ฉีเฟยอวิ๋นมีเหตุผลเป็นของตัวเอง
"ท่านพ่อเจ้าค่ะ ท่านอย่าได้อาลัยอาวรณ์เลย การที่ได้รับใช้บ้านเมืองเป็นหน้าที่ที่พวกเขาเกิดมาแล้วต้องทำ
เกิดในพสุธานี้ เกิดในแว่นแคว้นนี้ก็ย่อมคุณสร้างคุณูปการให้แก่แคว้นนี้
บิดาและท่านตาของพวกเขาล้วนลำบากตรากตรำเพื่อบ้านเมือง แล้วพวกเขาจะมีเหตุผลอันใดต้องอยู่อย่างสุขสบายด้วยเล่า?
ตอนนี้อายุน้อยสามารถกินดีอยู่ดีในจวนเฉยๆได้ ทว่าเมื่อเติบใหญ่ หากไม่มีความสามารถ ยังคงนั่งกินนอนกินเหมือนเดิม เช่นนั้นคงไม่ดีแน่เจ้าค่ะ
ยามท่านพ่อแก่เถ้า คงไม่อยากได้ยินคนอื่นด่าทอพวกเขาว่าเป็นคนไม่เอาถ่านหรอกใช่ไหมเจ้าคะ?"
"พูดมั่วซั่ว หลานของพ่อจะเป็นคนไม่เอาถ่านได้เยี่ยงไร?" ฉีเฟยอวิ๋นไม่พอใจ
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ "ท่านพ่อ พวกเขาไม่ร่ำเรียนวิชาตอนเด็ก โตมาก็คือ คนไม่เอาถ่านแน่แท้"
"หลานพ่อไม่ใช่คนไม่เอาถ่าน พ่อจะมอบความสามารถให้พวกเขาเอง"
แม่ทัพฉีได้ยินว่าหลานเป็นคนไม่เอาถ่านก็อารมณ์เสียทันที
"ท่านพ่อ ข้าแค่สมมุติ ความหมายก็คือ หากตอนนี้ท่านไม่สอนวิชาที่ท่านสั่งสมมาทั้งชีวิตให้แก่พวกเขา พวกเขาก็จะกลายเป็นคนไม่เอาถ่านในอนาคต"
แววตาฉีเฟยอวิ๋นตั้งมั่น เธอก็ไม่ได้ล้อเล่นเช่นกัน
แม่ทัพฉีคล้ายคิดอะไรได้ "รู้แล้ว ข้าจะคัดเลือกออกมา ถึงเวลานั้นใครกล้าด่าพวกเขาไม่เอาถ่าน พ่อก็จะให้พวกเขาไปลากตัวคนนั้นออกมากระเทือนให้สาแก่ใจ"
ฉีเฟยอวิ๋นยิ้ม "ถึงเวลานั้นท่านพ่อรอให้พวกเขากตัญญูต่อท่านพ่อได้เลยเจ้าค่ะ"
"แน่นอน" แม่ทัพฉีมองหลานๆอย่างชื่นมื่น เขายุ่งกับการดูแลหลานคนนี้ที เล่นแหย่กับคนนั้นที
ถึงแม้อายุของหลานทั้งห้าคนยังน้อย แต่เมื่อพูดถึงก็แปลกชอบกล แม่ทัพฉีหยอกล้อจนพวกเขาดีใจเมื่อไหร่ พวกเขามีอันต้องทั้งถีบทั้งเหยียบ สองมือดึงให้แม่ทัพฉีอุ้ม
ร้องเสียง อุแว้ อุแว้ ไม่หยุด
หากแม่ทัพฉีไม่อุ้ม ดวงตาโตก็จะหรี่ขึ้นและเริ่มแบะปากขึ้นมาอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
พออุ้มคนหนึ่งขึ้นมา คนที่เหลือก็จะส่งเสียงร้องอุแว้ อุแว้ ส่วนคนที่อยู่ในอ้อมกอดก็จะหัวเราะชอบใจ พวกเขาทำให้แม่ทัพฉีเบิกบานใจจนไม่รู้ว่าจะมีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว
ทว่าไม่อุ้มคนที่เหลือก็ไม่ได้ จึงต้องวางคนในอ้อมแขนลง แล้วอุ้มอีกคนต่อ คนอื่นก็ร้องต่อ ทำวนเวียนอยู่เช่นนี้ แม่ทัพฉีเหนื่อยจนเหงื่อท่วมกาย
คนรอบข้างเห็นแล้วรู้สึกอิจฉาเอาการ
มีเสียงกระซิบกระซาบด้านนอก "เจ้าว่าทำไมลูกของคุณหนูจึงฉลาดและเชื่อฟังเช่นนี้ เจ้าดูสิ ตัวแค่นี้เอง อายุสองเดือนยังลุกขึ้นไม่ได้เลย แต่ก็รู้จักทำให้แม่ทัพฉีร่าเริงแล้ว เหมือนคุณหนูตอนเด็กไม่ผิด"
"ใช่ คลอดครั้งเดียวมีถึงห้าคน คนอื่นมีแค่คนเดียวเอง"
"เสียดายมีแต่บุตรชาย หากมีบุตรสาวบ้างแม่ทัพฉีจะดีใจแค่ไหนกันนะ"
"เจ้าไม่รู้ซะแล้ว คุณหนูชอบเด็กผู้ชาย"
“……”
ฉีเฟยอวิ๋นเลิกคิ้ว ใครบอก
เธอก็ชอบลูกสาว ทว่าสถานที่นี้ ยุคสมัยนี้ สตรีคลอดออกมาก็มีแต่ต้องลำบาก ไม่สู้คลอดลูกชายเสียให้หมด
วันหน้าบุตรชายมีคนในใจก็สู่ขอเข้ามาทะนุถนอม ยังเป็นการสร้างความสุขให้แก่สตรีผู้หนึ่งอีกด้วย?
ดีกว่าคลอดบุตรสาวมากโข
หนานกงเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาก็อยากมีบุตรสาวเช่นกัน ทว่าเธอบอกว่าบุตรสาวนั้นลำบาก
เมื่อไตร่ตรองดูแล้วก็เห็นด้วย อาทิ มู่เหมียนที่ควรมีคู่ครองที่เหมาะสม จวินฉูฉู่ก็ควรมีชีวิตที่สงบสุข คงมีแต่เสด็จแม่ในวังทั้งนั้นแหละกระมังที่มีความสุขกับชีวิต?
ทว่า ก็ไม่แน่เสมอไป
สำหรับสตรีอย่างเสด็จแม่ที่ต้องปรนนิบัติสามีร่วมกับสตรีผู้อื่น มันเป็นการทำลายเกียรติและศักดิ์ศรีของพระองค์เลย ซึ่งไม่เพียงเท่านี้ พระองค์นอกจากปรนนิบัติสามีร่วมกับพระมเหสีหวาแล้ว ยังต้องปรนนิบัติร่วมกับสตรีอื่นในวังอีกด้วย
เสด็จพ่อมีพระธิดามากมาย เสด็จแม่ต้องเผชิญหน้ากับสตรีโฉมสะคราญนับไม่ถ้วนในวังหลัง
เขาเป็นท่านอ๋องแล้วอย่างไรเล่า ขณะเป็นจักรพรรดิยังไม่อาจกำหนดงานแต่งงานของพระธิดาตัวเองดั่งใจหมายเลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ