เหตุการณ์ในปีนั้นฉายชัดในดวงตาอีกครั้ง
ใกล้จะสอบเอ็นทรานซ์มากขึ้นเรื่อยๆแล้ว ในไม่ช้าจะมีการแยกห้องศิลป์และห้องวิทย์ออก
ในฐานะนักเรียนอันดับต้นๆ พระเอกต้องเรียนวิทยาศาสตร์ต่ออย่างแน่นอน
แต่ในฐานะตัวถ่วงมืออาชีพ เหลียวซิรงเลือกห้องศิลป์ซึ่งเป็นทางที่ดีที่สุด
แต่หากเลือกห้องศิลป์ก็หมายความว่าเธอจะต้องแยกจากเขา
สิ่งนี้ทำให้เหลียวซิรงเสียดายอย่างยิ่ง แต่ความคิดเห็นทั้งหมดของครอบครัวก็ให้เธอเลือกเรียนห้องศิลป์
เธอเข้าสู่โหมดสับสนไปแล้ว ในคาบพลศึกษาครั้งหนึ่งเธอวิ่งอยู่กับเพื่อนสาวผู้สบายๆของเธอ
เดิมทีเหลียวซิรงก็ไม่มียีนส์เล่นกีฬาอยู่แล้ว เมื่อวิ่งไปเรื่อยๆก็รั้งท้ายทีมไปโดยธรรมชาติ
คราวนี้เพื่อนสนิทของเธอวิ่งมาหาเธอและพูดคุยเรื่องเกี่ยวกับการแยกห้อง
เหลียวซิรงอารมณ์ไม่ดีและพูดอย่างหมดหนทาง "ฉันจะทำยังไงดี? เขาเป็นดวงดาวบนท้องฟ้าไม่ว่าฉันจะไล่ตามยังไงฉันก็ไม่สามารถตามเขาทันได้"
เพื่อนสนิทของเธอพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ทำให้เหลียวซิรงซึ่งเดิมที่รอฟังคำปลอบใจสองสามคำเอื้อมมือไปตีเธอสองครั้งทันที
เพื่อนของเธอจึงพูดว่า "ทำไมถึงตามไม่ทันล่ะ? ทำไมเธอถึงไม่เป็นดาวบนท้องฟ้าแล้วปล่อยให้เขาไล่ตามเธอไปตลอด? ทำไมเธอต้องเป็นฝ่ายไล่ตามเขาล่ะ?"
คำพูดง่ายๆเตือนสติเหลียวซิรง
เธออึ้งไปชั่วขณะจากนั้นก็เพิ่มความเร็วขึ้นจากคนสุดท้ายในทีมกลายเป็นคนแรก
หลังจากวิ่งห้ารอบก็นอนลงบนพื้นอย่างเหนื่อยล้า
ผ่านช่องว่างของใบไม้ เธอมองไปที่ดวงอาทิตย์อันร้องแรงบนท้องฟ้า
ใช่แล้ว! ตั้งแต่เรียนม.ปลายเธอก็เป็นตัวถ่วงมาโดยตลอด เหมือนถูกกำหนดมาให้เป็นแค่เครื่องประดับให้เขาเด่นขึ้น
แต่หากเธอต้องการที่จะอยู่กับเขาต่อไปเธอจะต้องพยายามอย่างหนัก
เธอจะทำให้ดีที่สุด เรียนรู้จนถึงที่สุดและก้าวไปพร้อมกับเขา
นับตั้งแต่นั้นมาหลังจากที่ห้องกลายเป็นห้องวิทย์ เหลียวซิรงก็ไม่ปรากฏตัวในเช้าวันนั้น
พระเอกมองไปที่ที่นั่งว่างเปล่าด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ
เมื่อครูกำลังจะเริ่มชั้นเรียน เหลียวซิรงก็เดินเข้ามาพร้อมกระเป๋านักเรียนที่ด้านหลังของเธอ
การมาของเธอดูเหมือนจะแสดงให้เห็นถึงการเลือกของเธอ
เธอหันหน้าไปสบสายตาประหลาดใจของพระเอก เหลียวซิรงนั่งลงบนที่นั่งของเธอ
เธอยื่นมือไปทางเขาและพูดว่า "พวกเราจะนั่งข้างกันไปตลอดชีวิต โอเคไหม?"
ดวงตาที่จริงใจของเหลียวซิรงทำให้ใจของพระเอกรู้สึกซับซ้อน
เขายื่นมือออกไปจับมือของเหลียวซิรงและไม่ยอมปล่อยอยู่นาน
ทั้งสองได้ตกลงกันว่าจะสอบเข้ามหาลัยที่เมืองหลวงด้วยกันเพื่อเติมเต็มความปรารถนาตลอดชีวิตนี้
ดูจากผลการเรียนของเธอแล้วความปรารถนานี้คงไม่สามารถเป็นจริงได้
ดังนั้นความรับผิดชอบอย่างหนักในการติวให้เธอจึงตกอยู่กับพระเอก
ทั้งสองคนเริ่มไล่ตามความฝัน
ในเวลานี้หน้าจอเปลี่ยนไปและกลายเป็นฉากการรวมตัวกันของเพื่อนร่วมชั้น
ผู้ที่เข้าร่วมงานคืนสู่เหย้าล้วนเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่มีความสัมพันธ์อันดี
บางคนได้ใช้ชีวิตในสิ่งที่ต้องการ แต่มีบางคนกลับมาขายงานของตนในงานนี้และนั่นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากเห็น
สิ่งนี้ทำให้เหลียวซิรงซึ่งกลับมาจากต่างประเทศเพื่อเข้าร่วมเป็นครั้งแรกรู้สึกซับซ้อน
หลังจากพูดเปิดงานพอเป็นพิธีแล้วอาหารค่ำก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
แต่พระเอกยังไม่มา
เหลียวซิรงรู้สึกหดหู่ใจ แต่คราวนี้พระเอกที่ขี่จักรยานสาธารณะก็เปิดประตูเข้ามา
“รวมตัวครั้งนี้ทำไมไม่ชวนฉันล่ะ?”
เมื่อเห็นเขาปรากฏตัวขึ้นทุกคนก็สละตำแหน่งของตนและให้นักแสดงนำชายไปนั่งข้างๆเหลียวซิรง
หลังดื่มลงโทษแล้วก็นั่งลงมองไปที่เหลียวซิรงด้วยดวงตาที่ซับซ้อนและพูดเบาๆ "หลายปีมานี้สบายดีมั้ย?"
สบายดีมั้ย?
เหลียวซิรงที่อยู่ในเลนส์มองไปที่พระเอกที่ดูเหมือนจะไม่เปลี่ยนไปมากนักเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ด้วยความคิดมากมาย
เด็กชายที่เธอชอบหายตัวไปนานเจ็ดปี
เขายังมีหน้ามาถามเธอว่าเป็นอย่างไรบ้าง?
ก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทุกคนใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาสุดท้ายนี้เพื่อรวมตัวกันและสนุกกับเพื่อนร่วมชั้น
บนภูเขาแห่งหนึ่งพวกเขาบอกว่าจะเป็นเพื่อนกันไปชั่วชีวิตและไม่มีวันแยกจากกัน
ความฝันที่ไร้เดียงสาและยังเป็นความฝันที่ยากที่จะทำให้เป็นจริง
บนภูเขานี้มีต้นไม้เยอะมาก
ต่างก็เป็นคนที่อยากอยู่ด้วยกันตลอดไปปลูกไว้และบอกว่าถ้าขอพรก็จะไม่มีวันต้องแยกจากกัน
เหลียวซิรงมีความคิดบางอย่างในใจของเธอ หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายไปแล้ว เธอก็ลากพระเอกไปซื้อต้นอ่อนและกลับไปปลูกมัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: โชคชะตาตื้นมาก แต่ความรักนั้นลึกซึ้ง