หนานกงเย่อิงอยู่อีกด้าน เขาครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า“สวีฝูควรจะอยู่ในปีกใต้ วันหน้าจะต้องมีคนจำนวนหนึ่งต้องการอยู่ในพระราชวัง แต่หากอวิ๋นอวิ๋นคิดว่าควรจะพาไป ก็ไม่เป็นไร”
ฉีเฟยอวิ๋นมองหนานกงเย่ที่ไม่ค่อยจะยินยอมเท่าไหร่ เลยถามว่า“หม่อมฉันไม่เข้าใจเพคะ!”
“อวิ๋นอวิ๋นจิตใจอ่อนโยน อยากจะรับพวกเขาไว้ แต่ข้าไม่คิดว่าการที่พวกเขาอยู่ที่จวนอ๋องเย่นั้นเป็นเรื่องที่ดี บ้านเกิดเมืองนอนทิ้งยาก ห่างจากสถานที่ที่เติบโต พวกเขาไม่คุ้นชินเป็นอย่างมาก
สวีฝูคุ้นชินกับพระราชวังของปีกใต้แล้ว ในใจของเขาเฝ้ารอซูอู๋ซินกลับมาตลอดเวลา นั่นเป็นสิ่งที่เขามั่นใจศรัทธาที่จะมีชีวิตอยู่”
ฉีเฟยอวิ๋นเหม่อลอยชั่วขณะ เธอคิดไม่ถึงว่าหนานกงเย่จะคิดเรื่องเหล่านี้
“หม่อมฉันเข้าใจ เช่นนั้นพวกเราไปดูกันเถิดเพคะ”ฉีเฟยอวิ๋นนั้นก็อยากจะไปให้คำชี้แจงแก่สวีฝู
หนานกงเย่เรียกเฟยอิงไป ครอบครัวพวกเขาไปพระราชวังกัน เฟยอิงอยู่ด้านนอกเพื่อเฝ้าดูหลี่ถิง
เข้าพระราชวังมาแล้วฉีเฟยอวิ๋นเลยกล่าวว่า“ท่านอ๋องกล่าวถูกต้องเพคะ หม่อมฉันก็คิดได้ แต่หม่อมฉันยังรู้สึกว่า สวีฝูอยู่ในพระราชวังนั้นทำได้เพียงรอความตายเพคะ
คนอย่างซูอู๋ซิน อยากจะกลับมาก็คงกลับมาตั้งนานแล้ว ส่วนพระตำหนักเฉียนคุนอย่างไรจะต้องมีคนดูแลอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่ามีแค่สวีฝูคนเดียวหรอก
สวีฝูจากลาบ้านเกิดเมืองนอนนั้นยากไม่ผิด แต่กลัวว่าจะโดดเดี่ยวนะเพคะ”
หนานกงเย่เดินไปได้สักพัก จากนั้นกล่าวว่า“เช่นนั้นก็เอาไปด้วยเถิด”
“ขอบพระทัยเพคะท่านอ๋อง”
หนานกงเย่หยุดลงมองฉีเฟยอวิ๋น แล้วกล่าวว่า“อวิ๋นอวิ๋นวางแผนมาไว้นานแล้ว เหตุใดจะต้องตบตาข้าด้วย?”
สองสามีภรรยาต่างอุ้มลูกก้าวเดินไปข้างหน้า
ฉีเฟยอวิ๋นเพียงแค่ยิ้มไม่ได้กล่าวอะไร ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง
หนานกงเย่กับฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปในพระราชวังแบบสบายๆ พอเข้าไปแล้วเห็นอามู่กับเสี่ยวเฉียวรีบเดินสาวเท้าเข้ามาหา
พอทั้งสองคนออกมาถึงได้คุกเข่าลงหันมาทางฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่
“อามู่ทำความเคารพท่านอาจารย์”
“ท่านพ่อท่านแม่”เสี่ยวเฉียวรีบผงกศีรษะทำความเคารพ
“ลุกขึ้นเถิด อย่าทำอย่างนี้”หนานกงเย่กล่าว ทั้งสองคนเลยลุกขึ้น
คนของพระราชวังก็คุกเข่าลงทำความเคารพ
“พวกเจ้าเข้ามาในพระราชวังได้อย่างไร?”
“ตอนนี้ในพระราชวังไม่มีคน ท่านอาจารย์ทำได้เพียงกลับมาจัดการงานราชสำนัก สองวันนี้ไม่สนใจงานการดูแลราชสำนักเลย และก็ต้องการให้ข้ากับอามู่ช่วยเขา”
“ไร้สาระจริงๆ พวกเจ้าสองคนยังเป็นเด็ก จะทำเรื่องอย่างนี้ได้อย่างไร?”ฉีเฟยอวิ๋นนับถือเฟิงอู๋ชิงจริงๆเลย
“ท่านอาจารย์บอกว่า อามู่สิบกว่าปีแล้ว เป็นผู้ชาย ตอนที่ท่านอาจารย์อายุสิบกว่าปีก็สามารถอ่านและวิจารณ์สาส์นกราบทูลข้อราชการของขุนนางได้แล้ว”เสี่ยวเฉียวกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“ฟังเขาทำไม พวกเจ้ายังเด็ก ทุกวันจะต้องอ่านตำราเขียนอักษรถึงจะถูก เขาทำอย่างนี้ก็เป็นเพียงต้องการแอบขี้เกียจเท่านั้นแหละ ที่แม่มาครั้งนี้ถือโอกาสเอาพวกเจ้ากลับไปด้วยก็ดีแล้ว”
อามู่กับเสี่ยวเฉียวต่างสบตากัน เป็นเวลานานเสี่ยวเฉียวถึงได้กล่าวว่า“ท่านแม่ พวกเราไม่สามารถทอดทิ้งท่านอาจารย์โดยที่ไม่สนใจได้ อีกทั้งท่านอาจารย์ได้เชิญราชครูมาสอนตำราพวกเราด้วย”
“....”ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองหนานกงเย่ พูดอย่างนี้คือเด็กทั้งสองคนไม่อยากกลับไปด้วย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเจ้าอยู่ก็ย่อมได้”หนานกงเย่ไม่คิดจะเอาเหล่าเด็กๆไว้ข้างกายหมด ในเมื่อชอบปีกใต้ก็อยู่ได้ไม่เป็นไร อีกอย่างเฟิงอู๋ชิงก็เป็นท่านอาจารย์ของพวกเขา พวกเขาไม่อยากแยกห่างนั่นก็มีเหตุผล
ฉีเฟยอวิ๋นไปดูสวีฝู เด็กทั้งสองคนก็ตามมาทางด้านหลัง
คนในพระราชวังล้วนเรียกว่าเสี่ยวเฉียวจวิ้นจู่ เรียกอามู่ว่าซื่อจื่อ แน่นอนว่าฐานะก็ได้อยู่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ