รถม้าของหวังฮวายอันรออยู่นอกประตูเมือง ฉีเฟยอวิ๋นออกจากรถไม่เห็นหวังฮวายอันจึงได้อุ้มเด็กเดินตามหนานกงเย่ไปยังด้านหน้ารถม้าของหวังฮวายอัน
คนขับรถม้าเห็นฉีเฟยอวิ๋นกับหนานกงเย่ก็ทำความเคารพทันที หนานกงเย่รู้สึกแปลกใจ: "เสี่ยวกั๋วจิ้วหล่ะ?"
"อยู่ในรถม้าพะยะค่ะ"
คนขับรถม้าเปิดผ้าม่านรถม้าออก หนานกงเย่กับฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองในรถม้าเห็นหวังฮวายอันนั่งอยู่ในรถม้า ใบหน้าของเขานั้นบวมเป่งพร้อมด้วยแววตาอันเฉื่อยชา
แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่หวังฮวายอันควรจะเป็นแต่ดูแล้วก็ช่างย่ำแย่ยิ่งนัก
ฉีเฟยอวิ๋นตะลึงงันแต่ว่าหนานกงเย่ถามอย่างใจเย็นว่า: "ท่านเป็นอันใด?"
“ครึ่งเดือนมานี้ไม่ดีเลยเป็นเช่นนี้อยู่ตลอด” หวังฮวายอันไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะกล่าวราวกับว่ามีที่ใดไม่สบาย ฉีเฟยอวิ๋นส่งลูกชายคนสุดท้องในอ้อมแขนให้หนานกงเย่แล้วขึ้นไปในรถม้า นั่งลงแล้วจับข้อมือของหวังฮวายอันเริ่มตรวจดูอาการ
“ช่วงนี้กั๋วจิ้วไม่ได้กินยาตรงตามเวลาหรอกหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจว่านิ่วในไตไม่ได้น้อยลงเลยแต่กลับรุนแรงมากยิ่งขึ้น
หวังฮวายอันลืมตาขึ้นมองไปยังฉีเฟยอวิ๋น: "หากข้าไม่กินยาของเจ้าข้าอาจจะดีขึ้นสักหน่อย เป็นเพราะกินยาของเจ้าจึงได้รู้สึกทรมานเช่นในเวลานี้"
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังหวังฮวายอันด้วยความรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ
“ยาที่ข้าสั่งนั้นกินตรงตามเวลาไม่มีปัญหาแน่นอน แต่สถานการณ์ของท่านในตอนนี้ร้ายแรงยิ่งนัก หากข้าไม่กลับมาผ่านไปอีกห้าวันท่านจะต้องเตรียมงานศพซะแล้ว ก้อนนิ่วที่เริ่มเกิดของท่านไม่เพียงแต่ไม่ลดน้อยลงแต่กลับยังทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนของไตบวมน้ำ
ถึงแม้ว่ายาขอข้าจะไม่ได้ผลแต่ท่านก็ไม่ใช่คนโง่ เหตุใดถึงยังต้องกินยานานเช่นนั้น? "
ฉีเฟยอวิ๋นโมโหเล็กน้อยจากนั้นก็ลงจากรถแล้วเหลือบมองหวังฮวายอัน แม้ว่าจะไม่ได้กล่าวสิ่งใดแต่นางก็มองกลับไปยังหวังฮวายอันราวกับกำลังกล่าวว่าคนประเภทนี้ตายไม่มากหรอก
เดิมทีหวังฮวายอันนั้นยังคงสบายดี แม้ว่าจะเหลืออยู่ครึ่งชีวิตแต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อถูกฉีเฟยอวิ๋นมองดูเช่นนี้ก็เกือบจะโกรธเคืองจนตายซะแล้ว
“เจ้าก็ไม่รู้จักดูแล เช่นไรข้าก็เป็นลุงของเจ้า” หวังฮวายอันถามอย่างโกรธเคือง
หนานกงเย่แววตาหมองลง: “ตนเองไม่มีลักษณะท่าทางเช่นลุงผู้หนึ่งแล้วยังจะโทษผู้อื่นอีก?”
หนานกงเย่หันไปมองฉีเฟยอวิ๋นแล้วอุ้มลูกชายเดินตามกลับไปยังด้านในรถม้า
ม่านรถม้าปล่อยลงมา หนานกงเย่มองไปยังฉีเฟยอวิ๋นอย่างขึงขังจากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็กล่าวว่า: "มีคนเปลี่ยนยาไม่เพียงแต่ไม่ดีขึ้น แต่กลับร้ายแรงยิ่งกว่าเดิม"
“……”หนานกงเย่มองลงมาที่ลูกชายซึ่งอยู่ในอ้อมแขน ตบไปด้วยพร้อมกับถามว่า: “ตอนนี้เป็นเช่นไรบ้าง?”
"ลำบากซะแล้ว ที่พวกเรานั่นโรคนี้เรียกว่าอาการไตบวมน้ำ เป็นร่วมกับโรคก่อนหน้านี้มีแนวโน้มที่จะเป็นไตวายได้"
"ไม่เข้าใจ" หนานกงเย่ไม่เข้าใจอาการป่วยที่ฉีเฟยอวิ๋นกล่าว
“อย่างแรกไตบวมน้ำแล้วตามมาด้วยภาวะไตวาย และสุดท้ายก็คือปัสสาวะเป็นพิษ ขณะที่บวมน้ำความดันโลหิตเริ่มสูงขึ้น ตามมาด้วยปวดหลัง ปัสสาวะออกมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ต่อมาเป็นเบาหวาน ไม่อยากทานอาหาร โลหิตจางจนใบหน้าซีดเซียว ปัสสาวะเป็นฟอง โรคเก๊าต์ ภาวะกรดยูริกในเลือดสูงเกินไป" ฉีเฟยอวิ๋นนั้นไม่ได้ยิ้มแย้ม กล่าวอย่างตรงไปตรงมาพร้อมทั้งจริงจังมากเป็นพิเศษ
หนานกงเย่ไม่แน่ใจ: "เจ้าก็บอกข้าว่าโรคนี้อยู่ในระยะใดแล้ว?"
“ขั้นที่สอง เริ่มไม่อยากทานอาหารแล้ว หากไม่กลับมาอีกถึงแม้เขาจะเป็นเซียนก็ไม่สามารถช่วยได้แล้ว”
หนานกงเย่คิดไปคิดมา "ไม่อยากทานอาหารแล้วหรือ?"
“……”ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองออกไปนอกรถม้า รถม้าของหวังฮวายอันนั้นได้ออกไปแล้ว
“ท่านอ๋อง พวกเรายังต้องเข้าวังอีกหรือไม่?” ฉีเฟยอวิ๋นถาม
“อวิ๋นอวิ๋นไม่จำเป็น ข้าเข้าวังเพียงลำพัง”
"อืม"
รถม้ากลับมาถึงยังจวนท่านแม่ทัพ ทั้งสองก็กลับไปยังลานหลังจวนพบแม่ทัพฉี ฉีเฟยอวิ๋นอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วถึงกล้าที่จะไปดูเด็กๆทั้งหลาย แม่ทัพฉีเห็นเจ้าห้าก็รีบอุ้มไป ไม่เห็นมาช่วงหนึ่งทำให้แม่ทัพฉีคิดถึงจนแย่แล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นจูบทารกที่รักทีละคนก่อนตามหนานกงเย่จากออกไป หนานกงเย่เข้าวังส่วนฉีเฟยอวิ๋นสะพายกล่องยาพาอาอวี่ไปยังจวนเสี่ยวกั๋วจิ้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ