ในรถม้านั้นเงียบลงสงัด ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้ยินเสียงบางอย่างร่วงลงมาบนรถม้า อาอวี่จึงกล่าวขึ้นว่า “เจ้าอีกาน้อยกลับมาแล้ว”
“ให้นางเข้ามา” ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางม่านหน้าต่างของรถม้า ก่อนจะเปิดออก เจ้าอีกาน้อยจึงได้โบยบินเข้ามาจากด้านนอก มาเกาะบนไหล่ของฉีเฟยอวิ๋น
มู่เหมียนมองไปบนต้นขาอย่างเหม่อลอย ในระหว่างที่ใจลอยนั้น ก็ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
ฉีเฟยอวิ๋นลูบไปบนศีรษะที่ดูเย่อหยิ่งของเจ้าอีกาน้อย : “กลับมาแล้วก็พักผ่อนเสียหน่อย ไปอยู่ในอ้อมกอดของเจ้าจิ้งจอกน้อยไป”
เจ้าอีกาน้อยไม่ยินยอมเป็นธรรมดา นางมองไปยังเจ้าจิ้งจอกน้อยที่ขดตัวนอนอยู่ จึงฝืนหลับในอยู่บนไหล่ของฉีเฟยอวิ๋น
เมื่อรถม้ามาถึงจวนกั๋วจิ้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็พาเจ้าอีกาน้อยวางลงข้างกายของเจ้าจิ้งจอกน้อย : “อย่าทะเลาะกันละ”
จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็ลุกขึ้นและเดินลงจากรถม้าไป เวลานี้มู่เหมียนยังคงเหม่อลอยอยู่ ในขณะที่ลงจากรถม้านางเกือบสะดุดล้มทีเดียว สร้างความตกใจให้แก่ฉีเฟยอวิ๋นเป็นอย่างมาก
นางหันไปมองมู่เหมียน ซึ่งก็เห็นว่ามู่เหมียนไม่เป็นอะไร เหมือนกับพยายามปกปิดความตื่นตกใจกับนาง
ไม่ทันรอให้ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวสิ่งใด มู่เหมียนก็แสร้งมองไปยังฉีเฟยอวิ๋นด้วยสีหน้าจริงจัง จากนั้นก็เดินเข้าจวนกั๋วจิ้วไป
ทันทีที่ฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปในจวนกั๋วจิ้วก็มีคนเดินออกมา ครั้นเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็กุลีกุจอเดินมาด้านนี้ เพื่อต้อนรับฉีเฟยอวิ๋น
คนผู้นี้เป็นจวิ้นอ๋องของจวนกั๋วจิ้ว เป็นพี่ใหญ่ของมู่เหมียน แต่อายุอานามกลับมากกว่ามู่เหมียนมากโข กระทั่งเป็นพ่อของมู่เหมียนเห็นจะได้
“พระชายาเย่” หวังเสียนโค้งคำนับพร้อมกล่าวทักทายกับฉีเฟยอวิ๋น ในจังหวะนี้ฉีเฟยอวิ๋นได้มองพิจารณาเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน รู้ว่าหวังเสียนเป็นผู้ใด เขาเป็นบุตรชายคนโตของต้ากั๋วจิ้ว รับหน้าที่สืบทอดฐานันดรอันสูงศักดิ์ของผู้เป็นบิดา ตอนนี้ได้ดำรงตำแหน่งเป็นจวิ้นอ๋องเป็นที่เรียบร้อย
“เสียนจวิ้นอ๋อง” ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางมู่เหมียนที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่งแล้วจึงกล่าวทักทาย
“เสด็จแม่ทรงไม่มีอาการปวดหัวแล้ว แต่หลายวันนี้ท่านยังคงนอนอยู่บนเตียงอยู่ตลอดไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้ พร่ำบอกว่าไม่มีเรี่ยวแรง ไม่ทราบว่าพระชายาเย่พอจะมีวิธีการใดที่ช่วยเสด็จแม่ให้พ้นความทุกข์ทรมานเช่นนี้บ้าง” เสียนจวิ้นอ๋องเป็นคนที่ดูไปแล้วเรียบง่ายและซื่อสัตย์มากผู้หนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นกลับไม่กล้าที่จะปฏิเสธคนเช่นนี้ ในขณะที่เขาพูดนั้นฉีเฟยอวิ๋นได้เดินยังลานหลังจวนแล้ว
เสียนจวิ้นอ๋องเดินตามมาตลอดทาง ฉีเฟยอวิ๋นจึงถือโอกาสนี้ชวนคุยสองสามเรื่อง
“ฮูหยินกั๋วจิ้วไม่มีสิ่งใดน่าเป็นห่วง เพียงแต่โรคนี้มาจากเลือดที่อุดตันอยู่ในสมอง หากรักษาได้ทันเวลา จะสามารถทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ขาคู่นั้นของนางก็จะไม่เป็นไร แต่หากช้าไปเพียงเสี้ยวนาที เกรงว่าคงไม่ทันการณ์ อาจจะเกิดผลกระทบต่อการเดินของขาคู่นั้นได้เจ้าค่ะ”
“หา....เรื่องนี้จะต้องมีทางรักษาสิ หลายวันมานี้เสด็จแม่นอนติดเตียงมาตลอด นางบอกว่าขาของนางไม่มีแรง” ทันทีที่ได้ยินว่าขาของเสด็จแม่จะใช้การไม่ได้อีกแล้ว เสียนจวิ้นอ๋องก็ยิ่งมีสีหน้ากระวนกระวายใจ
“ขอดูอาการก่อนแล้วค่อยว่ากันเจ้าค่ะ” ฉีเฟยอวิ๋นกลับไม่ได้เป็นกังวลมากเพียงนั้น
ทันทีที่เข้าไปฉีเฟยอวิ๋นก็มุ่งตรงไปจนกระทั่งเจอะเจอกับหวังฮวายเต๋อ เขาคือกั๋วจิ้ว ฉีเฟยอวิ๋นจึงเดินเข้าไปน้อมทักทาย : “กั๋วจิ้ว”
“พระชายาเย่ไม่ต้องเกรงใจหรอก เชิญด้านใน”
เปรียบเทียบกับคราที่แล้ว ครานี้กั๋วจิ้วหวังฮวายเต๋อพูดได้ว่ามีความอ่อนโยนอย่างมาก ซึ่งฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ชีวิตของฮูหยินกั๋วจิ้วต้องรักษาไว้ให้จงได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกอย่างที่ฉีเฟยอวิ๋นกระทำล้วนต้องซาบซึ้งใจเป็นธรรมดา
หวังฮวายเต๋อผู้นี้ดูเหมือนจะเข้าหาได้ยาก แต่ก็เป็นคนที่มีน้ำใจ เขารู้จักกตัญญูรู้คุณ
ยิ่งไปกว่านั้นถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นอาของหนานกงเย่ บางทีคนภายนอกอาจจะคิดว่าเขาไม่เห็นหนานกงเย่อยู่ในสายตา แต่พระพันปีเคยกล่าวไว้ เขาช่างดีกับหนานกงเย่มาก
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า พลางเดินไปหน้าเตียงของฮูหยินกั๋วจิ้ว
แม้ว่าจะไม่ชอบท่านอ๋องกั๋วจวิ้น แต่เจ้าตัวก็ได้สิ้นลมหายใจไปแล้ว ตอนนี้ก็ยังไม่เคยได้ยินว่าฉงหยางจวิ้นจู่จะทำสิ่งใดที่มันเกินเลยด้วย ฉีเฟยอวิ๋นเองก็ไม่ได้โต้เถียงสิ่งใด
ชีวิตคนอย่างไรก็ต้องช่วย ถึงอย่างไรนางก็เป็นหมอ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ