ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังทิศทางที่จากไปของหนานกงเย่อย่างหดหู่ใจ ที่เป็นเช่นนี้เพราะไม่ชอบออกมากินข้าวข้างนอกด้วยกันหรืออย่างไรกันแน่?
ไม่นานโจวต้าหมานก็ถูกอาอวี่พาตัวเข้ามา เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็เตรียมจะคุกเข่าลง แต่ฉีเฟยอวิ๋นรีบกล่าวขึ้นว่า : “ช่างเถอะ มานั่งกินข้าวเป็นเพื่อนข้า กินคนเดียวมันไม่อร่อย ท่านอ๋องมีเรื่องต้องไปจัดการเพิ่งออกไปเมื่อครู่”
โจวต้าหมานลุกขึ้นและมองไปบนโต๊ะ ซึ่งนางเองก็หิวมากจริง ๆ
“ขอบพระคุณพระชายาเจ้าค่ะ แค่หม่อมฉันได้นั่งกินเคียงข้างก็ถือว่าเป็นพระคุณอย่างสูงแล้ว คนเช่นหม่อมฉัน ไม่เหมาะสมที่จะร่วมมื้ออาหารกับพระชายาด้วยซ้ำ”
ฉีเฟยอวิ๋นทอดถอนใจ : “ไม่มีหรอกเรื่องที่ไม่เหมาะสมกับคน มีแต่คนต่างหากที่ไม่เหมาะสมกับเรื่อง อาหารมื้อนี้ปรุงออกมาเพื่อกิน หากไม่มีคนกิน เช่นนั้นก็เท่ากับไม่มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์ก็ต้องโยนทิ้ง โยนทิ้งก็ไม่ใช่ของที่ดีแล้ว”
โจวต้าหมานมองไปยังอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ ถึงกระนั้นนางก็ยังไม่กล้ากิน ฉีเฟยอวิ๋นจึงหยิบถ้วยและตะเกียบ : “กินเถอะ เจ้าไม่กิน ข้าก็ไม่อยากกินเช่นกัน”
โจวต้าหมานซาบซึ้งอย่างมาก จึงรีบกล่าวขึ้นว่า : “พระชายา หม่อมฉันเป็นคนหยาบกร้าน ท่านปฏิบัติเช่นกันกับหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าจะตอบแทนท่านได้อย่างไร คนภายนอกล้วนพูดกันว่าหม่อมฉันเป็นผู้ไร้การศึกษา ทั้งยังเยาะเย้ยว่าหม่อมฉันชอบหาเรื่องใส่ตัวอีกด้วย
มีแค่พระชายาที่ไม่ทอดทิ้งหม่อมฉัน”
โจวต้าหมานกล่าวพลางเช็ดน้ำตา ร้องไห้จนน่าสงสาร เหมือนกับเด็กน้อยที่โดนผู้อื่นรังแกอย่างไรอย่างนั้น
“นั่งเถอะ หยุดเพ้อได้แล้ว กินข้าวเสร็จข้าจะช่วยเจ้าตามหาสามีของเจ้า” ฉีเฟยอวิ๋นหยิบตะเกียบขึ้นมากินข้าว โจวต้าหมานมองอยู่ครู่หนึ่งก็รีบนั่งลงทันที
แต่นางพยายามไม่กินข้าวด้วยท่าทางที่ไร้มารยาทหยาบช้าถึงเพียงนั้น ฉีเฟยอวิ๋นลอบมองสังเกตตลอดเวลา โจวต้าหมานไม่ใช่คนโง่ นางแค่เคยชินกับสิ่งแวดล้อมเช่นนี้
หลังจากกินข้าวเสร็จฉีเฟยอวิ๋นก็ลุกขึ้น โจวต้าหมานจึงรีบลุกตามนางไป
ฉีเฟยอวิ๋นพาอาอวี่ไป เดินตามโจวต้าหมานไปยังเรือนของนาง
เวลานี้หน้าประตูเรือนของนางประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากสี กำลังเตรียมงานแต่ง
เมื่อโจวต้าหมานเห็นตัวอักษรสีแดงที่ติดอยู่หน้าจวนก็พลันร้องไห้ออกมา แต่นางกลัวว่าฉีเฟยอวิ๋นจะเห็น จึงรีบเช็ดคราบน้ำตาทันที
ในตอนที่ฉีเฟยอวิ๋นเห็นนางนั้น โจวต้าหมาน ก็ไม่ได้ร้องไห้แล้ว
และยังกล่าวว่า : “ประเดี๋ยวข้าจะเข้าไปฉีกหน้านังสารเลวนั้นให้สิ้นซาก”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกหดหู่ใจ เห็น ๆ อยู่ว่านางไม่ใช่หญิงที่ห้าวหาญเพียงนั้น ต้องมาแสดงอุ้งเท้าอ้วน ๆ ของตนเองข่มขู่ผู้อื่น
“ข้าอยู่ที่นี่ ไม่ต้องถึงกับต้องให้เจ้าเสียมารยาเพียงนี้ ในเมื่อเรื่องที่ผ่านมาข้าเองก็รู้หมดแล้ว คงจะให้เจ้ามาวุ่นวายไม่ได้”
โจวต้าหมาน ไม่กล้าพูดจามั่วซั่ว จึงรีบพยักหน้า
“อาอวี่ เข้าไปกันเถอะ”
ฉีเฟยอวิ๋นออกคำสั่งให้อาอวี่เดินเข้าไปด้านใน ฉีเฟยอวิ๋นพาโจวต้าหมานเดินตามเข้าไป
ทันทีที่เข้าไปพ่อบ้านที่อยู่ภายในก็วิ่งออกมา ก่อนถามว่าอาอวี่เป็นผู้ใด แต่เมื่อเห็นด้านหลังของอาอวี่ ก็รีบกล่าวกับอาอวี่ด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยวว่า : “พวกเจ้าออกไปเถอะ รองเสนาบดีไม่ได้อยู่บ้านข้า”
อาอวี่มองเข้าไป ด้วยสีหน้าไม่พอใจ : “ดูท่าทางบ้านของเจ้ากำลังจะมีงานมงคล เหตุใดรองเสนาบดีถึงไม่อยู่ในบ้านเล่า?”
“รองเสนาบดีจะอยู่หรือไม่อยู่ก็เป็นเรื่องของบ้านข้า เจ้าไม่ควรปรากฏตัวขึ้นที่นี่ด้วยซ้ำ จงทำตามที่ข้าบอก ออกไปซะ”
พ่อบ้านผลักอาอวี่ไล่อาอวี่ออกไป ผู้คนที่มาร่วมแสดงความยินดีพากันแต่งองค์ทรงเครื่องแต่งตัวเต็มยศพร้อมกับถือของขวัญติดไม้ติดมือ
การปรากฏตัวของอาอวี่มีบางคนในบรรดาพวกเขาจดจำอาอวี่ได้ จึงเริ่มเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ ตามคนเหล่านั้นไป
ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเจอเรื่องคึกคักเช่นนี้ ทุกคนต่างรู้เรื่องที่จางเฉิงต้องแต่งงานเพราะอยู่กินกันโดยไม่มีการสมรส แต่แม่นางโจวไม่ได้กล่าวสิ่งใด จนเรื่องลุกลามไปถึงที่ทำการปกครองเมือง เพียงแต่การที่ผู้ชายแต่งหลายเมียนั้นเป็นเรื่องธรรมดามาก จึงไม่มีใครสนใจเรื่องนี้เป็นธรรมดา
แต่ตอนนี้พูดไปก็คงไม่ดี
ฉีเฟยอวิ๋นเป็นใคร นางเป็นหญิงสาวที่ขี้อิจฉาคนหนึ่ง
องค์รัชทายาทผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่างก็ไม่กล้าสู่ขอพระชายารอง นางจึงต้องทนเห็นผู้อื่นทอดทิ้งของตายอย่างเมียคนแรก
เพื่อจะได้แต่งงานกับหญิงสาวที่อยู่กินด้วยกันจางเฉิงจึงได้ทิ้งของตายไป ซึ่งนางโจวก็ไม่ใช่คนที่ใครจะมารังแกโดยง่าย ว่ากันว่าในวันปกตินางมักจะมีเรี่ยวแรงมหาศาล ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน คนผู้นี้คิด ๆ ดูแล้วก็ล้วนน่ากลัวไม่น้อย ใคร ๆ ก็ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวกันทั้งนั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ