“กงกงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้อยู่ในจวนก็งดเว้นเถอะ รอเมื่อใดที่เห็นคนในวังค่อยคุกเข่าก็ยังไม่สาย”
“ขอบพระทัยพระชายาเย่ ข้าน้อยมาในวันนี้ก็เพื่อถามพระชายาว่าฝั่งฝ่าบาททรงตรัสว่าเช่นไรบ้าง”
“เรื่องนี้ยังไม่ได้ไปเลย แต่ข้าดูก่อนว่าจะเข้าวังไปเมื่อใดค่อยถามดู ร่างกายของท่านดีขึ้นบ้างหรือยัง?”
“ดีขึันแล้ว ไม่เป็นไรแม้แต่น้อยแล้ว เพียงแต่ข้าน้อยต้องการพักอยู่ที่ลานหลังจวนของจวนอ๋องเย่เพื่อคัดลอกพระคัมภีร์ ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะทรงอนุญาตหรือไม่!” ไม่กี่วันนี้สวีกงกงไม่เป็นไรแล้ว แต่เขาอดคัดลอกพระคัมภีร์ไม่ได้ ไม่ได้คัดพระคัมภีร์นั้นนอนไม่หลับ
แต่ว่าก็ไม่มีพระคัมภีร์และไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงอนุญาตแล้วหรือไม่
ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ได้เขาวังมาระยะหนึ่งแล้ว หนานกงเย่ได้กราบทูลต่อพระพันปีแล้วว่าร่างกายของเสี่ยวกั๋วจิ้วไม่เป็นไรแล้ว พระพันปีต้องรักษาอาการป่วยของเสี่ยวกั๋วจิ้วก่อนเป็นธรรมดาอยู่แล้วเช่นนี้จึงไม่ได้ออกไปเลยจริงๆ
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: "กงกงกลับไปก่อน วันนี้ข้าจะเข้าวังไปถามฝ่าบาท"
"ลำบากพระชายาเย่แล้ว"
ฉีเฟยอวิ๋นมองย้อนกลับไปยังอีกด้านหนึ่งของเรือนและมองไปยังสวีกงกง: "กงกงไม่ต้องการดูลูกของข้ากับท่านอ๋องหรือ?"
ก็ไม่ใช่ใครอื่นก็เป็นผู้ที่น่าสงสารผู้หนึ่ง
สวีกงกงใบหน้าลำบากใจ: "ข้าน้อยเป็นคนที่ไม่สมบูรณ์จึงดูซื่อจื่อน้อยไม่ได้ ตามกฎระเบียบของเมืองต้าเหลียงในขณะที่องค์ชายน้อยเป็นกลุ่มเด็กอายุหนึ่งปีนั้นไม่สามารถพบผู้ที่ไม่สมบูรณ์ครบทุกประการได้”
“พวกเราไม่ใช่องค์ชาย แต่เป็นซื่อจื่อ กงกงไปกันเถอะพอดีว่ายังมีเรื่องอื่นอีก”
ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังเดินไปไม่กี่ก้าวแต่ว่าสวีกงกงไม่ได้ตามมา ฉีเฟยอวิ๋นมองสวีกงกง: "เหตุใดกงกงไม่เดินหรือว่ารังเกียจ? ผู้ที่ปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาทในวังไม่สามารถปรนนิบัติซื่อจื่อได้หรือ?”
“ไม่ใช่ ข้าน้อยไม่ใด้.....” สวีกงกงดูท่าทางหวาดกลัวแล้วตามฉีเฟยอวิ๋นไปพร้อมกับยกเสื้อคลุมขึ้นจากนั้นก้มลงและเดินตามอย่างระมัดระวัง ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกจนปัญญา
เมื่อก่อนดูละครในวังยังไม่รู้สึกว่าเลยว่าเดิมทีกงกงนั้นเดินก้มหลังทั้งสิ้น
ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับมาพยุงสวีกงกงลุกขึ้น: "กงกงแก่แล้วและลมพัดหนาวเย็นอย่าได้เดินเช่นนี้ ยืดตัวตรงสวมเสื้อคลุมเอาไว้เช่นนี้ก็ไม่หนาวแล้ว แม้แต่พวกเรามีสิ่งใดน้อยไปแต่ก็ยังเป็นคนต้องเดินให้เหมือนกับคน”
ฉีเฟยอวิ๋นปลดเสื้อคลุมในตัวให้สวีกงกงและผูกให้กับสวีกงกงด้วยตนเอง ดวงตาของสวีกงกงเริ่มแดง: "พระชายาเย่ ข้าน้อย......”
“เอาหล่ะไปกันเถอะ” ฉีเฟยอวิ๋นจูงมือชราของสวีกงกงเดินตรงไปยังหน้าประตูเรือนของพากเด็กๆ เปิดประตูออกและถอดรองเท้าแล้วเดินเข้าไป
สวีกงกงยืนอยู่ตรงหน้าประตูไม่ไป ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: "เข้ามาเถอะ เปิดประตูอยู่ลมแรงนั้นโบกพัดเข้ามาแล้ว"
สวีกงกงจึงได้เดินตามฉีเฟยอวิ๋นเข้าประตูไป ปลดเสื้อคลุมออกและส่งคืนให้ฉีเฟยอวิ๋นอย่างระมัดระวัง ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับมา: "มอบให้กงกงแล้ว ของสิ่งนี้อยู่ในมือข้าก็ไม่มีประโยชน์ ข้ายังเยาว์และแข็งแรงดี กงกงก็ไม่มีชุดที่ดูดีเลยสักชุด หากมีก็คงไม่กล้าใส่สินะ
แต่จวนอ๋องเย่ของเราไม่เหมือนกัน เสื้อคลุมนี้จัดทำขึ้นโดยร้านตัดเย็บเสื้อผ้าของเราเอง กงกงสวมใส่ก็ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวสิ่งใดเพราะข้าใส่จนเบื่อไม่ต้องการแล้ว"
สวีกงกงอยากจะร้องไห้: "พระชายา……”
“อย่าได้ร้องไห้ เข้ามาดูพวกเขาสิ หงเถาเข้ามาแขวนเสื้อผ้าให้กงกง” ฉีเฟยอวิ๋นสั่งส่วนหงเถาก็รีบกับแขวนเสื้อผ้าของสวีกงกง
“กงกงเข้ามาดูสิว่าพวกเขาเหมือนท่านอ๋องหรือไม่”
"พะย่ะค่ะ"
สวีกงกงเช็ดน้ำตาแล้วเดินเข้าไปเพียงกล้าที่จะเหลือบมองเท่านั้นไม่กล้าไปด้านหน้า ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มเจ้าห้าขึ้นเดินมาตรงหน้าของสวีกงกงส่งจากนั้นส่งให้สวีกงกงจนทำให้สวีกงกงตกใจถอยออกและคุกเข่าลง: "ไม่ได้พะย่ะค่ะ"
“อุ้มเถอะ กงกงก็ช่วยข้าดูด้วยว่าเด็กคนนี้แตกต่างที่ใด เด็กคนนี้ข้ากับอ๋องเย่ดูแล้วก็รู้สึกว่าแปลก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ