เพื่อจะให้ตามหนานกงเย่ไปได้ ฉีเฟยอวิ๋นจึงหาเหตุผลมามากมาย แต่สุดท้ายก็ถูกแม่ทัพฉีห้ามไว้
ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่วางใจฉีเฟยอวิ๋น
“ในเมื่อท่านพ่อไม่เห็นด้วย เช่นนั้นข้าไม่ไปก็ได้” ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยด้วยลำคอที่แห้งผาก ยังพูดไม่ทันจะเข้าใจกันดีนางก็ลุกขึ้นและออกไปจากห้องของลูกชาย
ฉีเฟยอวิ๋นกระชับอาภรณ์บนร่างกายหลังจากออกไปและทำใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
ในเมื่อทุกคนไม่อยากให้นางไป เช่นนั้นนางจะอยู่ที่เรือนดูแลทุกคนในเรือนให้ดีเอง
ในสมัยโบราณ ผู้หญิงที่แต่งงานออกเรือนแล้วก็เป็นอย่างนี้ ออกจากเรือนของสามีไปไหนตามอำเภอใจไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเดินทางไกลเลย
“เหนื่อยหรือ” หนานกงเย่เอื้อมมือมาคว้ามือของฉีเฟยอวิ๋นและวางมือของนางไว้ในอ้อมอก กอบไว้ด้วยมือทั้งสองข้างเพราะกลัวว่านางจะหนาว จากนั้นจึงพานางกลับไปที่สวนดอกกล้วยไม้
ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองใบหน้าของหนานกงเย่ จากนั้นความโศกเศร้าภายในใจก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น
“ข้าก็รู้นะว่าทุกคนทำเพื่อประโยชน์ของข้า แต่ข้าก็อดไม่ได้ อยากจะตามท่านอ๋องไปด้วย” ฉีเฟยอวิ๋นเคยชินกับการใช้เวลาร่วมกับหนานกงเย่ ถ้าเกิดต้องแยกกันนางกลัวว่านางจะไม่กล้านอนคนเดียว
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ฉีเฟยอวิ๋นจึงเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง ท่านนอนคนเดียวได้หรือไม่”
มันเป็นประโยคที่นางไม่ได้ตั้งใจจะพูด แต่นั่นกลับทำให้หนานกงเย่รู้สึกซาบซึ้งใจได้อย่างง่ายดาย
หนานกงเย่กระชับมือ “ฮึ ข้ารู้อยู่แล้วล่ะ ภรรยาของข้างามเกินกว่าจะวางใจได้ สองสามวันนี้ข้าจะเตรียมการไว้ หากไม่ได้ก็ค่อยตามข้าไป”
“.....” ฉีเฟยอวิ๋นชะงักไปนิดหนึ่ง ริมฝีปากของนางแย้มออก ตอนแรกทุกคนไม่เห็นด้วย แล้วเหตุใดตอนนี้จึงยอมเห็นด้วยได้ล่ะ
หนานกงเย่ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เขาจูงฉีเฟยอวิ๋นกลับไปและเริ่มประเคนอาหารสำหรับวันนี้
หลังจากพัวพันกันมาครู่ใหญ่ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกเหนื่อยมาก นางผละจากอ้อมแขนของหนานกงเย่และมองเขา “จะพาข้าไปจริงๆ หรือ”
“อื้ม อวิ๋นอวิ๋นจะได้ไม่ต้องกลัวที่ต้องนอนคนเดียว จะพาไปด้วย” ดูเหมือนจะไม่มีทางเลี่ยง
ฉีเฟยอวิ๋นขบขัน “ข้าไม่มีทางไปลอบฉกชิงใครมา ท่านอ๋องจะต้องกังวลอะไรอีก”
“ท่านไม่ฉกชิงใครก็จริง แต่ข้ากังวลว่าจะมีคนมาฉกตัวท่านไปนะซี”
หนานกงเย่คว้าเอวของฉีเฟยอวิ๋นไว้และพลิกตัวกดนางไว้ใต้ร่างของตน “ข้าเหนื่อยแล้ว แต่เหตุใดท่านยังมีกำลังวังชาอยู่อีก”
ฉีเฟยอวิ๋นยิ้มอย่างซุกซน “นั่นไม่ใช่เรื่องปกติหรือเพคะ ผู้ชายมีข้อได้เปรียบเรื่องความแข็งแกร่งทางร่างกาย ทว่าก็ต้องสิ้นเปลืองพละกำลังไปด้วย อย่างนั้นมิใช่หรือ”
“ไร้สาระ ข้าจะต้องทำให้อวิ๋นอวิ๋นหลับก่อนให้ได้”
ฉีเฟยอวิ๋นกลอกตา นางทั้งเตะทั้งถีบแต่ก็ยังหยุดความแข็งแกร่งของหนานกงเย่ไว้ไม่ได้
คราวนี้ฉีเฟยอวิ๋นเหนื่อยมากจริงๆ
อาอวี่ออกไปอีกในตอนกลางคืน อู๋กั่วไม่เปลี่ยนชื่อและไม่ยอมปล่อยอาอวี่ นางไปหาอาอวี่ที่สวนดอกกล้วยไม้แต่ไม่เจอเขา ดังนั้นจึงไปถามหาจากลี่ว์หลิ่ว
“ออกไปแล้วละ ได้ยินว่าไปโรงละครอะไรนี่แหละ” ลี่ว์หลิ่วรู้เพียงเท่านี้
อู๋กั่วออกไปสอบถามเกี่ยวกับโรงละครและจะไปซื้อตั๋วเพื่อจะเข้าไปข้างใน แต่คนของโรงละครบอกว่าตอนนี้ซื้อตั๋วไปก็ไม่มีที่นั่งเหลือแล้วและบอกให้นางกลับไปก่อน
ดังนั้นอู๋กั่วจึงรออยู่ข้างนอก เมื่อถึงยามสาม อาอวี่กับตงเอ๋อร์จึงออกมา (ยามสามคือ 23:00 -1:00)
ทั้งสองคนคุยไปยิ้มไปเกี่ยวกับเรื่องละครที่ดูไปวันนี้ อู๋กั่วยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ เหตุใดตงเอ๋อร์จึงดูเหมือนผู้หญิงกันนะ
อู๋กั่วมองอยู่ครู่หนึ่งและตงเอ๋อร์ก็เดินเข้ามา เมื่อเดินมาอยู่ในจุดที่มองเห็นอู๋กั่วตงเอ๋อร์ก็ชะงัก “นั่นเจ้ารึ”
อู๋กั่วไม่สนใจตงเอ๋อร์และหันไปมองอาอวี่ “ข้าขอถามท่าน ท่าแต่งงานหรือยัง”
“ข้าแต่งหรือยังไม่แต่งมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า” อาอวี่ระเบิดอารมณ์โกรธ เขาเป็นหนุ่มใหญ่คนหนึ่ง นางมาถามเรื่องแต่งงานไม่แต่งงานอะไรกัน มันไม่เสียหน้าหรือ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ