย่างไรมันก็มาหาเรื่องแล้วก็แค่ต้องจัดการ ให้มันจบ ๆ ไปเท่านั้น
ผลสุดท้ายซูมู่หรงเห็นเข้า ซูมู่หรงจึงจับแขนและขาของคนนั้นหักอย่างไร้ความปรานี
อีกฝ่ายจ้องเขม็งไปทางซูมู่หรง เขาจึงข่มขู่อีกฝ่ายว่าแน่จริงก็ทิ้งชื่อไว้สิ
ซูมู่หรงพูดออกไปเช่นนั้น
“พระชายา ท่านยิ้มอะไรหรือเจ้าคะ?”
ลี่ว์หลิ่วคิดว่าฉีเฟยอวิ๋นเป็นอะไรไป จึงอดเอ่ยถามไม่ได้
“ไม่มีอะไร นึกถึงท่านอาจารย์เฉย ๆ”
“พระชายา ท่านอาจารย์มีลักษณะเช่นไรหรือ เขาเป็นผู้เฒ่า ผมขาว มีเครายาวใช่หรือไม่เจ้าคะ?” หงเถาถามขึ้นด้วยความกระตือรือร้น
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหน้า : “เขายังวัยเยาว์นัก บุคลิกลักษณะองอาจห้าวหาญ แข็งแรงและน่าเกรงขาม...”
“หึ....เขาหล่อเหลาเท่าข้าหรือไม่?” หนานกงเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก ฉีเฟยอวิ๋นฉลาดนัก กลัวอะไรมักได้เช่นนั้น เขามาได้อย่างไรเนี่ย?
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นหนานกงเย่ยืนอยู่ตรงข้ามด้วยใบหน้าเย็นชา และมองนางด้วยความไม่พอใจ
ดวงตาคู่นั้นของเขาดำสนิทราวกับหมึก จ้องเขม็งฉีเฟยอวิ๋นด้วยสายตาคมกริบดุจมีด ฉีเฟยอวิ๋นยิ้มด้วยความอึดอัดใจ : “แน่นอนว่าท่านต้องหล่อเหลากว่า ข้าแค่พูดไปเรื่อยเท่านั้น”
“พูดไปเรื่อย? ข้าว่าไม่น่าใช่นะ” หนานกงเย่เดินเข้ามาใกล้ ออกแรงดึงมือของฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นคิดอยากดึงมือกลับ ผลสุดท้ายก็ถูกบีบแรงขึ้น
“เจ้ายังกล้าหลบเลี่ยง? ข้าน่ารังแกมากใช่หรือไม่?”
“........”
ฉีเฟยอวิ๋นสับสน เขาน่ารังแกตรงไหน?
เมื่ออาอวี่และคนอื่น ๆ เห็นสถานการณ์นี้ กลับไม่มีผู้ใดกล้าอยู่ต่อ พากันหมุนตัวและรีบเดินจากไปทันที
ทิ้งฉีเฟยอวิ๋นให้ต่อสู้เพียงลำพัง ฉีเฟยอวิ๋นอดวิตกกังวลไม่ได้ เมื่อครู่เพิ่งเอาความดีความชอบ พริบตาเดียวก็พาหันหมุนตัวเดินจากไปแล้ว จะแย่กันเกินไปแล้วนะ!
เป็นอย่างที่คาดคิดไว้ แค่สหาย ก็ยังเชื่อถือไม่ได้
ฉีเฟยอวิ๋นคลี่ยิ้ม : “หม่อมฉันก็แค่พูด”
“ข้าได้ยินหมดแล้ว” หนานกงเย่โอบกอดฉีเฟยอวิ๋นไว้ ด้วยความไม่พอใจ กล้าชมผู้ชายคนอื่นยามเขาไม่อยู่ อยากให้เขาตายนักใช่หรือไม่!
“ก็ได้ ท่านอยากคิดอย่างไรก็อย่างนั้น ข้าแค่พูดความจริง ไม่รู้เพราะเหตุใดท่านถึงมักกัดข้าไม่ปล่อยอยู่เรื่อย?”
ฉีเฟยอวิ๋นจะเดินจากไป หนานกงเย่กลับจนปัญญา กลัวนางจากไป จึงยิ่งขุ่นเคืองที่นางนึกถึงผู้อื่น ยิ่งคิดก็ยิ่งหดหู่ใจนิ่งนัก
หมัดของเขากลับชกลงไปบนปุยฝ้าย เนื่องจากออกแรงอย่างหนัก ใยฝ้ายกลับกระจายกระจายออกมา นั้นทำให้เขายิ่งโกรธ!
ฉีเฟยอวิ๋นอยากเดินออกไปแต่หนานกงเย่ไม่ยอม ต่างคนต่างดื้อดึง จนฉีเฟยอวิ๋นถูกดึงจนเจ็บ
“เจ็บ” ฉีเฟยอวิ๋นตะโกนออกไป มือของหนานกงเย่รีบดึงตัวนางมาดูทันที
“ข้าไม่ดีเอง ทำเจ้าบาดเจ็บ แต่ข้าก็ไม่พอใจ เจ้าคิดถึงเขา!”
หนานกงเย่รีบพูดจนจบ และลูบไปบนมือของฉีเฟยอวิ๋นอย่างอ่อนโยน
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางหนานกงเย่แวบหนึ่ง : “ท่านอย่าพูดเหลวไหล หม่อมฉันไม่ได้คิดถึงเขา หม่อมฉันแค่นึกถึงเรื่องราวที่เกี่ยวกับเขาเท่านั้น มีแต่ท่านที่ปล่อยวางอดีตไม่ได้”
“ข้าไม่มีอดีต” หนานกงเย่ยังคงยืนหยัด
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางเขา : “ก็ถือว่าใช่ ต่อไปหม่อมฉันจะเปลี่ยนมันเอง ตกลงไหมเจ้าคะ?”
“ไม่อนุญาตให้นึกถึง หากจะนึกถึงก็นึกถึงข้า” หนานกงเย่ดึงฉีเฟยอวิ๋นกลับมาด้วยความขุ่นมัว ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามไปอย่างว่าง่าย ถือว่าสงบศึกแล้ว
เดินไปไม่ถึงครึ่งทาง หนานกงเย่ก็ยื่นมือออกไปดึงนางไว้ และใช้มืออีกข้างลูบอย่างอ่อนโยน สภาพจิตใจเริ่มดีขึ้น ก่อนจะเลื่อนมือของฉีเฟยอวิ๋นมาตรงปากและพรมจูบเล็กน้อย เขาคลี่ยิ้มอย่างเบิกบาน อารมณ์ดีขึ้นอย่างชัดเจน
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางใบหน้าที่เคร่งขรึมของหนานกงเย่อย่างไม่สบอารมณ์ เขาดูราวกับป่วยจิต ไม่ต้องให้ตนปลอบก็ดีขึ้นแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ