“กงกง ช่วงนี้ฝ่าบาทประทับอยู่ที่ไหนหรือ” การที่ฮองเฮาถูกวางยาพิษเป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจโต้แย้ง เพียงแต่ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจว่าฮองเฮาถูกวางยาพิษได้อย่างไร
สวีกงกงมองไปรอบๆ ก่อนจะเอ่ยว่า “ประทับอยู่กับหวงกุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ”
“พระสนมเซียว?” ภายในวังนี้มีสตรีไม่มากนัก ซึ่งก็คือหวงกุ้ยเฟยเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ!” ดูเหมือนสวีกงกงจะตระหนักถึงอะไรบางอย่างและมองฉีเฟยอวิ๋นอย่างลำบากใจ
“เช่นนั้นที่ฝ่าบาทออกมาตอนกลางดึก พระสนมเอกรู้หรือไม่”
“รู้พ่ะย่ะค่ะ ช่วงหลังมานี้พระสนมเอกก็ทรงไร้เรี่ยวแรง ทุกๆ คืนพระนางจะกลัวว่าคนจะรู้เรื่องนี้ จึงลั่นดาลประตูเอาไว้ พร้อมกันนั้นก็ให้บ่าวเตรียมยา รอจนถึงตอนที่นางกำนัลจะเข้านอนแล้วจึงให้ทุกคนกิน หลีกเลี่ยงไม่ให้มีคนรู้
ทว่าถึงจะทำเช่นนี้แต่พระสนมเอกก็ยังทรงกังวลมาก
ทหารองครักษ์จำเป็นต้องลาดตระเวน ดังนั้นทุกวันพระสนมเอกจึงทรงนอนไม่หลับและคอยเฝ้ามองฝ่าบาทเกือบทั้งคืน
เมื่อคืนไม่รู้ว่าฝ่าบาทเป็นอย่างไร ทรงดูราวกับเป็นภูตผีปีศาจ พระองค์จะเสด็จออกไปจากตำหนักจิ่นซิ่ว พระสนมเอกพยายามจะห้าม แต่ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ
พระสนมเอกไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้ใครรู้และรอคอยพระชายาเย่อยู่ตลอด”
“มีเรื่องนี้ด้วยหรือ” ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจ นางหันไปมองหนานกงเย่
“ในเมื่อหวงกุ้ยเฟยคิดถึงอวิ๋นอวิ๋น เช่นนั้นข้าจะคอยดูอยู่เป็นเพื่อนสักประเดี๋ยว”
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้ารับขณะที่หนานกงเย่พูด “เช่นนั้นควรไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทหรือว่าไปเข้าเฝ้าพระสนมเอกก่อนเพคะ”
“เข้าเฝ้าฝ่าบาทก่อน”
หนานกงเย่ก้าวเดินพลางขมวดคิ้ว หน้าตาดูแย่เหมือนอะไรสักอย่าง เมื่อเขามาในวัง ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกไม่ค่อยดี นางไม่ชอบการเข้าวัง เมื่อนึกถึงคนที่ต้องเผชิญหน้าและการที่ต้องคุกเข่านางก็รู้สึกกดดันขึ้นมา ยิ่งเมื่อเห็นสีหน้าที่ดูไม่ดีนักของหนานกงเย่ นางก็ยิ่งรู้สึกแย่ลงไปอีก
สวีกงกงรีบตรงไปข้างหน้าและนำทั้งสองไปยังพระตำหนัก
ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองอีกาตัวเล็กตัวหนึ่ง อีกาตัวนั้นบินไปเกาะอยู่ที่กระเบื้องบนหลังคาพลางยืนรอพวกเขา
เมื่อไปถึงพระตำหนักบำรุงฤทัย สวีกงกงจึงเข้าไปทูลรายงาน จากนั้นจักรพรรดิอวี้ตี้จึงรับสั่งให้พวกเขารีบเข้าไปหา
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท”
หลังจากทั้งสองถวายความเคารพ จักรพรรดิอวี้ตี้จึงกล่าวว่า “ลุกขึ้นเถิด”
เวลานี้สวีกงกงถอยออกไปแล้ว เมื่อประตูพระตำหนักปิดลง หนานกงเย่จึงก้าวขึ้นบันไดไป ซึ่งนั่นทำให้ฉีเฟยอวิ๋นตกใจ นี่มันจะผิดจารีตเกินไปแล้ว
ถึงอย่างไรจักรพรรดิอวี้ตี้ก็เป็นจักรพรรดิ แม้จะร้อนใจมากแค่ไหนก็ไม่ควรขึ้นไปเช่นนี้
ทว่าหนานกงเย่ขึ้นไปถึงข้างบนแล้ว และจักรพรรดิอวี้ตี้ก็ไม่ได้ทรงคิดเล็กคิดน้อย พระองค์เงยหน้ามองหนานกงเย่ “กลับมาแล้วหรือ”
หนานกงเย่ถามว่า “เหตุใดสีหน้าพระองค์จึงดูแย่เช่นนี้”
“ช่วงหลังมานี้ไม่มีแรงกำลังเลย เมื่อวานไปนอนที่ราชสำนัก แล้วตอนค่ำก็ทำร้ายพระสนมเอกเซียว” จักรพรรดิอวี้ตี้เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นที่อยู่ด้านล่าง “ขึ้นมาสิ”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่กล้าเหมือนหนานกงเย่ ตั้งแต่เกิดเรื่องคราวก่อนนางก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามและไม่อยากจะเชื่อคำพูดอันหลอกลวงของจักรพรรดิอวี้ตี้อีก
“เพคะ ฝ่าบาท”
ฉีเฟยอวิ๋นขึ้นไปและมองจักรพรรดิอวี้ตี้ พระองค์หันข้างอยู่ตลอด ฉีเฟยอวิ๋นจึงมองพระพักตร์ของพระองค์ไม่ชัด แต่ทันทีที่เข้าไปใกล้จนเห็นสีหน้าชัดๆ ฉีเฟยอวิ๋นก็เห็นว่าพิษแล่นเข้าสู่หัวใจพระองค์แล้ว และก็เข้มข้นมากด้วย
“ฝ่าบาท หม่อมฉันขอตรวจนะเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นรีบบอก จักรพรรดิอวี้ตี้พยักหน้า จากนั้นหนานกงเย่จึงหาที่นั่งมาให้ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลงตรวจข้อพระกรของจักรพรรดิอวี้ตี้ จากนั้นจึงเริ่มการตรวจภายใน
“พิษเข้มข้นเกินไป”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้ว่าจะพูดอะไรได้อีก นางละมือและมองจักรพรรดิอวี้ตี้เช่นนั้น
จักรพรรดิอวี้ตี้ตรัสว่า “พระสนมเอกเซียวถูกข้าทำให้บาดเจ็บ”
“อีกครู่หม่อมฉันจะตรวจให้ ฝ่าบาทโปรดดื่มเลือดหม่อมฉันสักนิดก่อนเพคะ บางทีอาจจะมีประโยชน์ ก่อนที่ไป๋ซู่ซู่จะเสียชีวิต นางได้ให้ยาแก้พิษเข้าไปในร่างกายของหม่อมฉัน ซึ่งล้างพิษได้ หม่อมฉันทำได้แค่ลองดู หวังว่าจะช่วยได้”
ฉีเฟยอวิ๋นหยิบกริชขึ้นมา ทันทีที่ปาดลงไปเลือดก็ไหลออกมา ซึ่งนี่เป็นการกระทำที่ไม่มีใครคาดคิด
หนานกงเย่สีหน้าอึมครึม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ