ผู้มาใหม่คือเพื่อนสนิทของฮูหยินหลิน พระสนมเต๋อกุ้ยเฟยนั่นเอง
เมื่อเห็นว่าในที่สุดก็มีคนมาห้ามปรามหลินเย่ว์ เหล่านางกำนัลที่อยู่ในบ่อจึงต่างพากันร่ำไห้ระงมอออกมา “พระสนม...”
“ฮือๆๆ พระสนมโปรดช่วยพวกเราด้วยเพคะ”
นางกำนัลสิบกว่าคนร้องไห้ขึ้นมาพร้อมกัน ฟังแล้วเป็นที่หนวกหูยิ่ง
พระสนมเต๋อกุ้ยเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อย ปรายตามองดูนางกำนัลใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง
นางกำนัลใหญ่เข้าใจดี จึงกล่าวเสียงตวาด “ยังไม่รีบไปเปลี่ยนชุดอีก หากล้มป่วยขึ้นมา ทำให้เหล่าพระสนมเสียงานเสียการ พวกเจ้าจะมีกี่หัวพอให้ตัด?”
เมื่อได้ยินดังนี้ เหล่านางกำนัลจึงหยุดร้องไห้ พร้อมคลานขึ้นจากบ่อน้ำแล้วแยกย้ายไปยังเรือนของตนทันที
รอจนทุกคนไปหมดแล้ว พระสนมเต๋อกุ้ยเฟยค่อยหันมามองราวตากผ้าในมือหลินเย่ว์ พลางขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวเสียงดุ “อะไรกัน ท่านโหวน้อยจะตีข้าด้วยหรืออย่างไร?”
หลินเย่ว์ตกใจจนทิ้งราวตากผ้าลงจากมือ พร้อมประสานมือกล่าวตอบ “กระหม่อมมิบังอาจ”
“ขนาดบุกเข้าวังมาเช่นนี้ ยังมีสิ่งใดไม่กล้าทำอีก?” เห็นชัดว่าพระสนมเต๋อกุ้ยเฟยเริ่มกริ้วบ้างแล้ว
นางมองว่าหลินเย่ว์ทำการวู่วามเกินไป
ในกรมซักล้างแห่งนี้ แม้เป็นที่ๆ นับว่าต่ำต้อยในวัง แต่ก็ถือเป็นเขตในวังอยู่ดี
หากเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไป มีคนจงใจขยายความให้เป็นเรื่องใหญ่ อย่าว่าแต่ลำพังแค่หลินเย่ว์เลย ให้เป็นจวนโหวทั้งหมดก็อาจเดือดร้อนตาม
หลินเย่ว์ก็รู้ว่าตนไม่ควรมาที่นี่
แต่สมัยก่อนที่เนี่ยนเนี่ยนถูกลงโทษหนักถึงเพียงนั้น นอกจากเพราะถ้วยใบนั้นเป็นของรักขององค์หญิงแล้ว ยังแฝงด้วยเจตนาที่ฮองเต้คิดเล่นงานจวนโหวกลายๆ ด้วย
ด้วยเหตุนี้ ตลอดสามปีมานี้ ผู้คนในจวนโหวอย่าว่าแต่มองหน้าเนี่ยนเนี่ยนเลย แม้แต่จะพูดคุยถามไถ่ เป็นห่วงเป็นใยสักนิดก็ไม่เคยมี
เพราะพวกเขาต้องการให้ฮ่องเต้ได้รู้ ว่าจวนโหวเป็นคนของพระองค์เสมอ มีความจงรักภักดี ไม่ว่าฮ่องเต้จะมีพระประสงค์อย่างไร พวกเขาก็จะไม่ก้าวก่าย และไม่มีการขัดพระบัญชาด้วย
แต่วันนี้ เขาโมโหขึ้นมาจริงๆ
ทุกครั้งที่นึกถึงเหล่านางกำนัลบังคับให้เนี่ยนเนี่ยนอยู่แต่ในน้ำ เขาก็เกิดบันดาลโทสะขึ้น เพียรพยายามเท่าใดก็ระงับไว้ไม่อยู่
เมื่อคิดได้ดังนี้ หลินเย่ว์พลางสูดลมหายใจเข้าอีก แล้วคุกเข่าลงพื้น “กระหม่อมรู้ว่ากระทำการโง่เขลา ขอพระสนมโปรดลงอาญาด้วย”
พระสนมเต๋อกุ้ยเฟยแม้จะนึกโกรธ แต่ตนก็เห็นหลินเย่ว์มาตั้งแต่เล็กจนโต ต่อให้เห็นแก่ฮูหยินหลิน นางก็ไม่กล้าลงโทษเขาอีก
แต่เรื่องในวันนี้ หากนางไม่รีบแก้ไข ไปถึงฮ่องเต้เมื่อใดอาจจะอธิบายได้ยาก
ด้วยเหตุนี้ พระสนมกุ้ยเฟยจึงโบกมือเบาๆ “เจ้ากลับไปก่อน เรื่องนี้ข้าจะพิจารณาเอง จำเอาไว้ ต่อไปอย่าได้ย่างกรายเข้ามาในกรมซักล้างนี่อีก”
เรื่องมาถึงขั้นนี้ หลินเย่ว์ได้แต่ยอมเชื่อฟังโดยดี
แต่วันนี้แม้ได้สั่งสอนนางกำนัลกลุ่มนี้บ้าง หลินเย่ว์ก็ใช่ว่าจะหายโกรธแต่อย่างใด
ขณะนั่งรถม้ากลับไปยังจวนโหว สายตาหลินเย่ว์จ้องมองไปยังเตาอุ่นด้านข้าง
นั่นเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจเตรียมไว้ก่อนไปรับเนี่ยนเนี่ยนเมื่อวาน ข้างบนยังสลักลายดอกเหมยสีแดงที่เนี่ยนเนี่ยนโปรดปรานนัก
แต่เมื่อวาน เนี่ยนเนี่ยนไม่ได้เข้ามาในรถ จึงไม่เห็นเตาอุ่นใบนี้ และมาถึงป่านนี้ เตาอุ่นย่อมจะเย็นลง ถูกปล่อยทิ้งให้วางอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง เหมือนดั่งคนที่ถูกทอดทิ้ง
แต่ว่า ต่อให้นางเข้ามานั่งจริง ยังจะรับเตาอุ่นนี้ไว้หรือไม่?
หลินเย่ว์พลันนึกถึงคำพูดของเซียวเหิงขึ้นมา เซียวเหิงบอกว่า เตาอุ่นและของว่างที่เตรียมอยู่ในรถม้า เนี่ยนเนี่ยนแทบไม่แตะต้องเลย
แม้แต่ของที่เซียวเหิงเตรียมไว้ให้ นางยังไม่แตะต้อง นับประสาอะไรกับของของเขา
“เจ้าไปถามมันว่าได้ทำสิ่งใดไว้บ้าง ยังกล้าบุกเข้าวังอีก ทำไม? เจ้าเห็นว่าจวนโหวเราอยู่สุขสบายเกินไป จึงคิดหาเรื่องมาให้เดือดร้อนใช่หรือไม่?”
ท่านโหวหลินโกรธจนเลือดขึ้นหน้า หายใจหอบจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง
วันนี้ขณะรับรู้เรื่องนี้จากพระโอษฐ์ฮ่องเต้ เขาแทบไม่กล้าหายใจแรงด้วยซ้ำ ด้วยเกรงว่าหากทรงกริ้วมากกว่านี้ จะมีรับสั่งให้คุมตัวคนในจวนโหวไว้ทั้งหมด
หลินเย่ว์เอามือกุมหน้าผากที่บาดเจ็บ สีหน้ายังคงมีความดื้อแพ่ง “ลูกสำนึกผิดแล้ว แต่ลูกทนไม่ไหวจริงๆ อีกอย่างนี่เป็นเพียงการสั่งสอนนางกำนัลของกรมซักล้างก็เท่านั้น ไม่ได้ทำให้มีคนตายเสียหน่อย ถ้าฝ่าบาทจะทรงคาดโทษลงมา อย่างมากลูกก็ไปชดใช้ด้วยชีวิตเท่านั้น”
นางกำนัลของกรมซักล้าง?
เฉียวเนี่ยนยืนอยู่ด้านข้าง แอบรู้สึกใจเต้นเล็กน้อย คล้ายกับเข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านโหวหลินจึงเรียกนางให้มารอพบหลินเย่ว์ด้วยกัน
เฉียวเนี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย
ได้ยินเพียงท่านโหวหลินตวาดเสียงดัง “เหลวไหล ถ้าใช้ชีวิตเจ้าเพียงผู้เดียว ชดใช้เรื่องนี้ได้ยังพอว่า แต่ท่านย่าอายุมากแล้ว เจ้าไม่กลัวจะพาให้เราเดือดร้อนทั้งครอบครัวหรืออย่างไร?”
“ไม่ร้ายแรงถึงขั้นหรอกเจ้าค่ะ” ฮูหยินหลินรีบปกป้องหลินเย่ว์ไว้ก่อน “พระสนมเต๋อกุ้ยเฟยกำลังคิดหาทางออกให้อยู่ ฝ่าบาทก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล เรื่องนี้คงไม่บานปลายแน่”
กล่าวพลาง สายตาฮูหยินหลินก็ชำเลืองไปทางเฉียวเนี่ยน
คล้ายกับมีกระแสจิตบางอย่าง เฉียวเนี่ยนซึ่งยืนก้มหน้ามาโดยตลอด พลันมองไปทางฮูหยินหลินเช่นกัน
แต่ฮูหยินหลินคล้ายกลัวเผชิญหน้ากับนาง พลันรีบเบือนสายตาไปทางอื่น
แต่ว่า เฉียวเนี่ยนยังคงเห็นดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกขอโทษ
ซึ่งนางไม่ชอบสายตาเช่นนี้เลย
จิตใต้สำนึกบอกนางว่า วิธีการที่พระสนมเต๋อกุ้ยเฟยกำลังคิดอยู่นั้น อาจเกี่ยวข้องกับนางก็เป็นได้

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาชีวิตหลังเป็นทาสมาสามปี