หนานกงเย่หันหลังออกไปนอกวัง ส่วนหวังฮวายอันนั้นอยู่ด้านนอกนั้นจริงๆ หนานกงเย่คิดที่จะบอกกล่าวให้หวังฮวายอันไปจัดการ แต่ทันทีที่เขาออกไปขันทีน้อยก็ขยิบตาเป็นการส่งสัญญาณให้ปิดประตูอย่างรวดเร็ว
ฉีเฟยอวิ๋นรีบเดินไป เช่นไรทั้งสองคนก็ยังห่างกันในช่วงระยะหนึ่ง ไม่คาดคิดว่าไม่รอให้ฉีเฟยอวิ๋นออกไปประตูวังก็ได้ปิดลงเรียบร้อยแล้ว หนานกงเย่หันกลับมาเห็นฉีเฟยอวิ๋นเรียกเขาโดยที่อีกไม่กี่ก้าวก็ถึงหน้าประตูวังโดยที่ทั้งสองคนถูกกั้นด้วยประตู ฉีเฟยอวิ๋นตบประตู: “ท่านอ๋อง!”
หนานกงเย่โมโหจึงยกมือและกำลังจะตบประตู หวังฮวายอันลงมาจากรถม้าแล้วกล่าวว่า: “ต่อให้เจ้าเข้าไปได้แล้วเช่นไรเล่าตามข้าไปยังจะดีซะกว่า พบตำแหน่งของหนานกงเซวียนเหอแล้ว หากว่าเจ้าไม่ไปก็จะหนีไปอีก เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่มีความสามารถดังเช่นเจ้า”
หนานกงเย่กำหมัดเอาไว้แล้วหันกลับมาจ้องเขม็งด้วยความโกรธไปยังหวังฮวายอัน" ท่านกล้าคิดการณ์เอาไว้กับข้าหรือ?"
“มิใช่ข้าคิดการณ์กับเจ้าแต่มีคนคิดการณ์กับเจ้า หลายวันก่อนเจ้าเข้าวังไปโวยวายรอบหนึ่ง เจ้าคลุ้มคลั่งแล้วผ่านพ้นไป ตอนนี้ถูกคนแยกออกจากกันก็เป็นผลที่เจ้าต้องรับเอาไว้ นอกจากนี้เจ้ามีเรื่องอยู่กับตัวอยู่ในวังใช่ว่าจะไม่ปลอดภัย”
“สงบกับหัวเจ้าสื” หนานกงเย่ด่าจบแล้วจึงหันกลับไปมองยังในประตูวัง จากนั้นก็เคาะประตู
“อวิ๋นอวิ๋น ฟังอยู่หรือไม่?” เสียงของหนานกงเย่ในเวลานี้อ่อนลงยิ่งนักราวกับเกรงว่าจะทำให้ผู้ใดตกใจกลัว
ฉีเฟยอวิ๋นั้นฟังเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วตอบกลับว่า: "ฟังอยู่ ท่านอ๋องท่านไปเถอะ ข้าก็จะไปน้อมทักทายเสด็จแม่ เห็นแก่ท่านอ๋องที่หยิ่งผยองเช่นนี้นั้นก็ไม่กระทำสิ่งใดได้หรอก"
ที่จริงนั้นฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจแจ่มแจ้งว่าผู้คนเหล่านี้ในวังล้วนคาดเดาไม่ได้ นางไม่สามารถจัดการกับผู้ใดได้เลย
หนานกงเย่หมองหม่นอยู่ครู่หนึ่ง: "ไปที่มู่เหมียนโน่น"
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้ากล่าวอืมเสียงหนึ่ง:“รู้แล้ว”
หนานกงเย่จึงได้จากไปโดยวางใจ
ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินว่าหนานกงเย่ขึ้นรถม้าไปแล้วจึงได้หันไปมองขันทีน้อย แววตาอันเยือกเย็นของนางจดจ้องไปยังตัวขันทีน้อยจนขันทีน้อยเนื้อตัวสั่นเทาแล้วรีบคุกเข่าลงบนพื้นขอความเมตตา
“พระชายาเย่ไว้ชีวิตด้วย บ่าวก็ได้รับคำสั่งให้กระทำการ”
ฉีเฟยอวิ๋นมองขันทีน้อยซึ่งกำลังร้องห่มร้องไห้ และไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจโดยกล่าวกับเขาว่า: “ลุกขึ้นเถอะ อย่าได้คุกเข่าแล้วพื้นมันเย็น!”
ขันทีน้อยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและค่อยๆเงยศีรษะขึ้นมองดูฉีเฟยอวิ๋นด้วยความระมัดระวัง
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งขันทีน้อยก็ลุกยืนขึ้นและรีบยื่นมือให้กับฉีเฟยอวิ๋น: "บ่าวจะนำทางให้พระชายาเย่"
ฉีเฟยอวิ๋นจัดเสื้อผ้าในกาย: "ไม่ต้องแล้ว นำทางตรงหน้า"
ขันทีน้อยเดินไปด้านหน้า ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามอยู่ด้านหลัง
เดินมาตลอดทางฉีเฟยอวิ๋นจึงถามว่า: "ไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงกำชับเช่นไร?"
ขันทีน้อยเพิ่งมารับใช้ที่พระตำหนักบำรุงฤทัย ขันทีน้อยผู้เดิมนั้นเนื่องจากหวาดกลัวพอมาถึงแล้วตกใจกลัวจนเสียชีวิตไปแล้ว เป็นเรื่องในสองวันนี้เอง เขาเป็นผู้มาใหม่แต่เขาก็หวาดกลัวเช่นกัน!
เมื่อได้ยินฉีเฟยอวิ๋นกล่าวก็รีบเดินไปยังตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋นทำท่าต้องการคุกเข่าลงตอบกลับคำพูดของฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นเรียกคนมาในทันที: "ลุกขึ้นพูดไม่จำเป็นต้องคุกเข่า หัวเข่าของเจ้าไม่เจ็บหรือ?”
ขันทีน้อยเกือบร้องไห้เมื่อได้ยิน เขาเข้าวังมารับใช้ตั้งแต่ยังเด็ก แต่ไม่มีนายท่านผู้ใดสนใจความเป็นความตายของพวกเขา
ขันทีจำนวนนับไม่ถ้วนที่เสียชีวิตในวังแห่งนี้ ชีวิตของพวกเขานั้นไม่เทียบเท่าแม้แต่มดสักตัว
ในวันนี้เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของฉีเฟยอวิ๋นก็ปลื้มใจจนคัดจมูกเลย
“ขอบพระทัยพระชายาเย่!”
ขันทีน้อยกล่าวแล้วก็เช็ดน้ำตา ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้ว่าชีวิตในวังนั้นทุกข์เข็ญยิ่งนัก
“เจ้าอย่าได้ร้องไห้เลย ติดตามอยู่ข้างพระวรกายของฝ่าบาทให้ดีแล้วจะดีขึ้นเอง” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวคำพูดจากมโนธรรม หากว่าสวีกงกงไม่กลับมาแล้ว เช่นนั้นก็ต้องมีคนเคียงข้างพระวรกายของฝ่าบาท สามารถอยู่ข้างพระวรกายและอยู่รับใช้ให้ดี ก็จะอยู่ดีกินดีอยู่ในวังได้อย่างแน่นอน
“บ่าวเกรงว่าจะไม่มีบุญนี้” ขันทีน้อยอดร้องไห้เอาไว้ไม่ได้ ฉีเฟยอวิ๋นนั้นถอนหายใจราวกับว่าได้เห็นอาอวี่ ช่างไม่ได้เรื่องจริงๆ
ฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าทั้งสองข้างไร้ซึ่งคนจึงถามว่า: “ก่อนหน้านี้เจ้าติดตามผู้ใด?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ