มหาราชครูหรงกลับประหลาดใจ มองบุตรสาวของตนอย่างพินิจพิเคราะห์ “เจ้าอยากหย่าร้างอย่างนั้นหรือ? ไม่อาลัยอาวรณ์ฉีจื่อฟู่เลยแม้แต่น้อยอย่างนั้นหรือ?”
หรงจือจือกล่าวเบา ๆ “ท่านพ่อ ตอนนั้นเหตุใดลูกจึงต้องแต่งงานกับเขา ท่านรู้ดีอยู่แก่ใจ ตั้งแต่ต้นจนจบ ลูกไม่ได้แต่งเพื่อตัวลูกเอง แต่แต่งเพื่อสกุลหรง”
“บัดนี้ ลูกไม่ได้หย่าร้างเพื่อตัวของลูกเองเลย ลูกทำเพื่อสกุลหรงเช่นเดียวกัน”
“ท่านพ่อน่าจะรู้ดี อวี้ม่านหวานั่นแท้ที่จริงเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นเจา ตามประเพณีที่สืบทอดกันมาของราชวงศ์เราจะต้องปฏิบัติต่อประเทศที่สูญเสียเอกราชด้วยความกรุณา ไม่มีทางให้นางเป็นอนุอย่างเด็ดขาด อดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของแคว้นเจาไม่มีทางตอบตกลงเช่นกัน”
“แต่หากข้าเป็นบุตรสาวแห่งสกุลหรง ถูกลดตำแหน่งให้เป็นอนุ จะต้องอดทนอยู่อย่างเงียบ ๆ ชื่อเสียงขุนนางของท่านพ่อกับชื่อเสียงอันดีงามของสกุลหรง ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย ดังนั้นลูกจึงคิดว่า การหย่าร้างคือวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดในตอนนี้”
หรงจือจือภายใต้การเลี้ยงดูของท่านย่า มักจะเป็นคนสุขุมและเฉลียวฉลาด นางเข้าใจดีว่า ยิ่งอยากทำการอันใดให้สำเร็จ ก็ยิ่งต้องสงบนิ่ง สมองต้องคิดอย่างว่องไว และต้องพูดอย่างตรงประเด็น
นางยิ่งรู้ดีว่าท่านพ่อของตนหัวโบราณ สิ่งที่ใส่ใจมากที่สุดคืออะไร
หากตอนนี้นางแจกแจงความน้อยเนื้อต่ำใจของตนเองออกมาอย่างละเอียด ท่านพ่อไม่มีทางเก็บเอาไปใส่ใจ ซ้ำยังจะบอกให้นางอดทนให้มาก ผู้หญิงทุกคนบนโลกล้วนต้องผ่านสิ่งนี้มา แต่หากพูดถึงชื่อเสียงของสกุลหรง ท่านพ่อก็จะไม่อาจทนไหว
เป็นไปตามคาด
เมื่อมหาราชครูหรงได้ยินเช่นนี้ ก็กล่าวเสียงขึงขัง “ที่เจ้าพูดมาไม่ผิด ถึงแม้การหย่าร้างแบบนี้จะไม่มีเกียรติมากนัก แต่สุดท้ายก็ยังเหลือชื่อเสียงที่หยิ่งในศักดิ์ศรียอมหักไม่ยอมงอ ให้แก่บรรดาบุตรสาวแห่งสกุลหรงของเรา ด้านนอกก็จะไม่กล้าดูแคลนบรรดาน้องสาวของเจ้าเช่นกัน”
“อีกอย่าง บุตรของข้าหรงม่อชิง จะให้เป็นอนุได้อย่างไร? ข้าเป็นขุนนางมายี่สิบเอ็ดปี แม้กระทั่งฮ่องเต้องค์ก่อนที่พระชันษาน้อยกว่าเพียงไม่กี่ปี ยังเคยเป็นนักเรียนของข้า ครอบครัวอย่างเช่นพวกเรา จะยอมให้จวนซิ่นหยางโหวที่มีแต่เปลือกตั้งแต่แรก มาปฏิบัติด้วยเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“ต้องโทษข้า ที่ตอนนั้นเห็นว่าเด็กน้อยแห่งสกุลฉีคนนั้นป่วยจนมีสภาพแบบนั้น เพื่อชื่อเสียงแล้วจึงให้เจ้าแต่งเข้าไป ถึงได้ทำให้เจ้าต้องได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจอยู่ในถ้ำเสือนั่น ทั้งยังทำให้สกุลหรงของเราต้องถูกดูหมิ่นเช่นนี้อีกด้วย!”
น่าเสียดายที่ฮ่องเต้องค์ก่อนสุขภาพไม่ดี สิ้นพระชนม์ตั้งแต่อายุยังน้อย ผู้สำเร็จราชการแทนคืนอำนาจให้แก่อัครมหาเสนาบดีเฉินไม่ใช่ตนเอง ไม่อย่างนั้นตนคงจะได้รับความเคารพยิ่งกว่าตอนนี้ ต่อให้จวนซิ่นหยางโหวกล้าหาญมากกว่านี้ พวกเขาก็ไม่กล้าทำเรื่องแบบนี้
หรงจือจือเป็นคนที่เฉลียวฉลาด เพียงกล่าวว่า “จะโทษท่านพ่อได้อย่างไร? ท่านพ่อมีความเมตตาและคุณธรรม ทั้งหมดเป็นเพราะสกุลฉีพวกอกตัญญูนั่น เนรคุณต่อความจริงใจของท่านพ่อ”
ท่านพ่อตำหนิตนเองได้ แต่นางพูดไม่ได้ ‘ท่านพูดถูก ข้าเองก็คิดว่าท่านสติเลอะเลือนมาก เพื่อชื่อเสียงอันจอมปลอมอันน้อยนิดแล้ว ทำร้ายข้าจนน่าอนาถเช่นนี้’
นางทำได้เพียงปลอบใจอีกฝ่าย เช่นนี้ท่านพ่อถึงจะคิดว่า ตนกับเขาคิดตรงกัน
เมื่อมหาราชครูหรงฟังจบ มองบุตรสาวด้วยความชื่นชมแวบหนึ่งอย่างที่คาดไว้จริง ๆ “เจ้ารู้ความมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ก็ไม่เคยกล่าวโทษข้า เป็นข้าที่ติดค้างเจ้า!”
หรงจือจือกล่าวอย่างระวัง “ระหว่างบิดาผู้ให้กำเนิดกับบุตรสาว จะติดค้างได้อย่างไรกัน? เรื่องหย่าร้างนั่น ท่านพ่อรับปากแล้วใช่หรือไม่?”
หากหย่าร้างกันแล้ว นางอยากจะกลับมาในครอบครัว ตอบแทนบุญคุณท่านย่าต่อเหมือนเมื่อก่อน ท่านย่าเป็นผู้เลี้ยงดูตนมาจนเติบใหญ่ เป็นคนที่ตนรักและเคารพที่สุด ดังนั้นท่านพ่อจะเห็นด้วยเรื่องการหย่าร้างหรือไม่ สำหรับนางแล้วค่อนข้างสำคัญ
มหาราชครูหรงพยักหน้า แต่เขากล่าวขึ้นอีก “เมื่อวานท่านย่าของเจ้าล้มป่วย เรื่องที่บุตรชายสกุลฉีก่อเอาไว้ ข้ายังปิดบังท่านย่าของเจ้าเอาไว้อยู่ ไม่กล้าบอกนาง หากให้นางรู้ว่าสกุลฉีก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้น เกรงว่าจะโมโหจนเป็นอะไรไป”
“รออีกสิบวันหรือครึ่งเดือน ให้สุขภาพของท่านย่าเจ้าดีขึ้นอีกหน่อย ข้าจะค่อย ๆ พูดเรื่องนี้กับนาง ค่อยยกเกี้ยวใหญ่ จุดประทัดไปตลอดทาง เพื่อรับเจ้ากลับมาอย่างมีหน้ามีตา เจ้าว่าเป็นอย่างไร?”
แต่ไหนแต่ไรมีเพียงตอนแต่งบุตรสาวถึงยกเกี้ยวใหญ่ ตอนหย่าร้าง ไม่มีใครยกเกี้ยวใหญ่เพื่อต้อนรับกลับบ้าน
ผู้หญิงที่หย่าร้าง บ้านพ่อแม่ฝ่ายหญิงมักไม่อนุญาตให้เดินผ่านประตูใหญ่ ให้ใช้ประตูข้าง
ทว่ามหาราชครูหรงผู้ที่หัวโบราณมาตลอดกลับรับปากเช่นนี้ อาจจะรู้ว่าปฏิบัติต่อบุตรสาวคนนี้อย่างขาดความยุติธรรมจริง ๆ ยิ่งรู้สึกว่าสกุลฉีทำเกินไป ถือเป็นการตบหน้าตน ด้วยเหตุนี้เขาจึงเอาคืนสกุลฉีด้วยวิธีการเช่นนี้
การจุดประทัดอย่างคึกคักล้วนเป็นการเฉลิมฉลองเรื่องมงคล เขารับบุตรสาวที่หย่าร้างกลับบ้าน เฉลิมฉลองเหมือนกับเป็นเรื่องดี เพื่อแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าดูแคลนจวนซิ่นหยางโหว การแก้แค้นครั้งนี้จะต้องเอาคืนอย่างสาสม
นางกล่าวอย่างนอบน้อม “ท่านพ่อสั่งสอนได้ถูกต้อง ลูกจะพิจารณาตัวเองให้ดีแน่นอนเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นว่าบุตรสาวคนโตรู้ความ เชื่อฟังคำพูดของตน มหาราชครูหรงก็ค่อนข้างพอใจเช่นกัน และไม่ได้ว่าอะไรนางอีก “ลุกขึ้นเถอะ ข้าอยากจะไปพักผ่อนสักเดี๋ยว! อีกเดี๋ยวเจ้าไปเยี่ยมท่านย่าของเจ้า ห้ามหลุดปากพูดอะไรอย่างเด็ดขาด!”
หรงจือจือ “ลูกจะจดจำเอาไว้”
ต่อให้ท่านพ่อไม่เอ่ยปาก นางก็จะระวังเช่นกัน นั่นคือท่านย่าของนาง เป็นคนที่ตนรักที่สุดบนโลกใบนี้
มหาราชครูหรงพูดจบ ก็สาวเท้าเดินออกไป
เจาซีเข้ามาเพื่อแต่งหน้าให้หรงจือจือต่อ นางรู้มาตลอดว่าคุณหนูของนางมีความคิดที่ยิ่งใหญ่ เรื่องการหย่าร้างนี้คุณหนูคิดดีแล้ว จึงไม่มีทางเปลี่ยนแปลง นางเกลียดชังสกุลฉีเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ได้พูดเตือนอะไร
นางเพียงแค่มองหน้าอีกฝ่าย น้ำตาไหลออกมาด้วยความสงสาร “คุณหนู ตอนนั้นคุณหนูสามกลับดำเป็นขาวต่อหน้าฮูหยิน เหตุใดท่านจึงไม่อธิบายล่ะเจ้าคะ?”
หรงจือจือหัวเราะเยาะตนเอง “มีอะไรน่าอธิบายกัน หลายปีมานี้ข้าได้อธิบายไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ท่านแม่เคยเชื่อข้าด้วยหรือ? แม้นางจะเชื่อ นางก็จะพูดว่าน้องหญิงไม่ผิด เป็นพี่สาวควรจะยอมให้นาง ต่อไปเจ้าก็ไม่ต้องไปอธิบายอีก เพื่อจะได้ไม่ต้องถูกตำหนิ พวกนางอยากจะพูดอะไร ก็ให้นางพูดไปเสียก็สิ้นเรื่อง”
เมื่อเจาซีลองคิดดูก็รู้สึกว่าถูกต้อง หลายปีที่ผ่านมาก็เป็นแบบนี้มาตลอด นางเพียงยิ่งรู้สึกสงสาร กล่าวเสียงเบาว่า “ฮูหยินลำเอียงเช่นนี้ ต้องลำบากคุณหนูแล้ว...”
หรงจือจือ “ไม่เป็นไร ข้ามีท่านย่าก็ดีมากแล้ว”
ความรักที่ท่านย่าให้ข้า เทียบได้กับท่านแม่สามคนของครอบครัวทั่วไป ดังนั้นถึงแม้นางจะรู้สึกอ้างว้าง แต่กลับไม่รู้สึกว่าตนเองน่าสงสาร
เมื่อพูดถึงตรงนี้ สาวใช้จ้าวคนสนิทของนางหวังก็เดินเข้ามาหา กล่าวกับหรงจือจือ “คุณหนูใหญ่ ฮูหยินกล่าวว่าคุณหนูสามได้รับโทษอดอาหาร พวกท่านพี่น้องควรจะเป็นหนึ่งเดียวกัน วันนี้จึงไม่เตรียมข้าวกลางวันให้ท่าน!”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น