เข้าสู่ระบบผ่าน

โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น นิยาย บท 12

หรงจือจือฟังคำพูดของสาวใช้จ้าว มุมปากปรากฏรอยยิ้มถากถาง เมื่อรู้ว่าที่ท่านแม่มีคำสั่งเช่นนี้ นางไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเลยสักนิด

สาวใช้จ้าวมองรอยยิ้มถากถางของนาง เกิดความไม่พอใจขึ้น “คุณหนูใหญ่ สีหน้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ? ไม่พอใจต่อการจัดการของฮูหยินหรือเจ้าคะ?”

“เช่นนั้นบ่าวอยากจะขอเตือนท่าน กิจภายในจวนตอนนี้ ฮูหยินเป็นผู้ตัดสินใจเจ้าค่ะ ฮูหยินบอกว่าไม่ให้ข้าวเที่ยงท่าน แม้ท่านจะไม่พอใจ ก็ทำได้เพียงอดทนเจ้าค่ะ”

หรงจือจือกล่าวอย่างอ่อนโยน “ไม่อนุญาตให้ข้ากิน หรือไม่ให้อาหารข้า?”

สาวใช้จ้าวเกิดความสงสัยขึ้นในใจ ทั้งสองคำถามนี้มีอะไรแตกต่างกันหรือ?

นางยิ้มอย่างเยาะเย้ย กล่าว “หากคุณหนูใหญ่อยากกินจริง ๆ ก็ไม่ยากเจ้าค่ะ หากท่านมีความสามารถ ทำให้บรรดาบ่าวรับใช้ในจวนยอมให้ท่านกินข้าวได้ บ่าวก็คงเข้าไปยุ่งไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ หรือว่าคุณหนูใหญ่มีความสามารถ เสกของกินออกมาเองได้ คิดว่าทางฝั่งฮูหยินเอง ก็คงจะไม่พูดอะไรมากหรอกเจ้าค่ะ”

ฮูหยินจัดการบ่าวรับใช้ในจวนจนเชื่อง รู้ดีอยู่แก่ใจว่าหากฮูหยินไม่อนุญาต จะมีใครกล้าไม่ลืมหูลืมตา โง่จนถึงขนาดเอาของกินให้คุณหนูใหญ่กัน?

ดังนั้นที่สาวใช้จ้าวจงใจทำเช่นนี้ เพื่อทำให้หรงจือจือรู้สึกรังเกียจ

หรงจือจือกล่าวเสียงเบา “ข้าเข้าใจแล้ว ก็คือกินได้ เพียงแค่ไม่มีของกินให้ข้า ใช่หรือไม่?”

สาวใช้จ้าวรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลก ๆ เหมือนว่าโดนชี้นำอะไรบางอย่าง แต่นางไม่ได้คิดมาก พยักหน้า ทำท่าทางสูงส่ง “ถูกต้องเจ้าค่ะ!”

นางเป็นแม่นมที่ติดตามนางหวังมาตอนแต่งงาน นับว่ามีอำนาจในจวน มักจะทำตัวราวกับตนเองเป็นนาย

ก่อนหน้านี้ตอนที่หรงจือจือยังเป็นฮูหยินของซื่อจื่อแห่งจวนโหว นางยังหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่ทว่าตอนนี้จวนโหวต้องการให้หรงจือจือเป็นอนุ นางย่อมยิ่งไม่เห็นหรงจือจืออยู่ในสายตา

หรงจือจือกล่าวเสียงเรียบ “ไม่เป็นไร คนในจวนไม่ให้ข้าก็ช่าง จ้าวหมัวมัวกลับไปรายงานผลได้แล้ว”

จ้าวหมัวมัวตกตะลึงไปทันที ยังคิดว่าคำถามเหล่านั้นที่หรงจือจือถามตน อยากจะแก้ต่างกับตน กลับไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะตอบรับแบบนี้?

ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย หลังจากนางเดินออกไป ยังคงไม่วางใจ ย้อนกลับมาแอบดูที่หน้าประตู

ในใจคิดว่าหรือว่ามีบ่าวที่มีตาหามีแววไม่ในจวน ถูกคุณหนูใหญ่ซื้อตัวไปแล้ว?

หางตาของหรงจือจือ เหลือบมองสาวใช้จ้าว เพียงแต่นางไม่ได้สนใจ หลังจากที่เจาซีแต่งหน้าให้นางอยู่ครู่หนึ่ง ก็ออกคำสั่ง “ไปเอาของกินมาเถอะ”

เจาซีส่งคนรับใช้ที่ตามกลับมาสกุลหรง ไปหยิบกล่องอาหารกล่องหนึ่งบนรถม้ามา

หยิบขนมอบออกมาทีละชิ้น ๆ วางลงตรงหน้าของหรงจือจือ ต่อหน้าต่อตาจ้าวหมัวมัวที่แอบอยู่บริเวณมุมหนึ่งด้านนอกประตู

เจาซีแต่งหน้าให้นางต่อ พร้อมกล่าวขึ้น “คุณหนูรีบกินเถอะเจ้าค่ะ อย่าปล่อยให้ท้องหิว!”

ขนมอบนี้ประณีตยิ่ง ทำโดยร้านขายขนมอบที่ดีที่สุดในเมืองหลวง แค่จานเดียวก็มีราคาถึงสองตำลึงแล้ว หมัวมัวระดับหนึ่งอย่างจ้าวหมัวมัว เงินเดือนเดือนหนึ่งของนางก็แค่สองตำลึงเท่านั้น

ขนมอบสี่จานจัดวางบนโต๊ะน้ำชาตัวนั้น คนทั่วไปต่อให้มีอาหารกลางวัน คิดว่าก็คงจะไม่อยากจะกินแล้วเช่นกัน

จ้าวหมัวมัวเบิกตากว้าง ทำได้เพียงมองหรงจือจือกินต่อหน้าของตนเท่านั้น นางยังร้องเรียกเจาซีอีกด้วย “เจ้าก็มากินด้วยกันสักสองสามชิ้นสิ!”

เจาซีรู้สึกว่าคุณหนูของตนช่างรู้จักคาดการณ์ล่วงหน้าเสียจริง ก่อนออกนอกจวนก็บอกให้ตนไปซื้อขนมอบเอาไว้ แล้วพกกลับมาด้วย ไม่อย่างนั้นวันนี้คงจะไม่ได้กินข้าวจริง ๆ

รีบกล่าว “ขอบพระคุณคุณหนูที่ตกรางวัลให้เจ้าค่ะ!”

จ้าวหมัวมัวกระทืบเท้าด้วยความโมโห รู้ว่าตนทำงานที่ได้รับมอบหมายงานนี้พัง รีบวิ่งออกไปกล่าว “คุณหนูใหญ่ ฮูหยินห้ามไม่ให้ท่านกินข้าวเที่ยงมิใช่หรือ ท่านก็ยังกิน นี้เท่ากับไม่เห็นฮูหยินอยู่ในสายตาหรือเจ้าคะ? อกตัญญูต่อบิดามารดาเช่นนี้ ส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของท่านนะเจ้าคะ!”

หรงจือจือกินขนมอบในมือคำเล็ก ๆ หันไปมองนางด้วยสีหน้าแปลกใจ “จ้าวหมัวมัว ท่านพูดเองไม่ใช่หรือว่า ท่านแม่ไม่ได้ห้ามไม่ให้ข้ากิน หากข้าสามารถเสกของกินออกมาได้ ท่านแม่ก็ไม่มีทางตำหนิข้าไม่ใช่หรือ?”

สีหน้าของจ้าวหมัวมัวซีดขาวทันที คิดไม่ถึงว่าหรงจือจือกลับมาที่สกุลหรง จะพกของกินติดตัวมาด้วย?

เมื่อจ้าวหมัวมัวถูกหามออกไป ก็มีคนมารายงาน “คุณหนูใหญ่ นายหญิงใหญ่ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ!”

รอยฝ่ามือบนใบหน้าของหรงจือจือในตอนนี้ ก็จางลงไปไม่น้อยแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นจึงรีบไปที่เรือนของท่านย่าทันที

นายหญิงผู้เฒ่าหรงนอนอยู่ในห้อง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของหรงจือจือ จึงกล่าวด้วยความดีอกดีใจ “ใช่...แค่กแค่ก ใช่หลานสาวคนดีของข้ากลับมาแล้วใช่หรือไม่?”

หรงจือจือรีบเดินไปที่ด้านหน้าเตียงของท่านย่า คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม “ท่านย่า ข้าเอง!”

นายหญิงผู้เฒ่าหรงรีบกล่าว “เด็กโง่ บนพื้นเย็น เจ้าคุกเข่าอยู่ทำไม? รีบลุกขึ้น!”

หรงจือจือรีบลุกขึ้น

นายหญิงผู้เฒ่าหรงตบมือของนางเบา ๆ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินว่าสามีของเจ้ากลับมาแล้ว สร้างความชอบอันใหญ่หลวง ดีเหลือเกิน ก่อนหน้านี้ท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้าสติฟั่นเฟือน อยากจะให้เจ้าแต่งงานไปที่สกุลฉีให้ได้ ข้าเองก็ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ตอนนี้ดีแล้ว ในที่สุดเจ้าก็ลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้แล้ว!”

ในระหว่างที่พูด นางก็สงสารหลานสาวของตนเองจับใจ หากแต่งงานกับคุณชายผู้สูงศักดิ์ที่สุขภาพร่างกายแข็งแรง ชีวิตคงจะราบรื่นมากกว่านี้ไม่ใช่หรือ? นางเป็นหลานสาวที่ดีขนาดนี้ ยังจะให้แต่งงานกับเจ้าขี้โรคสกุลฉีนั่นอีก ทำให้ต้องทนกับความทุกข์ความทรมานทั้งหมดนี้โดยเปล่าประโยชน์

หรงจือจือเป็นห่วงสุขภาพของท่านย่า ย่อมไม่ได้พูดเรื่องจริงออกไป เพียงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านย่ากล่าวถูกต้องแล้ว ต่อไปจะต้องมีชีวิตที่ดีแน่!”

นายหญิงผู้เฒ่าหรงพยักหน้า กล่าวอีกว่า “หลังจากที่เขากลับมา ได้ใกล้ชิดกับเจ้าหรือเปล่า? สามปีมาแล้ว รู้สึกห่างเหินกันหรือไม่? ไม่สิ ไม่มีทางห่างเหินแน่นอน หลานสาวคนดีของข้า ออกจะสมบูรณ์แบบราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า”

“รูปโฉมเทพธิดายังเทียบไม่ได้ อุปนิสัยก็ดีเยี่ยม หากใครไม่ชมชอบเจ้า ปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดี เช่นนั้นต้องเป็นคนผู้นั้นเองที่ตาบอด โง่ที่สุดในโลก ต่อให้คุกเข่าอ้อนวอนหมอเทวดา ก็รักษาโรคตาและสมองที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของเขาให้หายดีไม่ได้!”

หรงจือจือได้ยินดังนั้น ก็หลุบตาลงเล็กน้อย น้ำตาเกือบไหลออกมา

ฉีจื่อฟู่ทำเรื่องแบบนี้ออกมา ทุกคนรวมถึงท่านพ่อท่านแม่ ต่างพูดว่าเป็นปัญหาของนาง เป็นนางที่ดูแลสามีไม่ดี ครอบครองหัวใจของสามีไม่ได้ เป็นนางที่ทำได้ไม่ดีพอ เป็นนางที่...

มีเพียงท่านย่า ที่ยืนหยัดที่จะอยู่ข้างนาง พูดว่าหากมีความผิด ทั้งหมดก็เป็นความผิดของคนอื่น!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น