ทั้งสองต่อสู้กันขึ้น มองดูแล้วหนานกงอวิ๋นเยียนคล้ายดั่งคนที่อ่อนแอ แต่ทว่าพอสู้กันขึ้นมาอย่างกับสายฟ้าฟาด มู่เหอไร้เรี่ยวแรงที่จะต้านทาน หนานกงอวิ๋นเยียนรุกไม่กี่ครั้ง มู่เหอก็แพ้ราบคราบแล้ว
มู่เหอล้มลง แล้วอาเจียนกระอักเลือดออกมา
หนานกงอวิ๋นเยียนมองด้วยสายตาเย็นชา คล้ายกับว่าเปลี่ยนเป็นคนหนึ่งแล้ว
ดาบที่อยู่ในมือมีเลือด มันชี้ลงและมีเลือดหยดไหลลงซิบๆ
นางใช้เพียงมือข้างเดียว มืออีกข้างหนึ่งไขว้อยู่ด้านหลังไม่ได้นำออกมาใช้
เฟิ่งหลิงอวิ๋นกล่าวว่า “ใครสอนดาบไร้ใจแก่เจ้า นั่นคือวิชาความรู้ที่หายสาบสูญไปขององค์จักรพรรดิณีแคว้นเฟิ่ง”
“ท่านพ่อของข้า ท่านพ่อของข้าบอกว่าท่านแม่ของข้าคือองค์รัชทายาทของแคว้นเฟิ่ง นางเป็นผู้เอาดาบไร้ใจไว้ให้ข้า
ตั้งแต่วัยเยาว์ข้าก็เรียนรู้ด้วยตนเอง”
เฟิ่งหลิงอวิ๋นถูกหนานกงอวิ๋นเยียนตลกขบขันกำเริบเสิบสานเข้าแล้ว
มู่เหอปีนป่ายขึ้นมา เดินไม่กี่ก้าวก็ล้มลง
มู่ชิวเหลียนรีบลุกขึ้นยืน หันเดินไปทางหนานกงอวิ๋นเยียน จากนั้นกล่าวขึ้นว่า“ทหาร จับไว้ให้ข้า!”
“ข้าจะดูสิว่าผู้ใดมันกล้า!”อวิ๋นเลี่ยเดินมาขวางตรงหน้าหนานกงอวิ๋นเลี่ยไว้ ด้วยแววตาเย็นชา
เฟิ่งหลิงอวิ๋นลุกขึ้น กล่าวว่า“ยอมรับความพ่ายแพ้ แคว้นเฟิ่งของข้ายอมรับความพ่ายแพ้ได้ อีกอย่างหนานกงอวิ๋นเยียนคือบุตรสาวของท่านพี่ข้า ตัวของนางมีความรู้วิชาที่หายสาบสูญไปขององค์จักรพรรดิณีด้วย นี่ก็เป็นบุคคลขององค์จักรพรรดิณี มู่เหอกระทำการสุ่มสี่สุ่มห้า การต่อสู้ล้มเหลว ตัวของเจ้าเป็นแม่มีความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ อำนาจทางการทหารวางไว้ในมือพวกเจ้า ข้าจะวางใจได้ที่ไหนกัน
ทหาร เอาทั้งสองคนไปที่คุก ทำการสอบสวนและลงโทษเสีย!”
ทหารองครักษ์ก้าวมาด้านหน้า ไม่นานก็ได้นำมู่เหอแม่ลูกลงไป เฟิ่งหลิงอวิ๋นหยิบตราประจำตำแหน่งอำนาจทางการทหารมอบแก่หนานกงอวิ๋นเยียน“เอาไปเถิด มู่เหอแม่ลูกแพ้ไม่ได้ แต่ข้าแพ้ได้”
“ขอบพระทัยเพคะ”หนานกงอวิ๋นเยียนหยิบตราประจำตำแหน่งอำนาจทางการทหารให้เฟยอิง และถือโอกาสเอาตราประทับของนางให้เฟยอิงด้วย
เฟยอิงเก็บเรียบร้อยแล้วได้ปาดเหงื่อ
เฟิ่งหลิงอวิ๋นเหลือบมองเขา ก็รู้เลยว่าตราประจำตำแหน่งการระดมกำลังได้สองแสนนั้นเป็นของปลอม
ต่อให้หนานกงเย่จะรักทะนุถนอมบุตรสาว ก็ไม่มีทางนำอำนาจทางการทหารมาล้อเล่น เขาเต็มใจ และยังกังวลว่าจะมีคนมาทำร้ายบุตรสาวของเขา
เฟิ่งหลิงอวิ๋นหมุนตัวออกไป หนานกงอวิ๋นเยียนเลยกล่าวว่า“เช่นนั้นอวิ๋นเลี่ยล่ะ?”
“เขาเป็นอิสระแล้ว”เฟิ่งหลิงอวิ๋นหัวเราะยิ้มครู่หนึ่ง แล้วทอดถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
หนานกงอวิ๋นเยียนมีความชำนาญการสู้รบ ตื่นตะลึงทั้งสี่ทิศ ไม่นานข่าวนี่ก็ได้ถึงหูหนานกงเย่ที่อยู่ทางด้านต้าเหลียง
เป็นเวลานานองค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้ถึงได้ถามหนานกงเย่บนท้องพระโรงว่า“อุปราช นี่คือกลอุบายของเจ้าใช่หรือไม่?”
หนานกงเย่เหลือบมององค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้ ถึงได้กล่าวว่า“กระหม่อมไม่ได้ไร้สาระอย่างนั้น”
“เจ้านี่ยิ่งหยิ่งจองหองขึ้นเรื่อยๆ ข้าไม่ชอบ แต่ข้าจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้า”
องค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้มองไปทางเหล่าของแม่ทัพฉี ตรัสขึ้นว่า“อ้ายชิงท่านอื่น คิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้?”
“แคว้นเฟิ่งน่าจะมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน ยินยอมที่จะศิโรราบ”
“อย่างน้อยองค์รัชทายาทแคว้นเฟิ่งก็ยินยอมที่จะร่วมมือ”
คนหมู่มากเริ่มถกกัน องค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้แกล้งทำไปอย่างนั้นแหละ พอเลิกการเข้าเฝ้าแล้วสองพี่น้องจึงได้ไปปรึกษาหารือกันเรื่องของแคว้นเฟิ่งที่พระตำหนักเฟิ่งอี๋
“ไม่ต้องส่งคนไป ข้าเชื่อใจในความสามารถของอวิ๋นอวิ๋น ในเมื่อได้ตราประทับอำนาจทางการทหารมาแล้ว ก็จะต้องอยู่ได้แน่นอน”หนานกงเย่มั่นใจอย่างหาอะไรเปรียบมิได้
องค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้ตรัสว่า“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็วางใจ”
แววตาที่หนานกงเย่มององค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้นั้นดูถูกหยามเหยียดเป็นอย่างมาก
ออกมาจากพระราชวังแล้วหนานกงเย่จึงกลับไปที่จวนอุปราช เข้ามาก็เจออาอวี่ ตอนนี้อาวี่เป็นพ่อลูกสามแล้ว เห็นหนานกงเย่อาอวี่เลยรีบเดินมาหาหนานกงเย่“ท่านอ๋อง”
“ไม่ใช่สองวันนี้เจ้าหยุดพักหรือ เหตุใดถึงได้มาที่นี่?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ