เนิ่นนานกว่าซูมู่ไห่จะตามออกมา เฟิ่งหลิงอวิ๋นมุ่งหน้าไปสิบกว่าลี้แล้วจึงค่อยหยุดอยู่กับที่ ฟ้ามืดแล้ว เฟิ่งหลิงอวิ๋นจึงหยุดพักและนั่งลงริมน้ำเพื่อกินอาหารแห้งที่นำมาด้วย
ซูมู่ไห่โกรธมาตลอดทั้งวันและครุ่นคิดเรื่องต่างๆ มากมายภายในหัว ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดความคิดจึงกระจ่างขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ซูมู่ไห่นั่งลงและมองเฟิ่งหลิงอวิ๋นที่ดูเหมือนเด็ก “เหตุใดท่านจึงช่วยข้า ปล่อยให้ข้าตายที่นั่นก็ดีแล้วมิใช่หรือ ถึงอย่างไรพวกท่านก็ไม่คิดจะปล่อยให้ข้ามีชีวิตอยู่อยู่แล้ว”
เฟิ่งหลิงอวิ๋นหยิบหมั่นโถวให้ซูมู่ไห่ “ถ้าเป็นจักรพรรดิ พระองค์คงไม่ต้องการให้ท่านมีชีวิตอยู่ ชีวิตของท่านส่งผลต่อวิถีของพระองค์ แต่ถ้าท่านตาย ในฐานะสหาย ข้าคงเสียใจ
คนเรามักเห็นแก่ตัวและใช้เวลาที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยเพื่อตัวเอง”
ซูมู่ไห่มองเฟิ่งหลิงอวิ๋น เขาใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะยอมรับหมั่นโถวมา ทว่าไม่ได้กินมัน เขากินไม่ลง
เขาหันกลับไปมองผิวน้ำและโยนหมั่นโถวลงไป
“ข้าไม่มีหน้าจะกิน เพื่อผู้หญิงคนเดียว ถึงกับทำร้ายคนทั้งแคว้น!”
“หากท่านมีชีวิตกลับไป หนทางข้างหน้าอาจจะยังมีความหวัง ถ้าจับข้าเป็นตัวประกัน เขาจะไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามแน่นอน” เฟิ่งหลิงอวิ๋นว่าแล้วจึงดื่มน้ำ ซูมู่ไห่มองนางแล้วอยู่ๆ ก็ยิ้ม
“ท่านล้อเล่นหรือ”
“ข้าไม่ได้ล้อเล่น”
“แต่ไม่ใช่ว่าพวกท่านอยากสู้รบหรอกหรือ”
“นั่นคือสิ่งที่ท่านคิด... จุดประสงค์ของการสู้รบคือการไม่ต้องสู้รบ หากมองแค่ตรงหน้า เรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นหลายปีหรือหลายสิบปีแห่งความวุ่นวายของสงคราม เป็นการทำเพื่อข้า แต่ข้าเป็นเพียงแค่จุดเปลี่ยน สิ่งที่เขาต้องการคือการสนับสนุน เขาคงคิดว่ามันไร้ความหมายที่จะพิชิตโลกเมื่อไม่มีข้า แต่ตอนนี้มันต่างไปจากเดิม เมื่อมีข้าอยู่เคียงข้างเขาจึงต้องการโลกใบนี้ และบางทีอาจจะแค่ยืนอยู่บนที่สูงมองดูยุคสมัยแห่งความเจริญรุ่งเรือง มองดูโลกและสวรรค์
แต่จุดประสงค์ของเขาจะพูดว่าเป็นเพียงการยืนดูจากที่สูงก็ไม่ได้ ความจริงเขานึกถึงอาณาประชาราษฎร์อยู่ตลอดเวลา เขาหวังว่าโลกจะไร้ภัยสงคราม ผู้คนจะได้ใช้ชีวิตอย่างผาสุก อย่างน้อยก็สักสองสามร้อยปี”
“...น่าขัน แล้วข้าทำให้ผู้คนในปีกใต้มีชีวิตอย่างสงบสุขไม่ได้งั้นหรือ”
“ปีกใต้แปลกเกินไป ที่นั่นมีคนมีฝีมือซึ่งมีอุดมการณ์แรงกล้าอยู่มากมาย เป็นแคว้นที่เจริญ ผู้คนเป็นปึกแผ่น มีความแข็งแกร่งในตัวเอง แต่ท่านเองก็รับประกันไม่ได้ว่าจะไม่มีการสู้รบ เหมือนกับเมื่อสิบปีก่อนที่ปีกใต้และแคว้นเฟิ่งร่วมมือกัน พวกท่านก็เป็นผู้ที่เริ่มทำสงครามก่อนมิใช่หรือ”
“ท่านจะบอกว่า เมื่อสู้รบไปแล้วจะไม่มีการต่อสู้อีก ท่านรู้ได้อย่างไรว่าจะไม่มีคนกบฏ” ซูมู่ไห่ถามอย่างไม่พอใจ
“ต่อให้จะไม่พอใจแล้วอย่างไร พวกท่านที่เคลื่อนไหวอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงฟื้นฟูชื่อเสียงของตน อีกร้อยปีต่อจากนี้เมื่อฟื้นคืนกลับมาได้ พวกท่านจะเริ่มแปรพักตร์ ในช่วงหนึ่งร้อยปี หนานกงเย่จะปกครองบ้านเมืองอย่างสงบสุขและรวมทุกแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่น มีเหตุผลอะไรที่ท่านจะต้องทำสงคราม ใครจะไปร่วมรบกับท่าน
การใช้เล่ห์เพทุบายเป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยงเมื่อมีหลายแคว้นมารวมกัน หลังจากกลายเป็นหนึ่งเดียว ไม่ว่าจะมีปัญหาอย่างไรก็จะเป็นเพียงปัญหาภายใน ปัญหาภายในก็คล้ายๆ กับการที่ลูกทำตัวดื้อ ถ้าพ่อแม่ออกมาว่ากล่าว ไม่นานเด็กก็จะประพฤติตัวดี จะไม่มีการสู้รบอีก นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ ท่านเคยคิดถึงเรื่องนี้บ้างไหม”
ซูมู่ไห่ไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย ดังนั้นเขาจึงรู้สึกทึ่งมาก
เขามองเฟิ่งหลิงอวิ๋นอย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองผิวน้ำ ทันใดนั้นก็หัวเราะเสียงดัง ทว่าทั้งนั้นเขากลับร้องไห้ไปด้วย
เฟิ่งหลิงอวิ๋นไม่คิดจะซ้ำเติมเขา นางไม่ได้พูดอะไรเลยและนั่งเป็นเพื่อนซูมู่ไห่อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยลุกขึ้นออกเดินทางต่อ ทั้งสองเดินทางตลอดทั้งคืนและมีกลุ่มคนสองกลุ่มมาขัดขวางไว้ ทว่าคนเหล่านั้นถูกเฟิ่งหลิงอวิ๋นฆ่าจนหมด นางเป็นเหมือนองครักษ์ที่ไร้เทียมทาน ซูมู่ไห่เป็นดั่งจักรพรรดิที่นั่งอยู่บนหลังม้า เขาเพียงแค่เฝ้าดูการต่อสู้อยู่เฉยๆ เท่านั้น
เมื่อคนเหล่านั้นล้มไปกองกับพื้น เฟิ่งหลิงอวิ๋นจึงหันไปมองซูมู่ไห่ ใบหน้าของนางถูกปิดบังเอาไว้และเผยให้เห็นแค่ดวงตา ทั้งสองคนมองตากันก่อนที่ซูมู่ไห่จะจากไปอย่างรวดเร็ว เฟิ่งหลิงอวิ๋นตามเขาไป
ใช้เวลาเดินทางหกวันทั้งสองคนก็ไปถึงเขตพรมแดนของทั้งสองเมือง เฟิ่งหลิงอวิ๋นกล่าวว่า “ตอนนี้ท่านยังมีโอกาสจับข้าอยู่นะ”
“.....” ซูมู่ไห่ไม่พูดอะไรและหันหลังเดินจากไป
เฟิ่งหลิงอวิ๋นโยนของบางอย่างลงบนหลังม้าของซูมู่ไห่ ซูมู่ไห่มองถุงหอมที่แขวนอยู่บนตัวม้า เมื่อหันกลับไปจึงเห็นว่าเฟิ่งหลิงอวิ๋นจากไปแล้วด้วยความรวดเร็ว
เมื่อเปิดถุงหอมออกจึงพบจดหมายข้างใน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ